พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 10 ข่มขู่ราวกับเด็ก
เฟิ่งชิงหัวยิ้มๆ กะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างซุกซนว่า “เพคะ ข้ารู้แล้ว สามีอ๋องของข้า ”
แววตาของจ้านเป่ยเซียวขรึมลง มือที่จับอยู่เพิ่มแรงมากขึ้นอีกส่วน พาเฟิ่งชิงหัวและเลื่อนเก้าอี้รถเข็นไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้แต่วิ่งเหยาะๆตามเขาไป
ร่างกายถูกควบคุมให้เดินตาม แต่สายตากลับมองไปรอบๆอย่างสังเกตไม่หยุด มองดูพระราชวังที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
พระราชวังดูทรงพลังอำนาจมาก มีตำหนักตั้งตระหง่านเรียงราย ศาลาและหอในวังหลวง สายนำที่ไหลคดเคี้ยว นางกำนัลเดินขวักไขว่ไปมา แต่ไม่รู้สึกวุ่นวายเลย แต่ละคนก้มหน้าไม่กล้ามองสายตาของคนอื่น
ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินอยู่บนสะพานหิน ด้านล่างสะพานเป็นภูเขาจำลอง
เฟิ่งชิงหัวมองมือข้างซ้ายของตนเอง แล้วก็เงยหน้ามองไปยังคนบางคนที่อยู่ข้างๆและมีสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกระอาใจ ถูกจับไว้ตั้งนานแล้ว มือก็รู้สึกชาขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายคนนี้ทำขึ้นจากน้ำแข็งหรือเปล่า ทำไมจึงได้เย็นชาขนาดนี้
มืออ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกบิดไปมาในอุ้มมือของเขา สายตาของจ้านเป่ยเซียวเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ใบหน้าไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา เพียงแต่แรงที่จับมือนางยิ่งแน่นมากขึ้น เฟิ่งชิงหัวมองดูนิ้วมือที่ขาวซีดของตนเอง ย่นจมูกเล็กน้อย
ข้างภูเขาจำลอง มีคนสองคนกำลังหลบอยู่ตรงนั้นอย่างลับๆล่อๆ มีคนหนึ่งชี้ไปยังสองคนที่อยู่บนสะพานและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ดูซิ คนนั้นก็คือพระชายาองค์ใหม่ หน้าตาก็ธรรมดานี่นา”
“อืม ข้าน้อยก็เคยเห็น งานร้อยบุปผาครั้งที่แล้วเหมือนนางจะเข้าร่วมด้วย”
“ดูพวกเขาสองคนเหมือนจะรักกันมาก ที่เสด็จอาจูงมือนางไว้ ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆเลย เห็นได้ชัดว่านี่คือการแสดงความรักต่อกัน หญิงคนนี้มีแผนการไม่ธรรมดาเลย”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้วรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง อะไรคือแสดงความรัก เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้จับมือนางเอาไว้เพราะเกรงว่านางจะก่อเรื่องให้เขาต้องเสียหน้าจึงจับไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย แม่นางคนนี้ เจ้าไม่เห็นหรือไงว่ามือของข้าแทบจะหักอยู่แล้ว
ก้มหน้าจ้องมองจ้านเป่ยเซียวด้วยสายตาดุ กลับเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีสีหน้านิ่งราวกับผืนน้ำ เฟิ่งชิงหัวเกิดความคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
ยกชายกระโปรงขึ้นเบาๆ ตวัดปลายเท้า ในมือก็มีหินปูพื้นเพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน ช่างน้ำหนักด้วยมือแล้ว โยนไปทางสระน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
คลื่นน้ำกระเซ็นขึ้นสูงมาก น้ำไม่น้อยที่กระเซ็นไปถูกร่างของคนสองคนที่อยู่ทางด้านหลังของภูเขาจำลอง
“ตายแล้ว ใครโยนก้อนหินมา ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร กล้าทำให้น้ำกระเซ็นใส่หน้าองค์หญิงเช่นนี้”
สองคนที่อยู่หลังภูเขาจำลองรีบวิ่งออกมาทันที และพบกับพวกเฟิ่งชิงหัวที่ลงมาจากสะพานพอดี
หญิงสาวตรงหน้าสวมชุดชาววัง ดูแล้วเหมือนจะอายุน้อยกว่าเฟิ่งชิงหัวหลายปี ท่าทีในการพูดจาดูวางอำนาจมาก เพียงแต่บนใบหน้าและเสื้อผ้ามีรอยเปื้อนของน้ำ จึงทำให้ดูน่าสมเพชอยู่บ้าง
มองดูจ้านเป่ยเซียวที่สีหน้าคร่ำเคร่ง สีหน้าของหญิงสาวที่สวมชุดชาววังก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบโค้งตัวคำนับทันที “อานผิงคำนับเสด็จอา”
นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าคำนับลงกับพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด ผ่านไปนานก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
องค์หญิงอานผิงและนางกำนัลมีความคิดเหมือนกัน รอบๆนี้ไม่มีคนอยู่ ก้อนหินเมื่อครู่นี้ต้องเป็นจ้านเป่ยเซียวโยนไปแน่ๆ เพื่อเป็นการลงโทษพวกนางที่มาแอบนินทาอยู่หลังภูเขาจำลองนั่น เมื่อคิดถึงนิสัยปกติของเสด็จอา สีหน้าขององค์หญิงอานผิงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
เสียงเยือกเย็นจับใจของจ้านเป่ยเซียวออกจากปาก แต่สายตากลับมองไปที่เฟิ่งชิงหัว มุมปากโค้งขึ้น “อานผิงลุกขึ้นเถอะ เจ้าอย่าโทษนางเลย นางอายุยังน้อยทำอะไรไม่ค่อยรอบคอบ”
ว่าแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดึงมือที่เปื้อนฝุ่นของเฟิ่งชิงหัวขึ้น ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้อย่างดี “โตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังจะถือสาเด็กๆอีก”
แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนไป น้ำเสียงก็ยังคงราบเรียบ แต่องค์หญิงอานผิงกลับรู้สึกว่าเสด็จอาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ช่างน่าหลงใหลมาก
พอได้สติ ก็เห็นว่าเฟิ่งชิงหัวมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีใจนัก จึงทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะพูดว่า “เสด็จอาพูดถูกต้อง ยู่หมิงขอตัวลาเพคะ”
รอให้ทั้งสองคนจากไปแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดมือของจ้านเป่ยเซียวออกราวกับเขาเป็นโรคน่ารังเกียจ “ท่านอ๋องแสดงเก่งจริงๆ”
จ้านเป่ยเซียวโยนผ้าเช็ดหน้าในมือทิ้งไป น้ำเสียงเย็นยะเยือก “อยากจะใช้ข้าเป็นโล่กำบัง ช่างเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นกลับหัวเราะออกมา “คำพูดนี้หม่อมฉันขอคืนให้กับท่านอ๋องเช่นเดียวกัน ”
แสงแดดอบอุ่น ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลงเป็นทรงจันทร์เสี้ยว ราวกับแมวน้อยที่เกียจคร้านอยู่เสมอ ใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่ถึงกับงามอย่างไร้ที่ติกลับมีรอยยิ้มที่สะกดใจมาก จ้านเป่ยเซียวนิ่งชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็นึกถึงเรื่องการเดิมพันขึ้นมา เอ่ยเสียงเย็นว่า “เดินเร็วหน่อย ประเดี๋ยวถ้าเข้าไปแล้วทำให้ข้าขายหน้า ข้าจะลงโทษไม่ให้เจ้ากินข้าวสามวัน”
เฟิ่งชิงหัวหลุดเสียงหัวเราะออกมา เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงส่ง แต่กลับใช้คำขู่ที่ดูเป็นเด็กเช่นนี้มาข่มกัน ถ้าไม่ใช่จะตีขาให้หักก็จะไม่ให้กินข้าว