ตอนที่1 คับขันเป็นตาย
ณ ช่วงเวลาและสถานที่ที่ผิดแผก ฉินจิ่วเกอท้ายที่สุดก็สะดุ้งตื่นจากห้วงสติแห่งความสับสนอลหม่าน
เมื่อกระเสือกกระสนออกจากเตียงได้สำเร็จ บนหน้าผากก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อระอุร้อน ตามมาด้วยเสียงถอนใจหนักที่ดังก้องภายในห้องไม้แห่งนี้
“อย่างที่คิด ข้าข้ามภพมาอีกแล้วจริงๆ”
เสียงหดหู่บางเบาของเด็กหนุ่มดังขึ้นภายในห้อง แฝงแววขื่นขมระคนกลัดกลุ้ม
ฉินจิ่วเกอหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูภาพสะท้อนของเจ้าคนอับโชคที่เพิ่งถูกตนขโมยร่างมาหมาดๆ อย่างไม่วางตา หากจะบอกว่าหล่อเหลาคมคายก็ไม่ได้ใกล้เคียงเอาเสียเลย
ที่จริงประการหลังนั้นหาได้เกี่ยวอันใดกันไม่ แต่สังขารของคนผู้นี้เรียกได้ว่าเกินเยียวยา ได้แต่นอนป่วยติดเตียง ไม่อาจขยับตัวไปไหนได้แม้แต่กระผีกริ้น
ปัดป่ายควานหาไปรอบตัวท่ามกลางความมืดอยู่ครึ่งค่อนวัน ราวกับผู้บุกเบิกแห่งยุคปฏิวัติที่พยายามค้นหาชนวนจุดระเบิดก่อนรุ่งสาง
ฉินจิ่วเกอเริ่มสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูไปไม่ต่างจากลูกค้าช่างเลือกที่พยายามเสาะหาตำหนิบนเสื้อผ้า แม้จะต้องอาศัยเพียงกระจกบานเก่าในมือ กับแสงจันทร์หรุบหรู่ที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาก็ตาม
เคราะห์ดีที่พบว่า อย่างน้อยสังขารของคนผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนตัวโชคร้ายคนก่อน
แม้จะป่วยจนยากรักษา เป็นผลให้ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ถึงอย่างไรตรงหว่างคิ้วก็ยังแผ่รัศมีหมองหม่นประหนึ่ง “บ้านเมืองเดือดร้อนไม่ยอมสงบ” ออกมาไม่เสื่อมคลาย แม้จะไม่ได้หล่อเหลาจนสะเทือนฟ้าสะท้านดิน แต่อย่างน้อยก็เป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
“เอาเถอะ อย่างน้อยๆ สารรูปนี้ก็ยังดีกว่าเจ้าไข่เน่าไม่ได้ความนั่นเยอะ”
ฉินจิ่วเกอเอ่ยปลอบใจตัวเองเบาๆ หากในแววตากลับปรากฏหยาดน้ำตาขึ้นวูบ
อย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ ข้าพเจ้าคือผู้ข้ามภพ ทั้งนี่ยังไม่ใช่ครั้งแรกอีกด้วย
หวนระลึกถึงคราวก่อนที่ข้าพเจ้าได้ข้ามภพไปเกิดในดินแดนแห่งผู้ฝึกตน ยังไม่ทันจะได้แหงนหน้ากู่ร้องด้วยความปีติยินดี ก็มีคนมาแย่งตัวคู่หมั้นไปเสียฉิบ
สถานการณ์เช่นนี้ พล็อตเรื่องเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอคุ้นเคยเป็นอย่างดี นี่มันบทของตัวหลักชัดๆ
อีกทั้งใต้หล้าฟ้าเขียว ข้าพเจ้าที่จากโลกมายังอีกภพหนึ่ง ยังนับว่าใช้ชีวิตไม่พออีกหรือ
ด้วยเหตุนี้ ฉินจิ่วเกอจึงเลิกชายแขนเสื้อหมายจะตามไปทวงความยุติธรรมเอากับฝ่ายนั้นโดยไม่ลังเล แต่อนิจจัง โชคชะตาไม่เข้าข้าง ปาฏิหาริย์ไม่บังเกิด อีกฝ่ายยกโขยงกันมาจนมืดฟ้ามัวดิน กลับเป็นตัวเอกของเราฉินจิ่วเกอที่ถูกรุมสหบาทาจนบุพการีก็ยังจำไม่ได้ มิหนำซ้ำว่าที่เจ้าสาวที่ยังไม่ทันจะพบหน้ายังหอบผ้าหอบผ่อนตามฝ่ายนั้นไปทันที
ผลเลยกลายเป็นว่าฉินจิ่วเกอในชาติก่อนยังไม่ทันจะได้เป็นทรราชสำแดงบารมีไปทั่วหล้า กลับต้องมากระอักเลือดตายอย่างไม่เป็นธรรมที่สุด หลังกระเสือกระสนอยู่ในห้วงแห่งความโกลาหลจนรอดมาได้ ฉินจิ่วเกอก็ข้ามภพมาอีกครั้ง และก็ได้รับบทเรียนสอนใจมาอย่างหนึ่ง
ผู้ข้ามภพใช่ว่าจะได้เป็นพระเอกเสมอไป เหมือนอย่างที่ท่านไม่อาจถูกหวยราคาห้าล้านในงวดเดียว บางคนข้ามภพไปแล้วอาจได้เป็นตัวเอก แต่ส่วนตัวข้าพเจ้า เกรงว่าแม้แต่พระรองก็ยังเกินอาจเอื้อม ถึงขั้นว่าแม้จะอยากเกิดเป็นขาสุกร ก็ยังต้องดูว่าสุกรตัวนั้นจะยินยอมหรือไม่
“ศิษย์เอกของศิษย์ฝ่ายในพรรคหลิงเซียว?” หลังเพ่งสมาธิอยู่นาน ฉินจิ่วเกอก็ครอบครองร่างนี้ได้สมบูรณ์ กระนั้นความทรงจำของมันกลับพร่าเลือนอยู่บ้าง
คลับคล้ายคลับคลาว่ามันคือพี่ใหญ่ของศิษย์สายในพรรคหลิงเซียว เทียบกับนายน้อยจากตระกูลเล็กๆ ก่อนหน้าแล้วยังเหนือกว่า
“ช่างเถอะ ในเมื่อได้สมญาศิษย์พี่ใหญ่ลำดับหนึ่งประจำพรรค เช่นนั้นชาตินี้ก็คงไม่อดอยากแล้ว นั่งรอความตายเช่นนี้ก็ไม่เลว ที่เหลือถึงคิดไม่ตกก็ไม่สำคัญแล้ว”
ฉินจิ่วเกอตระหนักถึงข้อเท็จจริง ในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าฝันเฟื่องว่าจะได้เป็นตัวเอกอีก
ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ในเมื่อสวรรค์ท่านปิดประตูใส่หน้า ย่อมต้องแง้มบานหน้าต่างทิ้งไว้ให้ข้าได้พอหายใจบ้างสิน่า
ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว พอทวนชื่อนี้แล้วรู้สึกหัวสมองเบาสบายยิ่ง ฉินจิ่วเกอที่ไร้ความทะเยอทะยานพยักหน้าให้กับตัวเองอย่างพึงพอใจ ล้มเลิกความคิดในการกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของตัวเองไปโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้น ฉินจิ่วเกอที่นั่งจับเจ่าอยู่บนเตียงพลันต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า เหงื่อบนใบหน้าแตกซ่กเหมือนห่าฝน ฟันขบกัดจนเกิดเสียงดังกรอดๆ
“ไม่ดีแล้ว!” ฉินจิ่วเกอร้องเสียงแหลมเมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี “มีใครอยู่บ้าง!”
แม้จะแหกปากเพียงใด หากก็ไม่มีใครได้ยิน ด้วยฐานะศิษย์พี่ใหญ่ประจำพรรค จึงได้ครอบครองฐานที่มั่นบนยอดเขาถึงกึ่งหนึ่ง ทั้งเจ้าของร่างคนก่อนมีชื่อเรื่องความอหังการอย่างถึงที่สุด
และสืบเนื่องจากความอหังการนี้เอง กระทั่งตอนธาตุไฟแตกขณะบำเพ็ญเพียรก็ยังไม่มีศิษย์คนไหนพกกระเช้าดอกไม้มาเยี่ยมเยือนสักรายเดียว
นี่เองก็เป็นอีกบทเรียนเตือนใจ หากท่านไม่ใช่ตัวเอกอย่าได้ริอ่านทำตัวอวดเบ่งไม่เห็นหัวใคร หาไม่แล้วความฉิบหายย่อมมาเยือนท่านถึงที่
หลังเลิกผ้าห่มให้พ้นตัว พบว่าทั่วทั้งบริเวณล้วนเปียกปอนไปด้วยเหงื่อกาฬชุ่มโชก
ฉินจิ่วเกอขบริมฝีปากแน่นขณะทาบมือไว้กับหน้าท้องตัวเอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังยื่นออกไปมองนอกหน้าต่าง หากก็เห็นแต่เงาไม้ที่โยกไหวอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นวล
“เจ้าข้าเอ้ย ใครก็ได้ช่วยด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าต้องการความช่วยเหลือด่วน!”
แม้มันจะโก่งคอจนเส้นเอ็นปูดโปน ที่ตอบรับกลับมีเพียงเสียงลมหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างสหายร่วมพรรคของเจ้าของร่างคนก่อนจะไม่ใช่แค่ย่ำแย่ แต่ถึงขั้นสุนัขไม่เหลียวสุกรไม่แลเลยต่างหาก
หากฉินจิ่วเกอหาได้มีเวลามาสนใจเรื่องพรรค์นี้ไม่ ในเมื่อไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย ท่านก็ได้แต่ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง!
ตาแก่เคยสอนว่า คนเรามีกิจที่ต้องรีบทำอยู่สามอย่าง แบ่งเป็น ขับถ่าย ปัสสาวะ และปากท้อง
แน่นอนว่าที่ไม่อาจทานทนที่สุดคือกิจด้านการขับถ่าย บ่งบอกว่าฉินจิ่วเกอยามนี้ใกล้สติแตกอยู่รอมร่อ
“คนในพรรคตายโหงกันหมดแล้วหรือไร? เย็นชากันเกินไปแล้ว ไร้น้ำใจกันเกินไปแล้ว” ขณะพร่ำบ่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแทบไม่เป็นภาษา บริเวณช่วงท้องก็รู้สึกเจ็บแปลบคล้ายถูกมีดแทง ฉินจิ่วเกอได้แต่สวดส่งต่อความไม่เป็นธรรมที่สหายร่วมพรรคยัดเยียดให้
ชาติที่แล้วรับบทพระรองได้ไม่ถึงสามตอนก็ต้องมาด่วนจากไปเพราะโทสะอัดอกเสียก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอทำใจได้ แต่คราวนี้หากต้องมาตายเพราะเรื่องท้องไส้ทั้งที่เพิ่งข้ามมา ฉินจิ่วเกอไม่ทราบว่าชนรุ่นหลังจะชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์กันเช่นไรบ้าง
หากมีการจัดลำดับ ฉินจิ่วเกอย่อมได้ครองตำแหน่งผู้ข้ามภพที่ถูกคนหัวร่อเยาะมากที่สุด และจะเป็นคนสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากแน่ใจแล้วว่าบริเวณนี้แม้แต่วิญญาณสักตนก็ยังไม่มีให้เห็น ฉินจิ่วเกอจึงได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม ยกขาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงประหนึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวลงจากเตียง จากนั้นก็กระถดตัวไปบนพื้นด้วยสภาพที่ไม่ต่างไปจากหนอน
ด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทิ้ม ฉินจิ่วเกอเค้นเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดกระเสือกระสนไปเบื้องหน้า มุ่งไปทางบานประตูที่มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา จนท้ายที่สุดมันก็กระถดตัวออกจากห้องเล็กๆ แห่งนี้ได้สำเร็จ
หากไม่ใช่ว่าสังขารของคนผู้นี้ย่ำแย่เข้าขั้นไร้ความหวัง ฉินจิ่วเกอคงไม่เกิดแรงบันดาลใจในการคลานสี่เท้าเช่นนี้แทนการเดินสองขาอย่างแน่นอน
“พรรคก็ใหญ่ปานนี้ กลับไม่มีห้องน้ำ?” ราตรีเย็นยะเยียบดุจผิวน้ำ เสียงของเด็กหนุ่มที่จวนเจียนจะสิ้นหวังดังขึ้นอีกครั้ง
ด้วยจิตใจอันบากบั่นไม่ย่อท้อ ฉินจิ่วเกอยังคงคลานสี่ขาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉินจิ่วเกอบอกกับตัวเองในใจว่าก่อนที่ทำนบในตัวจะพุ่งพรวดออกมา ไม่ว่าอย่างไรตนจะต้องหาสถานที่ทำกิจให้เจอให้จงได้
นับแต่โบราณกาล สถานที่ปลดเปลื้องของเสียในกายล้วนมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทว่าหน้าที่ของมันล้วนเหมือนกัน
บ้างก็เรียกที่ขับถ่าย บ้างก็เรียกที่ปลดทุกข์
คนสมัยนี้อาจเรียกห้องน้ำ หรือไม่ก็คืนธัญพืชสู่ธรรมชาติ ห้าเหมาครั้ง หรือห้ามต่อราคา
เห็นได้ชัดว่า ดูจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวจนยับยู่ยี่ หากก็ยังคงไม่ถอดใจของฉินจิ่วเกอแล้ว แปลว่ามันต้องตัดสินใจได้แล้ว
ในเมื่อเป็นสถานที่ปลดทุกข์ กลิ่นจะต้องรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนที่จะต้องจำนนให้กับโชคชะตาสีเหลือง อาศัยกลิ่นอายอันคุ้นเคยที่มีแต่ห้องน้ำจะพึงมี ท้ายที่สุดฉินจิ่วเกอก็ตามหาสรวงสวรรค์ในยามยากได้สำเร็จ
“สวรรค์!” ฉินจิ่วเกอเมื่อเข้ามาแล้วก็โห่ร้องอย่างยินดีจนน้ำตานองหน้า แต่ทางที่ดีวาสนาเช่นนี้อย่าได้มีบ่อยจะดีกว่า หาไม่แล้วคงต้องประสบเคราะห์กรรมที่เลวร้ายกว่านี้
วันนี้ท้องฟ้าหม่นมัว ดวงจันทร์แขวนคั่นระหว่างดาวทานหลางและดาวกระบวยเหนือ แทบไม่อาจมองเห็นด้ามกระบวยสีเงินยวง นี่เป็นลางร้ายที่ยากพบพานในรอบพันปี
แต่ไรมาทวีปฉงหลิงล้วนนับถือยอดฝีมือดุจราชัน ขุมอำนาจทั่วสารทิศล้วนผงาดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกันจนเกิดเป็นร้อยสำนักประชันภูมิ
ใช้ไอวิญญาณขัดเกลาสังขาร หลังละสังขารจึงชักนำจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเพื่อทำการเบิกจิต นี่คือหนทางแห่งการฝึกพรต
บำเพ็ญตนเป็นพรต ล่วงรู้มรรคาแห่งสวรรค์ อายุขัยยืนยาวชั่วกาลนาน
ต่อให้ไม่อาจอยู่ยงฟ้าดิน หากก็ได้เปิดหนทางสู่โลกุตระ เคลื่อนภูผาผ่ามหานที
คืนนี้ฉินจิ่วเกอชะตาอาภัพ แต่ในพรรคหลิงเซียว นอกจากมันแล้วยังมีสหายร่วมชะตาอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย
ละแวกนี้คือเขตหวงห้ามของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกไม่อาจย่างกรายเข้ามาตามใจชอบ ขณะที่ฉินจิ่วเกอร่ำๆ จะถึงสรวงสวรรค์อยู่นั้น ไกลออกไปบนทางอันมืดมิดเส้นหนึ่งปรากฏเงาร่างสีดำขนาดใหญ่ขึ้น หากสภาพไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่
“แย่แล้ว แย่แล้ว จะอั้นไม่อยู่แล้ว” ผู้มามีรูปร่างอวบอัดยิ่งกว่าหยางกุ้ยเฟย หน้าอกหน้าใจยังอวบอิ่มอลังการยิ่งกว่านางในฝันของมหาเถระวัดเส้าหลินอยู่อักโข
ขณะพุ่งตัวมาจนแทบจะกลายเป็นกลิ้ง มนุษย์ที่มีรูปร่างเหมือนก้อนเนื้อนี้ก็เกิดการกระเพื่อมไหวไปทั่วทั้งตัว ปรากฏว่าเป็นบุรุษสูงแปดฉื่อ รอบเอวก็วัดได้แปดฉื่อเช่นกัน คาดว่ายามสิ้นใจคงสูงตระหง่านยิ่งกว่าเขาไท่ซาน เถ้ากระดูกคงหนักกว่าคนทั่วไปถึงสามจิน (โลครึ่ง)
ผู้มาคือศิษย์สายในพรรคหลิงเซียว หนิวว่านซาน ศิษย์ลำดับสี่
พรรคหลิงเซียวเป็นพรรคเล็กๆ แห่งหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ที่ครองตำแหน่งหัวหอกอย่างฉินจิ่วเกอฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่ หากที่จริงศิษย์สายในของพรรคกลับมีด้วยกันทั้งหมดเพียงห้าคน
ด้วยนิสัยซื่อตรงและรูปร่างอันพิเศษจำเพาะของหนิวว่านซาน มันจึงถูกจัดอยู่ลำดับรองบ๊วย เป็นศิษย์น้องสี่
หลังเสร็จกิจ ฉินจิ่วเกอที่อยู่ในหลุมถ่ายก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ขณะจัดแจงอาภรณ์ให้เข้าที่เตรียมจะกลับเข้าห้อง ไม่รอให้มันได้เปิดประตู ประตูห้องส้วมก็ถูกผลักกระแทกเข้ามา ตามมาด้วยเงาทะมึนๆ ดุจขุนเขาก้อนเนื้อที่พยายามเบียดตัวเข้ามา
ห้องส้วมที่ก่อขึ้นจากโครงไม้ไผ่แต่เดิมก็ใช่ว่าจะทนต่อแรงกระแทก ประสาอะไรกับมวลพลังมหาศาลประหนึ่งขุนเขาทับถล่มนี้ เกิดเสียงปริแตกขึ้นก่อน ตามมาด้วยเสียงไม้ไผ่แตกหักอย่างต่อเนื่อง ฉินจิ่วเกอที่กำลังจะก้าวออกจากห้องไม่ทันได้ตั้งตัว กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คนก็ร่วงโครมกลับลงหลุมถ่ายไปเป็นที่เรียบร้อย
หนิวว่านซานถึงกับยืนงงอยู่กับที่ ใครจะไปนึกว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้จะยังมีคนอยู่ และที่สำคัญไปกว่านั้น ดูเหมือนที่อีกฝ่ายตกลงไปจะเกิดจากฝีมือของตน นี่ยังจะไม่ใช่ความแค้นเยี่ยงสังหารภรรยาขโมยบุตร ทรยศอาจารย์ฆ่าล้างบรรพชนอีกหรือ!
หลังตระหนักว่าเจ้าคนดวงกุดผู้นี้เป็นใคร หนิวว่านซานก็ได้สติ มันไม่ได้วิ่งหนี หากแหกปากตะโกนเสียงดังว่า “มีใครอยู่บ้าง เจ้าข้าเอ๊ย ศิษย์พี่ใหญ่ตกหลุมถ่ายไปแล้ว!”
หนิวว่านซานแม้จะทึ่มทื่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ชั้นไขมันทับซ้อนกันเป็นระลอก หากมันก็ไม่ได้โง่งมถึงขั้นต้องกระโดดลงไปในหลุมถ่ายเพื่อดึงตัวฉินจิ่วเกอขึ้นมา
การที่ยืนอยู่บนปากหลุมพลางแหกปากขอความช่วยเหลือเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการทำตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว
ส่วนฉินจิ่วเกอที่เพิ่งตกจากสวรรค์ลงสู่ขุมนรกนั้น บัดนี้กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในหลุม ไหนเลยจะมีปัญญาส่งเสียงร้องสักแอะ
ไม่ทราบเป็นเพราะศิษย์สายในพรรคหลิงเซียวมีจำนวนน้อยเกินไป หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น แต่ยามที่ได้ยินคำว่าศิษย์พี่ใหญ่ตกหลุมถ่าย กลับไม่มีใครโผล่หน้ามาสักรายเดียว
ว่าก็ว่าเถอะ คำพูดของหนิวว่านซาน น้ำหนักไม่ได้ต่างไปจากคำว่า “อาจารย์พลัดตกลงไปในหลุมแล้ว” เลย
แม้ร่างที่ฉินจิ่วเกอครอบครองอยู่จะบรรลุถึงขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้า ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ช่วยมันจากวิกฤติในคราวนี้เลย ไหนจะอาการป่วยหนักนั่นอีก
ภาพตรงหน้าใกล้จะดับลงเต็มที ความแค้นใจในยามนี้ของฉินจิ่วเกอแทบไม่ด้อยไปกว่างักฮุยตอนอยู่ที่ศาลาเฟิงป๋อเลยแม้แต่น้อย
“รีบมาเร็ว ศิษย์พี่ใหญ่ตกลงไปในหลุมถ่ายจริงๆ !” หนิวว่านซานยังคงกู่ร้องต่อไป หากไม่มีแม้แต่เงาโผล่มาให้เห็น
ขณะที่มันเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่บนปากหลุม กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็สั่นเทิ้มตามจังหวะก้าวเดินไม่หยุด
ว่ากันตามมโนธรรมแล้ว การกระทำของหนิวว่านซานจะว่าผิดก็พูดได้ไม่เต็มปาก ที่จริงนับว่ามันมีน้ำใจมากแล้ว
หากคนที่ชนฉินจิ่วเกอร่วงลงไปในหลุมถ่ายไม่ใช่หนิวว่านซานแต่เป็นคนอื่น ปฏิกริยาตอบสนองแรกย่อมไม่ใช่การตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่คงจะแอบอยู่ข้างๆ พร้อมตัดต้นไผ่ตามไปด้วย
ถึงอย่างไรการชนคนตกลงไปในหลุมถ่าย เทียบกับความบาดหมางชนิดเข่นฆ่าล้างด้วยเลือดแล้วก็ยังเลวร้ายกว่า เป็นความแค้นชนิดที่ต่อให้หนีไปจนสุดขอบหล้าฟ้าเขียวก็ยังไม่อาจหนีพ้น
ไม่สู้ใช้ลำไผ่กดนาบอีกฝ่ายเอาไว้ก้นหลุมให้ไปเกิดใหม่ไวๆ ไม่แน่ชาติหน้าอาจได้ไปเกิดเป็นตัวเอกก็ได้
จากนั้นก็สะบัดชายเสื้อจากไปพร้อมกับความสำเร็จและชื่อเสียงที่เก็บซ่อนไว้
พระโพธิสัตว์เปี่ยมเมตตา ขนาดยามโปรดสัตว์ยังไม่อาจไม่คำราม ฉินจิ่วเกอเองไม่ใช่คนดีอะไร นี่เป็นวิถีปฏิบัติของมันมาโดยตลอด
ขณะที่ใกล้จะไปเยือนปรโลกอย่างไม่เต็มใจอยู่นั้น ในใจพลันบังเกิดสติปัญญาขึ้นวูบ
ฉินจิ่วเกอรีดเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถีบส่งตัวเองจนโผล่พ้นกองปฏิกูล จากนั้นก็โก่งคอร้องจนสุดเสียง “ผิดมโนธรรมอะไรเช่นนี้ ดึกดื่นค่อนคืนถึงกับมีศิษย์น้องหญิงมาวิ่งเปลือยกายท้าแสงจันทร์ อวดเรือนร่างจนนัยน์ตาแทบมืดบอด
← ตอนก่อน