ซวย ซวยแล้วซวยอีก

         ผมนั่งกุมขมับอยู่บนรถม้าพลางมองวิวอันแสนสวยงามของเมืองหลวงด้วยความสับสนงุนงงและความไม่เข้าใจ

         ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเมืองหลวงตั้งใหญ่ตั้งโต บ้านเรือนก็มาก แถมคนร่ำคนรวยยังเยอะติดอันดับต้นๆของทวีปแท้ๆ

         แล้วทำไม…แล้วทำไมเมืองหลวงที่ว่ามา มันถึงได้มีบ้านผีสิงงอกขึ้นมาได้!?

         ผมนั่งกุมมือที่สั่นทำไม่หยุด พลางในใจก็ท่องนโมๆ พุทโธๆไม่หยุด เพราะถึงผมจะเป็นคนบ้า แต่ความบ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะบ้ากับผีได้…..

         ผมกลัวผี นั่นล่ะคือประเด็น บอกไว้เลยเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วมันหลอกพาผมไปดูหนังผีเนี่ย ปิดตามันตลอดทั้งเรื่อง ค่าตั๋วแปดสิบบาทผมคงได้ใช้มันอยู่แค่สองสตางค์ไว้ดูตัวอย่างหนังก่อนเริ่มเรื่องแค่นั้น

         เวลากลางคืนยิ่งแล้วใหญ่ ตอนไปเข้าค่ายโรงเรียนแทบต้องนอนคลุมโปงปิดหน้าปิดตาตลอดเวลา เจ้าพวกเพื่อนเลวเลยแกล้งทำเสียงหลอนๆใส่ ทำเอาผมตัวสั่นนอนไม่หลับไปทั้งคืน

         ตอนนี้ก็เช่นกัน พอรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องไปเจอมันไม่ใช่ปีศาจหรือมอนสเตอร์ที่ไหน แต่เป็นผี ผีที่ตามหลอกตามหลอนเราทั้งวันทั้งคืน ผีที่หน้าเหวอะหวะเลือดไหลเต็มหน้าพร้อมโผล่มาแบบตุ๊งแช่ให้เราตกใจ แค่คิดผมก็กลัวแล้ว

         งึกๆ

         ตัวผมสั่นเป็นลูกนกไม่หยุด เมื่อคิดว่าต่อไปสิ่งที่ผมเจอคือผีอันแสนน่ากลัว แต่จะทำไงได้ ถึงอยากปฏิเสธมันก็ปฏิเสธไม่ลง เพราะนี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ผมออกมาข้างนอกได้นี่นา

         ย้อนกลับไปตอนที่คุยรายละเอียดคร่าวๆกับท่านสังฆราช ทำให้ผมรู้ว่าความซวยทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากตัวผมเองล้วนๆ

         “ท่านนักบุญสิ่งที่ท่านได้บอกข้ามา ข้าเข้าใจท่านดีถึงใจของท่านที่อยากช่วยเหลือเหล่าสาวกผู้ทนทุกข์ แต่ข้าก็คำนึงถึงพลังของท่านที่ยังไม่พร้อมเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงเลือกงานที่เหมาะสมง่ายดายให้แก่ท่าน”

         ง่ายมากเลยท่านสังฆราช รู้ไหมว่างานปราบผีสำหรับผมน่ะ มันโคตรจะยากยิ่งกว่าให้ไปชุบคนตายไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยกี่พันเท่า

         แถมสิ่งที่ผมเอามาปราบผีคืออะไร? น้ำกรด! ใช้น้ำกรดกับผีที่ตัวช่างบางใสทะลุปรุโปร่งแบบนั้น มันจะได้ผลไหมท่าน นี่ไม่ใช่หนังเกรดบีที่อุปกรณ์แปลกๆมันจะใช้ได้ผลกับผีปีศาจทุกตัวนะ

         ผมคิดพลางเหลือบตามองเจ้าน้ำสีขุ่นปานน้ำท่อ ในใจก็สงสัยว่ามันจะช่วยผมปราบผีได้จริงๆอย่างงั้นเหรอ? เพราะถึงต้นกำเนิดของมันจะเป็นน้ำมนต์ แต่หลังผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายมานับไม่ถ้วน มันกลายเป็นวัตถุอันตรายที่ดูไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว

         “น้ำกรดศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ช่วยเป่าผีเป่าสางที่หนูจะพบเจอในภายภาคหน้าด้วยเถอะค่ะ สาธุ!”

         ผมประคองน้ำมนต์สูตรกรดเข้มข้นขึ้นเหนือหัว ก่อนจะเขย่าไปมาราวกับพิธีบูชาอะไรสักอย่าง แต่ต้องรีบเอาลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคนเคาะประตูรถม้า

         “ท่านนักบุญครับ ถึงแล้วครับ”

         ยังไม่ได้เตรียมใจเลย! ใจเย็นๆได้ไหม ขอผมบูชาท่านเทพพระเจ้ากรดให้เสร็จก่อนได้ไหม ถึงจะไร้ประโยชน์ก็ขอหาอะไรมาเป็นที่พึ่งทางใจก่อนเถอะ!

         “ท่านนักบุญขอรับ?”

         ไม่ได้การ สงสัยผมคงต้องยอมลงไปโดยบูชาท่านเทพพระเจ้าแห่งกรดไม่เสร็จแล้วล่ะ เพราะถ้าเกิดยังถ่วงเวลาต่อไปเขาอาจสงสัยแล้วเปิดประตูมาเช็คสภาพได้

         มันคงดูไม่จืดมากถ้ามีใครเปิดมาเห็นสภาพสาวน้อยอายุ 6 ขวบกำลังชูขวดน้ำมนต์ที่มีสีดำปี๋แล้วเขย่ามันไปมาอย่างบ้าคลั่งประดุจดั่งกำลังทำพิธีไสยศาสตร์อะไรบางอย่าง

         ถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้นล่ะก็ มีหวังได้มีข่าวลืออะไรบ้าบอเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

         หลังตัดสินใจได้แล้ว ผมจึงเก็บขวดมนต์ลงกระเป๋า แล้วค่อยตอบกลับคนต้อนรับให้เขาเปิดประตูให้

         “ค่ะ พร้อมแล้วค่ะ”

         ผมค่อยๆเดินลงรถม้าอย่างช้าๆ พลางแอบอุ่นใจที่เห็นว่ารอบตัวผมมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์หลายสิบนายยืนคุ้มกันอยู่ แถมดูจากตราที่ปักไว้เป็นเลขสอง ก็ยิ่งอุ่นใจเข้าไปใหญ่เพราะพวกเขาเหล่านี้คือเหล่าอัศวินที่เก่งเป็นอันดับสองรองจากหน่วยที่หนึ่ง

         ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาของอัศวินหน่วยที่สองคือพวกเขาจะใส่ชุดเกราะที่หนากว่าหน่วยอื่นๆเป็นพิเศษเพราะหน้าที่ของพวกเขามักเป็นการคุ้มกันบุคคลสำคัญของศาสนจักรเป็นหลัก ผิดกับหน่วยแรกที่เป็นหน่วยบุกทะลวง ดังนั้นแม้การจู่โจมจะไม่สู้แต่เรื่องการป้องกันก็เชื่อถือได้

         แต่กับผีจะเชื่อถือได้หรือไม่ งานนี้ผมต้องถามพวกเขาดูให้มั่นใจซะหน่อยแล้ว

         “เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะ ท่านหัวหน้าหน่วย เอ่อ…”

         ผมร้องทักชายที่มีผ้าคลุมสีขาวขลิบทองอันเป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้าหน่วย แต่ก็สะดุดไปเพราะผมยังไม่รู้ชื่อของเขา

         เหมือนเขาจะรู้ตัว หัวหน้าอัศวินจึงรีบคุกเข่าของตัวเอง ก่อนจะรีบรายงานตัวของเขาโดยทันที ซึ่งเอาจริงๆสำหรับผมก็แอบรู้สึกเสียมารยาทหน่อยๆที่ทักอีกฝ่ายไปทั้งๆที่ไม่รู้ชื่อของเขาแบบนี้

         “ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับท่านนักบุญ ตัวข้าหัวหน้าหน่วยแห่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่สองแห่งเรสเวนน่า โซแลร์ เดอ บีแยร์ครับ ขอรายงานตัวต่อท่านนักบุญศักดิ์สิทธิ์ครับ”

         เมื่อจบคำแนะนำตัวของเขา เหล่าอัศวินนับสิบได้คุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาหยิบดาบของตัวเองขึ้นมาและปักมันลงกับพื้น

         “ในนามแห่งอัศวินผู้ยึดมั่นในคำสอนของพระเจ้า พวกเราจะปกป้องท่านให้ถึงที่สุด”

         “ขอบคุณมากค่ะ”

         ผมยิ้มขอบคุณให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มแสนงดงามของออโรร่า และผลที่ตามมามันยิ่งกว่าที่ผมคาดเอาไว้ เพราะตอนนี้อัศวินศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนต่างทำหน้าเคลิ้มกับรอยยิ้มของผม ยิ่งท่านหัวหน้าหน่วยยิ่งแล้วใหญ่

         “อา~ รอยยิ้มของท่านนักบุญช่างเจิดจ้าเหมือนแสงตะวันที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าจริงๆ แค่ได้เห็นก็ราวกับได้เห็นเทวฑูตมาอวยพรให้กับเรา”

         ผมว่าสมองนายท่าทางจะเป็นหนักแล้วนะ….

         เข้าใจอยู่ว่าออโรร่าน่ะน่ารักมาก แต่พวกนายยิ้มกันแบบนี้รู้ไหมว่าชาวบ้านชาวช่องเขาจะคิดว่าหน่วยอัศวินของศาสนจักรเป็นหมีโลลิค่อนเอาได้นะ

         แต่เอาเถอะ เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ผมคงต้องคิดถึงจุดประสงค์หลักที่ผมมาที่นี่ก่อนน่าจะดีกว่า เพราะยิ่งทำเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ผมจะได้ไปกินขนมหลังเสร็จงาน

         “ค่ะ ต้องขอบคุณท่านหัวหน้าอัศวินโซแลร์และท่านอัศวินหน่วยที่สองทุกท่านจริงๆ ที่มาคุ้มครองตัวหนูในภารกิจครั้งนี้ค่ะ”

         “หามิได้ครับ นี่น่ะนับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเราได้เคยทำมาก็ว่าได้ แค่ได้ปกป้องตัวท่าน แม้จะเป็นภายในเมืองหลวงอันแสนสงบ ตัวข้าก็ตายตาหลับแล้ว”

         อัศวินคนหนึ่งพูดขึ้นมา ทำเอาผมเหงื่อตกกับความเวอร์ของพวกเขา จนผมเริ่มชักสงสัยจริงๆแล้วว่าพวกนักบุญคนก่อนๆไปทำกันอีท่าไหน เหล่าสาวกถึงได้คลั่งกันซะขนาดนี้

         “ถ้างั้นหนูขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ?”

         “ด้วยความยินดีครับ ท่านนักบุญ”

         “คือพอจะทราบว่าไหมคะว่าบ้านที่เรามาเพื่อปราบผีนั้นเป็นบ้านของใคร? เพราะท่านสังฆราชนอกจากแจ้งคำขอซึ่งร้องขอมาจากท่านสังฆราชเองให้กับตัวหนูแล้ว รู้สึกท่านดูจะไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไหร่ หนูเลยยังไม่ค่อยรู้ข้อมูลของสิ่งที่จะต้องเจอต่อไปค่ะ”

         นี่คือจุดหนึ่งที่ผมสงสัย เพราะปกติไม่ว่าจะงานเล็กน้อยหรือใหญ่ขนาดไหน ท่านสังฆราชจะบอกรายละเอียดให้ผมเสมอเพื่อให้ผมตัดสินใจ แต่คราวนี้นอกจากไม่ค่อยบอกอะไรเท่าไหร่แล้ว ท่านยังอยากให้ผมรับงานนี้จนเกือบถึงขั้นขอร้องแกมบังคับกันเลย

         อีกอย่างถ้าจะบอกว่าแค่มาปราบผีทั่วไปคงไม่น่าใช่ เพราะบ้านที่ผมมาถึงนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่มาก จนสามารถเรียกว่าคฤหาสน์ได้สบายๆ

         ผมเหลือบมองเจ้าบ้านที่ว่าด้วยความกลัวนิดๆ เพราะนอกจากไอทมิฬที่ส่งออกมาจากตัวบ้านแล้ว บรรยากาศข้างนอกยิ่งไม่ส่งเสริมความสบายใจในการเข้าไปเท่าไหร่

         ลองคิดสภาพบ้านร้างที่หลังคาผุๆพังๆแถมแถวๆหน้าบ้านยังมีคราบเลือดเปื้อนให้เห็นอยู่นิดๆดูสิ ไหนจะธนูที่ปักบางส่วนของบ้านอีก เห็นได้ชัดเลยว่าผ่านการฆ่าฟันกันมาแล้วไม่รู้กี่ศพ ไอ้บ้านสไตล์นี้น่ะได้ข่าวว่าผีดุสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอไง

         ผมที่คิดได้แบบนี้ก็มือสั่นเหงื่อแตกไม่หยุด แต่ก็ได้เก็บอาการเอาไว้ ไม่งั้นพวกอัศวินพวกนี้จะกังวลใจเพิ่มเปล่าๆ แถมนักบุญที่กลัวผีน่ะ มันโคตรจะดูไม่จืดเลยนะ

         “เอ่อคือเรื่องนี้…”

         เหล่าอัศวินที่ได้ฟังคำถามก็มองหน้ากันเลิกลั่กพร้อมส่งสายตาโยนกันไปมาจนผมรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึง

         งานนี้ได้กลิ่นตุๆ

         “เข้าใจแล้วครับ ข้าจะเป็นคนตอบเรื่องนี้เอง”

         หัวหน้าอัศวินโซแลร์ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมก้มหัวให้ผม เขาค่อยๆรวบรวมความกล้าของตัวเองเพื่อเล่าเรื่องราวออกมา

         “คือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหล่าคนในศาสนจักรไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเท่าไหร่น่ะครับ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ดำมืดของพวกเราเลยก็ว่าได้”

         เห ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ

         “เรื่องคงต้องเริ่มต้นจากเจ้าของบ้านคือใคร? เขาคือเอลลาส ฟรานซิสครับ”

         เอลลาส…เฮ้ๆ ถ้าจำไม่ผิด นั่นมันตำแหน่งรองลงมาจากท่านสังฆราชเลยไม่ใช่หรือไง? แล้วคนใหญ่คนโตแบบนี้มาเป็นเจ้าของบ้านผีสิงแบบนี้เนี่ยนะ?…..หรือว่า

         “ท่านฟรานซิสนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากครับ ไม่ว่าใครต่างก็ศรัทธาท่านแถมพระราชาองค์ก่อนก็ชื่นชอบท่านมากจนแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองแห่งเขตอีสต์เรสเวนด้วย แต่ก็น่าเศร้า เรื่องที่ทุกคนต่างไม่คาดคิดก็ดันมาเกิดขึ้น”

         อีสต์เรสเวน? ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้ยังเป็นเขตแดนที่ยังไม่มีใครมาปกครองแบบเป็นทางการนี่นา แต่ถ้าให้นับจริงๆคนที่คุมตรงนี้อยู่ก็คือเจ้าเคาท์หนวดนั่น

เฮ้ๆ เรื่องคงไม่ใช่แบบที่ผมคิดใช่ไหม?

         “ท่านเคาท์เฮอร์แมนสมัยหนุ่มได้ค้นพบถึงการโกงเงินจำนวนมากของท่านฟรานซิสครับ และตอนที่ท่านจะบุกเข้าไปเพื่อจับตัวท่านฟรานซิส ก็เกิดการปะทะขึ้นกันอย่างหนัก ผลก็คือท่านฟรานซิสเสียชีวิต หลักฐานที่ค้นพบหลังจากนั้นก็แสดงให้เห็นว่าท่านเอลลาสของพวกเราโกงเงินหลวงจริง แถมยังเป็นจำนวนมากด้วย”

         น้ำเสียงของหัวหน้าอัศวินแสดงถึงความหดหู่ใจปนความสับสนราวกับตัวเขาเองนั้นยังคงไม่เชื่อเรื่องนี้

         “ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ศาสนจักร ประสบปัญหาเสื่อมศรัทธาจากประชาชนเป็นอย่างมากครับ ถึงแม้ท่านสังฆราชจะพยายามอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถดึงศรัทธาให้กลับไปเท่าเดิมได้อยู่ดี”

         หน้าของเขายิ่งซึมมากกว่าเดิม ผมว่าสองคนนี้น่าจะรู้จักกันมาก่อน บางทีอาจเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อนก็ได้ แต่อย่าถามอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขาเลยดีกว่า

         ว่าแต่ศรัทธาเสื่อมแล้วจริงๆเหรอ…..ผมว่ายังหนักพอตัวอยู่นะ

         “ถ้างั้นที่ท่านสังฆราชบอกให้หนูมาที่นี่ ก็เพื่อ…”

         “ครับ คงมาเพื่อทำให้วิญญาณของท่านฟรานซิสที่อาจคั่งแค้นสงบลงก็ได้ครับ”

         อืม ฟังไปฟังมา ก็เป็นเหตุเป็นผลอยู่นะ ที่ต้องใช้ผมที่เป็นนักบุญมาปราบวิญญาณของนักบวชชั้นสูงเช่นนี้ เพราะหากเป็นนักบวชทั่วไปมีพลังไม่พอประดุจจับหมอผีฝึกหัดมาสู้กับแม่นาค

         ว่าแต่ถ้าเป็นอย่างงั้นทำไมท่านสังฆราชถึงไม่มาจัดการด้วยตัวเองล่ะ เพราะจำไม่ผิด ตัวท่านก็พลังมากพอ ไม่ต้องใช้ผมที่กลัวผีจนฉี่ราดมาเสี่ยงเอาแบบนี้

         “ว่าแต่ท่านสังฆราชกับท่านฟรานซิสนี่เป็น?”

         “ครับ เป็นศิษย์อาจารย์กันครับ ท่านฟรานซิสเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ท่านสังฆราชท่านรักมากที่สุด ท่านคงยังทำใจไม่ได้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ข้าก็สงสัยจริงๆว่าท่านที่รักผู้คนมากมายและซื่อสัตย์ขนาดนั้น ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้ได้”

         ได้ยินแค่นี้ผมก็เข้าใจแล้ว สาเหตุที่ท่านสังฆราชต้องมาขอร้องผมแบบบังคับทั้งๆที่ปกติไม่เคยมี นั่นอาจจะเป็นเพราะท่านรักลูกศิษย์คนนี้มากแต่คงยังทำใจไม่ได้….ว่าแต่ว่า ท่านสังฆราชครับ ช่วยถามสุขภาพผมก่อนส่งผมมาด้วยเถอะ มันก็มีบางเรื่องที่นักบุญทำไม่ได้เหมือนกันนะ

         “เข้าใจแล้วค่ะ จะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ”

         เอาเถอะ ไหนๆก็มาถึงที่แล้วคงต้องจัดการให้ดีที่สุดแล้วกัน เพราะเมื่อครู่ผมได้ยินว่าเรื่องนี้มีเจ้าเคาท์เฮอร์แมนมาเกี่ยวด้วย

ผมว่างานนี้มันต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่นอน

         ว่าแต่เจ้านั่นคิดท้าชนกับศาสนจักรตั้งแต่หนุ่มๆเลยเรอะ? งานนี้ถ้าแบ็คอัพไม่ใหญ่จริงคงไม่กล้าทำแล้วล่ะมั้ง

         เมื่อสรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ผมก็พยักหน้าให้พวกเขา ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน แต่เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ผมจึงรีบหยุดเท้าของตัวเองทันที

         “คือหนูขอถามหน่อยนะคะ….ท่านฟรานซิสเนี่ยดุพอตัวไหมคะ?”

         “เอ่อ….ก็ใจร้อนพอตัวครับ”

         ผมถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำนี้ เพราะตอนแรกถ้าบอกว่าเป็นผีแค้นของคนในศาสนจักรน่าจะคุยกันง่าย แต่ถ้าสายใจร้อนแบบนี้ ก่อนได้คุยผมว่าเจ้าผีนี่คงได้ทำผมหัวขาวสักสามสี่รอบก่อนถึงได้คุยกันแน่

         “ท่านรักคนในศาสนจักรอยู่ใช่ไหมคะ?…”

         “วางใจได้ครับ ไม่มีใครรักคนในศาสนจักรเท่ากับท่านอีกแล้ว”

         เฮ้อ นี่ฟังดูแล้วค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย

         “แต่ท่านก็เป็นคนที่ชอบเข้าใจผิดอะไรได้ง่ายๆอยู่นะครับ เพราะงั้น….บางทีตอนท่านเจอพวกเราอาจคิดว่าเป็นศัตรูที่ฆ่าท่านก็ได้ครับ”

         ขอถอนคำพูด ฟังแบบนี้แล้วยิ่งอยากเดินหนีกลับบ้านขึ้นกว่าเดิมอีก!

         “แล้วพวกคุณอัศวินเคยปราบผีมาก่อนหรือเปล่าคะ?”

         “หึ แน่นอนสิครับพวกผมน่ะปราบผีที่สิงในบ้านเรือนมาไม่รู้กี่หลังต่อกี่หลังแล้ว เพียงแค่ใช้น้ำมนต์ราดลงดาบแล้วฟันพวกมัน แป๊บเดียวก็สลายกลายเป็นปุ๋ยแล้วครับ”

         โอ้ ฟังแบบนี้อุ่นใจขึ้นมาทันที ถึงพวกนายสติจะไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไหร่แต่ฝีมือก็พอฝากผีฝากไข้ได้เหมือนกันนี่นา แถมจากเท่าที่ฟัง ดูท่าจะมีพวกอัศวินจะมีน้ำมนต์พกติดตัวอยู่แล้ว แบบนี้ก็ไม่ต้องไปลุ้นกับท่านเทพเจ้าน้ำกรดแล้วสินะ เลิศค่ะ เลิศ!

         “เห…มีน้ำมนต์พกกันตลอดเลยสินะคะ”

         “ครับปกติเป็นเช่นนั้น แต่คราวนี้พวกเราไม่ได้เอามาด้วยครับ”

         อ๊ะ…..รู้สึกแปลกๆ

         “ว่…ว่าไงนะคะ?”

         “เพราะได้ยินมาจากท่านนักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ว่าท่านนักบุญได้ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดขึ้นมาจากการประกอบธาตุศักดิ์สิทธิ์และทุกธาตุเข้าด้วยกัน ทั้งยังได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ประทานพลังศักดิ์สิทธิ์มาสถิตย์อยู่ในน้ำมนต์ขนาดที่ว่าสาดเพียงครั้งเดียวจอมปีศาจก็ตายได้ เช่นนั้นแล้วพวกเราจึงคิดว่าน้ำมนต์ของท่านคงได้ผลกว่า จึงไม่ได้นำของพวกเรามาด้วยครับ”

         ไอ้หัวหน้านักบวชนั่น! ตามมาหลอกมาหลอนผมได้ตลอดศกเลยนะแก มิทราบว่าใช้ส่วนไหนของร่างกายดูถึงได้คิดว่าเจ้าน้ำกรดสีดำประดุจน้ำท่อนั่นมันจะเป็นน้ำมนต์ได้ฟะ แล้วไอ้ปราบจอมปีศาจนั่นใครมันเอาไปลือแบบผิดๆ….ต้องเป็นพวกบ้านั่นแน่ๆ ต้องเป็นพวกศิษย์ของเจ้านักบวชคนนั้นแน่ๆ

         ผมถึงกับกุมขมับของตัวเองเมื่อได้ยินความเมาของพวกนักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ ที่พาชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าใจผิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง

         งานนี้ผมว่าเลิกชื่อนักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์เถอะ เปลี่ยนไปใช้นักบวชสายกาวน่าจะดีกว่านะ

         “แล้วหากเจอผีหลายตัวจนน้ำมนต์ของหนูจัดการไม่ทันจะทำอย่างไรดีคะ? …คือแบบนี้คิดว่ากลับไปเอายังทันนะคะ”

         เพื่อความอยู่รอดของคณะ ผมต้องเจรจาให้พวกนี้รู้ถึงความจริง แต่ช่างน่าเศร้า นอกจากจะไม่เป็นไปตามที่ผมคิดแล้ว เรื่องมันยังหนักกว่าเดิม

         “ไม่ต้องกังวลครับ แค่ท่านเทน้ำมนต์ของท่านใส่ดาบของพวกเรา พวกเราเชื่อว่าด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ ดาบของพวกเราจะกลายเป็นดาบที่ไม่มีผีตนใดสู้ได้แน่นอน”

         กรรมเวร เอาน้ำกรดไปราดดาบ

         เออ ผีสู้ดาบพวกนายไม่ได้หรอก เพราะทันทีที่พวกนายใช้น้ำมนต์ของผมเทลงไปที่ดาบ มันจะไม่เหลือดาบให้ผีที่ไหนมาสู้น่ะสิ!

         “คือหนูคิดว่า อย่า…”

         “พวกเรา ลุยกันเลย”

         ไม่ทันที่ผมจะพูดจบเจ้าพวกอัศวินก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านผีสิงด้วยความมั่นใจอันแสนจะเต็มเปี่ยมจนผมได้แต่เหงื่อตก พลางคิดในใจว่าปาร์ตี้นี้มันจะรอดกลับมาครบสามสิบสองอยู่ใช่ไหม?

         “เอาไงเอากัน”

         ผมเดินตามเข้าไปในบ้านด้วยอาการกลัวๆ ในใจก็ได้แต่คิดว่า

         ขอเทพเจ้าน้ำกรดทรงสถิตกับข้า!!!!

         —————————–

 

         เอาล่ะมาเข้าสู่บทจริงจังกันนิดนึงดีกว่า ก็ประกาศเพิ่มเติมว่าอาทิตย์นี้มีสอบ ขอลงตอนถัดๆไปห่างจากเดิมนะครับผม