บทที่ 20 บ้านหรือ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 20 บ้านหรือ

สวี่ชิงกลับมาถึงเรือนพร้อมลมหิมะ ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของหัวหน้าเหลยจากด้านใน

และตอนที่เสียงร้องขรมของสุนัขตามมา สวี่ชิงก็ผลักประตูเปิด ก็เห็นว่าในเรือนมีสุนัขป่าอยู่สิบกว่าตัว

พวกมันนอนจ้องมองสวี่ชิงอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา สวี่ชิงเองก็กวาดตาไปทางพวกมัน ไม่ได้ปล่อยคมประกายดุดันอะไร เพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น แต่สุนัขป่าสิบกว่าตัวก็ทยอยขนลุกตามกัน ถอยหลังช้าๆ

น้ำเสียงแปลกใจเบาๆ ดังลอดออกมาจากในห้องหัวหน้าเหลย

เมื่อประตูเปิด กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็เดินออกมา มองไปทางสวี่ชิง จากนั้นจึงมองไปยังสุนัขป่าสิบกว่าตัวนั้น กางเขนยิ้มเล็กน้อย

“เด็กน้อย พวกมันบอกว่าปราณพิฆาตบนตัวเจ้ามันแรงเกินไป” เขี้ยวหงส์ย่อตัวลง ลูบเบาๆ บนหัวสุนัขป่าข้างๆ ตัวหนึ่งพลางเอ่ยกับสวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม

สวี่ชิงไม่ได้พูด มองไปยังหัวหน้าเหลยที่เดินออกมาจากห้องในขณะนั้น

หัวหน้าเหลยสวมเสื้อขนสัตว์ตัวหนา ในมือมีถุงยาสูบ ตอนเดินออกมาก็ชี้นิ้วไปทางเขี้ยวหงส์ เอ่ยอย่างจำใจ

“เขี้ยวหงส์เจ้าเด็กคนนี้ คิดว่าว่าข้ากำลังบาดเจ็บจึงกังวลเรื่องความปลอดภัยในฐานที่มั่น ดังนั้นเลยจะเอาสุนัขป่าสิบกว่าตัวนี้มาคอยปกป้องเรือนเสียให้ได้”

ประโยคนี้ง่ายดาย สวี่ชิงได้ฟังก็เข้าใจ

หัวหน้าเหลยไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องเกี่ยวกับสวี่ชิง ก็เช่นเดียวกับสวี่ชิงที่ไม่ได้พูดเรื่องเสียงเพลง สิ่งที่หัวหน้าเหลยกระทำ เป็นการให้สิทธิ์ที่ว่าจะพูดเรื่องนี้หรือไม่ให้กับสวี่ชิงเช่นกัน

สวี่ชิงพยักหน้า ล้วงเอาถุงหนังลูกกลอนขาวออกมา ส่งให้หัวหน้าเหลย

หัวหน้าเหลยรับมามองยิ้มๆ ไม่ได้เกรงใจ

“เอาล่ะ เจ้าของพวกนี้ก็เป็นของที่ข้าก็ต้องการจริงๆ แต่ว่าหลังจากนี้ก็ไม่ต้องซื้อมา ข้าสะสมเอาไว้มากจนน่าจะเอาไปขายได้แล้ว” พูดจบ เขาจึงมองไปทางกางเขน

“กางเขน เด็กน้อยก็กลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”

กางเขนเก็บรอยยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นแช่มช้า

“ที่มาครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง

“เรื่องแรกคือยาของหัวหน้า ข้ากับเขี้ยวหงส์ซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว มีปริมาณพอใช้ได้ราวหนึ่งเดือน หากกินหมดพวกข้าก็จะซื้อมาให้อีก” กางเขนพูดพลางปลดถุงหนังที่เอวใบหนึ่งออกมาวางไว้ข้างๆ

“เรื่องที่สอง เนื่องจากกลุ่มเงาโลหิตล่มสลาย แม้จะมีคนเก็บกวาดกลุ่มอื่นเข้าร่วมการเก็บเกี่ยวหญ้าเจ็ดใบก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีใครได้มากเท่าพวกเรา

“เมื่อวานนี้ข้ากับเขี้ยวหงส์ไปเจรจากับหัวหน้าฐานเพื่อรับค่าตอบแทนแล้ว แต่…หัวหน้าฐานก็ยังชอบหักนั่นนี่ตามนิสัยปกติของเขา ไม่ได้ให้ลูกกลอนล้างธุลีมาสามเม็ด แต่ให้มาเพียงเม็ดเดียว” กางเขนพูดพลางมองไปทางเขี้ยวหงส์

เขี้ยวหงส์หยิบถุงหนังสี่ใบออกมา หลังจากวางลงข้างๆ แล้วก็หยิบกล่องไม้อีกใบออกมาเปิดออกต่อหน้าทุกคน เผยให้เห็นยาลูกกลอนสีเขียวขนาดไข่นกกระทาเม็ดหนึ่ง

กลิ่นยาอบอวลออกมา ยอดเยี่ยมกว่าลูกกลอนขาวอย่างเห็นได้ชัดมากมายนัก

“ผีเถื่อนไม่มีญาติ ส่วนของเขาข้าจึงจัดสรรปันส่วนแล้ว ในถุงหนังสี่ใบนี้คือเหรียญวิญญาณของพวกเราแต่ละคน ส่วนลูกกลอนล้างธุลีเม็ดนี้…”

กางเขนพูดถึงจุดนี้ มองไปทางหัวหน้าเหลย รอให้เขาจัดแบ่ง

“ให้เด็กน้อยเถอะ” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ พลังแห่งกลุ่มสายอัสนีบนตัวเขาในเวลานี้เหมือนว่าจะกลับมาบ้างแล้วบางส่วน

กางเขนพยักหน้า เขี้ยวหงส์หลังจากตกตะลึงก็ทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พวกเขาถามเรื่องก่อนหน้านี้กับหัวหน้าเหลยแล้วว่าในป่าเกิดอะไรขึ้น แต่หัวหน้าเหลยก็ไม่พูดอะไร การจัดสรรครั้งนี้จึงเป็นคำตอบอย่างชัดเจน

“ส่วนเรื่องผีเถื่อน…จัดแบ่งมาก็ถูกแล้ว พวกเราก็คือญาติของเขา”

หัวหน้าเหลยถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง หยิบส่วนของตนเองมา กางเขนกับเขี้ยวหงส์เองก็หยิบส่วนของตนเองมาเช่นกัน สวี่ชิงไม่ส่งเสียง หยิบถุงหนังมาเหมือนกัน

สำหรับลูกกลอนล้างธุลีที่เขี้ยวหงส์ส่งให้ สวี่ชิงหลังจากรับมาก็มองหัวหน้าเหลยผาดหนึ่ง ดวงตาหัวหน้าเหลยเจือความเด็ดขาดรางๆ สายตานี้ทำให้สวี่ชิงเข้าใจความนัย จึงเก็บมาเงียบๆ

ทั้งสี่คนพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง หลักๆ เป็นพวกกางเขนทั้งสามคนที่คุยกัน สวี่ชิงยังคงทำตัวเป็นคนพูดน้อยเหมือนที่เคยเป็น คอยนั่งฟังอย่างเงียบสงบอยู่ข้างๆ

แต่กางเขนหรือว่าเขี้ยวหงส์ก็ไม่มองข้ามตัวตนของสวี่ชิงเลย คอยหันมาถามไถ่ความเห็นของสวี่ชิงเป็นระยะ

เป็นเช่นนี้ เวลาก็ไหลผ่านไป ไม่นานก็ถึงช่วงกลางวัน กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็ขอตัว เพราะลมหิมะสงบลงแล้วชั่วคราว ก่อนหน้าที่จะไป กางเขนหันมาเอ่ยเสียงขรึมกับสวี่ชิง

“เด็กน้อย ข้ากับเขี้ยวหงส์รับภารกิจมา ต้องออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง ช่วงนี้…หัวหน้าเหลยก็มอบให้เจ้าดูแลแล้ว” พูดพลางก็ล้วงเอากริชเล่มหนึ่งยื่นให้สวี่ชิง

“กริชของเจ้าสนิมเกรอะหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นเล่มนี้เถิด คมมาก”

เขี้ยวหงส์เองก็มอบนกหวีดให้สวี่ชิงอันหนึ่ง

“เด็กน้อย เจ้ามีพลังต่อสู้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังต้องการหูตากับลูกมือใช่หรือไม่ นกหวีดนี้สามารถควบคุมสุนัขป่าในฐานที่มั่นได้ง่ายๆ ถ้าหากถึงเวลาที่เจ้าต้องการ ก็แค่เป่ามันเสีย พวกมันฉลาดมาก รู้ว่าควรทำอะไร

ทั้งสองคนกำชับอยู่พักหนึ่ง ประสานมือไปทางสวี่ชิง จากนั้นก็ขอตัวจากไป

มองดูแผ่นหลังของพวกเขา สวี่ชิงเก็บนกหวีด จากนั้นก็นำกริชที่กางเขนให้มายัดลงไปในรองเท้าตนเอง แต่ว่าเล่มเก่าเขาก็ไม่ได้โยนทิ้ง

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจดจ้องไปยังแผ่นหลังของพวกเขา จนกางเขนกับเขี้ยวหงส์หายไปจากครรลองสายตา สวี่ชิงจึงหันหน้าไปมองห้องของหัวหน้าเหลย

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เดินผ่านสุนัขป่ากลับห้อง

หลับตาลง นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ

ลมข้างนอกแรงมากจนมีเสียงหวีดหวิว พัดผ่านพื้นดิน หิมะบนฟ้ากับหิมะบนพื้นตัดสลับกันกลางอากาศ ลอดผ่านเข้ามาตามร่องที่มีอยู่หลายแห่งในกระโจม จนทำให้คนที่อยู่ด้านในตกใจสะดุ้ง

และก็พัดมาปะทะกับตัวหัวหน้าเหลยที่กำลังพักผ่อนในห้องด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาที่ชินแล้วจึงไม่ใส่ใจต่อลมหนาวนี้

แต่ในหัวกลับปรากฏภาพของสวี่ชิงที่ขดตัวอยู่ท่ามกลางลมหนาวขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงหันไปมองยังทิศทางห้องของสวี่ชิง นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสวมหมวกหนังแล้วเดินออกไปจากห้อง

เวลาเคลื่อนไหลผ่าน เพียงพริบตาก็สามวันเต็ม

ในสามวันนี้ เหมือนว่าหิมะจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายตกกระหน่ำลงมา แผ่ซ่านความหนาวเย็นที่เหลืออยู่ หิมะบนพื้นเองก็ละลายไม่ทัน ทับถมกันจนกลายเป็นชั้นหนา

แม้สภาพอากาศจะเลวร้าย แต่สำหรับคนเก็บกวาดแล้ว ความอยู่รอดสำคัญกว่าความหนาวเย็นนัก

ดังนั้นในฐานที่มั่นจึงมีคนทยอยกันเข้ามามากขึ้น บ้างก็มารักษาโรค บ้างก็ตรงไปยังพื้นที่ต้องห้าม

ขณะเดียวกัน กลุ่มเงาโลหิตที่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ทำให้คนเก็บกวาดค่อยๆ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กัน ไม่เพียงแค่ข่าวลือที่ไม่รู้ลือออกมาจากที่ใด บอกว่ากลุ่มเงาโลหิตนั้นตายเรียบในพื้นที่ต้องห้ามหมดแล้ว

คราแรกคนเชื่อข่าวลือนี้กันไม่มาก ถึงอย่างไรสมาชิกของกลุ่มเงาโลหิตทุกคนก็มองข้ามไม่ได้ทั้งสิ้น

โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในกลุ่มคนเก็บกวาดของฐานที่มั่น คนแบบนี้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความเป็นไปได้ที่ทั้งกลุ่มจะล้มสลายจึงมีไม่มากนัก

แต่หลังจากที่ผ่านไปสองวัน คนของเงาโลหิตก็ไม่ปรากฏตัวแม้เงา นี่ทำให้คนเก็บกวาดในฐานที่มั่นค่อยๆ เชื่อข่าวลือนั่นขึ้นมาแล้ว

และพวกเขาเองก็คิดถึงสภาพของหัวหน้าเหลยสลบไสลในวันที่กลับมาวันนั้น

เมื่อเชื่อมต่อไปยังเรื่องการหายตัวไปของผีเถื่อน ทั้งหมดก็เหมือนได้คำตอบแล้ว

และไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เมื่อไม่มีเงาโลหิต กลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานที่มั่นตอนนี้จึงกลายเป็นกลุ่มสายอัสนีไป

ดังนั้นขณะที่สวี่ชิงออกไปด้านนอก สายตาที่เคารพยำเกรงจากคนเก็บกวาดรอบๆ คือสิ่งที่เห็นมากที่สุด

เขารู้ว่าที่คนเหล่านี้เคารพคือกลุ่มสายอัสนีไม่ใช่ตัวเขา แต่เขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ สิ่งที่เขาสงสัยในช่วงนี้คือหัวหน้าเหลยมักจะออกไปแต่เช้าและกลับมาดึกดื่น ไม่รู้ว่ากำลังวุ่นกับอะไรอยู่

แต่สวี่ชิงก็รู้ว่าทุกคนล้วนมีอิสระของตนเอง ไม่จำเป็นต้องไปรบกวน และตัวเขาเองก็มีเรื่องต้องทำเยอะเช่นกัน ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่สวี่ชิงจึงอยู่ในห้อง ฝึกบำเพ็ญเงียบๆ คนเดียว

พลังบำเพ็ญของเขาค่อยๆ พัฒนาขึ้นจากการพยายามของเขา พลังและความเร็วเพิ่มขึ้นมาอย่างมั่นคง

ส่วนเรื่องเงาของตนเอง สวี่ชิงเองก็สังเกตอยู่หลายครั้ง

แต่เงานี้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด มีผลเพียงการดูดซับไอพลังประหลาดเหมือนตอนแรกเท่านั้น จนทำให้จุดกลายพันธุ์บนแขนของสวี่ชิงเวลานี้มองแทบไม่เห็นแล้ว

ความบริสุทธิ์ในร่างกาย ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าความเร็วในการฝึกฝนนั้นรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้มากอย่างชัดเจน

จนมาถึงช่วงบ่ายของสองวันถัดมา เขาที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เตรียมที่จะฝึกบำเพ็ญให้มั่นคงอีกซักสองสามวัน ทดลองทะลวงเข้าไปยังเคล็ดคีรีสมุทรขั้นที่สี่ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้น

ด้านนอกมีเสียงสุนัขป่าเห่า ประตูไม้ไผ่มีคนมาเคาะ

สวี่ชิงที่เดินออกไปนอกห้อง เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเหลยไม่อยู่ เขามองไปนอกประตูไม้ไผ่ และมองเห็นคนเก็บกวาดที่มีสีหน้าลังเลคนหนึ่งยืนอยู่

คนผู้นี้สวี่ชิงเคยเห็นมาก่อน เป็นหนึ่งในเจ็ดแปดคนที่เขาช่วยไว้ตอนที่กลับมาจากพื้นที่ต้องห้าม

หลังจากที่เห็นเงาของสวี่ชิง คนเก็บกวาดก็รีบร้อนประสานมือ

“สหายเด็กน้อย ข้าเอง ข้าคือดาบกระดูก”

“มีเรื่องอะไรหรือ” สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เอ่อ…” ดาบกระดูกลังเลเล็กน้อย หลังจากที่คิดเล็กน้อย เขายังคงกัดฟันเอ่ยขึ้น

“สหายเด็กน้อย ข้าอยากจะใช้ลูกกลอนขาวห้าเม็ด ซื้อประกันจากตัวเจ้าเสียหน่อย” พูดพลาง เขาก็โยนถุงหนังใบหนึ่งมาให้สวี่ชิง

สวี่ชิงไม่ได้รับ มองดาบกระดูกอย่างสงสัย ถุงหนังที่อีกฝ่ายโยนมาร่วงลงพื้น สุนัขป่าข้างๆ ก็ทยอยมอง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้

ดาบกระดูกที่อยู่นอกประตูสังเกตได้ถึงความสงสัยของสวี่ชิงจึงรีบร้อนอธิบาย และเมื่อฟังคำพูดของเขา สวี่ชิงก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าประกันแล้ว

จากความหมายของดาบกระดูก หากเขาไม่กลับมาภายในสามวันจากพื้นที่บึงมังกรพิษในพื้นที่ต้องห้าม เขาอยากให้สวี่ชิงเข้าไปช่วยเหลือเขาออกมาเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว

“สหายเด็กน้อย ข้าไม่กลัวเรื่องอสูรกลายพันธุ์ในพื้นที่ต้องห้าม การตายด้วยน้ำมือพวกมันก็ถือเป็นโชคชะตา แต่สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือหมอกลวงตา หากตายอยู่ในหมอกลวงตาคงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เอาเสียเลย”

สีหน้าสวี่ชิงแปลกประหลาดเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคำขอร้องเช่นนี้ออกมา จึงถามออกไปประโยคหนึ่ง

“ถ้าหากสามวันไม่มีหมอกลวงตาเกิดขึ้น หรือหากเจ้ากลับออกมาได้ก่อนล่ะ”

“ลูกกลอนขาวไม่จำเป็นต้องคืน ข้าเพียงซื้อความสบายใจไว้เท่านั้น” ดาบกระดูกคารวะสวี่ชิงอย่างนอบน้อม สีหน้ามีแววอ้อนวอน

สวี่ชิงนิ่งงัน มองถุงหนัง ปลายเท้าก็เกี่ยวมันขึ้นมา เปิดออกดู

ด้านในเป็นลูกกลอนขาวห้าเม็ด ถึงแม้เขาจะไม่ต้องการ แต่มันก็เป็นเงินตราในฐานที่มั่น หลังจากที่คิดๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะทำไม่ได้

ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญ สวี่ชิงก็พยักหน้า

เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงรับปาก ดาบกระดูกก็ถอนใจโล่ง ประสานมือขอบคุณ จากนั้นจึงจากไป

สวี่ชิงหยิบถุงหนัง ดวงตาหรี่ลง เขาเกิดความระแวดระวังขึ้น ไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดของอีกฝ่าย

แต่เขาก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นกับดักนั้นมีไม่มากนัก

เพราะถ้าปราณหมอกไม่เกิดขึ้น เขาจะไม่ไปก็ได้ และถ้าหากอีกฝ่ายกลับมาก่อนเวลาที่หมอกจะเกิดในสามวัน มีฝีมือเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนร้ายผู้อื่นแล้ว

แต่เขายังรักษาความระมัดระวังไว้ คิดว่าถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจ

จึงหันหลังกลับเข้าไปในห้อง นั่งสมาธิต่อจนผ่านไปอีกคืน

รุ่งเช้าของวันถัดมา สวี่ชิงที่เพิ่งฝึกบำเพ็ญเสร็จสิ้น ก็เงยหน้ามองออกไปนอกห้อง เขาได้ยินเสียงสุนัขร้องด้านนอก

ตอนเดินออกมาสวี่ชิงมองเห็นฉากประหลาด หัวหน้าเหลยกำลังเก็บของเป็นห่อใหญ่ห่อเล็ก ผูกเอาไว้บนหลังสุนัขป่าทีละตัว จนทำให้สุนัขป่าเหล่านั้นลิ้นห้อยออกมา บางตัวถึงกับพังพาบอยู่บนพื้น

“ฝึกเสร็จแล้วหรือ ไปกัน ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”

หัวหน้าเหลยเช็ดเหงื่อ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงตบไปที่สุนัขป่าข้างตัว เปิดประตูไม้ไผ่ กวักมือเรียกสวี่ชิง

สวี่ชิงสงสัยจึงเดินตามออกไป สุนัขป่าเหล่านั้นก็ทยอยเดินตามหลัง เป็นเช่นนี้ คนสองคนกับสุนัขฝูงหนึ่ง จึงออกเดินขบวนไปในฐานที่มั่นแห่งนี้

จากพื้นที่วงกลางสู่วงใน ที่นี่มีร้านรวงมากมาย บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็ทำจากอิฐ ดูมั่นคงอย่างมาก

จนมาถึงหน้าเรือนใหญ่หลังหนึ่ง ด้านในมีห้องที่สร้างจากอิฐแยกถึงสี่ห้อง ทุกห้องล้วนดีกว่าห้องที่สวี่ชิงอยู่ก่อนหน้ามาก ทั้งแข็งแรงและแน่นหนากว่า

มองดูที่นี่ สวี่ชิงจึงหันไปมองหัวหน้าเหลย

“หลังจากนี้ ที่นี่คือบ้านใหม่ของพวกเรา” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“บ้านใหม่หรือ” สวี่ชิงตะลึงงัน คำว่าบ้านคำนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ที่คุ้นเคยขึ้นมา

“ข้าวุ่นมาครึ่งชีวิต สะสมมาก็ไม่น้อย ในเมื่อร่างกายตอนนี้มันไม่ไหวแล้ว ก็เอามาแลกเป็นบ้านหลังใหญ่เสวยสุขเสียหน่อยแล้วกัน”

หัวหน้าเหลยหัวเราะร่า ขณะที่เดินเข้าไป ก็ปลดสัมภาระจากตัวของสุนัขป่า เริ่มวุ่นวายขึ้นมา

สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น ครู่ต่อมาจึงเดินเข้าไปช้าๆ มองอิฐดำบนพื้น มองห้องที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกมึนงงเล็กน้อย จนถึงตอนที่ถูกหัวหน้าเหลยเรียกให้ช่วย เขาก็ยังปรับตัวไม่ค่อยได้

จากการวุ่นวายอยู่ครึ่งวัน ยามราตรีก็มาเยือนอีกครั้ง ด้านนอกยังคงหนาวเย็นดังเดิม ลมหนาวยังคงอยู่ เสียงหวีดหวิวอื้ออึง สวี่ชิงกับหัวหน้าเหลยนั่งอยู่ข้างเตาไฟในห้อง ความร้อนปะทะใส่ใบหน้า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งห้อง

กำแพงที่นี่ไม่มีช่องโหว่ ลมหนาวไม่ลอดเข้ามาเลยแม้แต่น้อย สวี่ชิงสังเกตเห็นจุดนี้อย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าร่างกายตนเองอบอุ่นขึ้น

“ไม่หนาวแล้วนะ” หัวหน้าเหลยอมยิ้ม

“อืม ไม่หนาวแล้ว” สวี่ชิงพยักหน้า ตอนที่มองหัวหน้าเหลย ดวงตาสวี่ชิงก็เหมือนมีประกายขึ้นมาภายใต้การสาดส่องของแสงไฟ

เขาไม่หนาวแล้วจริงๆ ในความอบอุ่นนี้ สวี่ชิงถึงขั้นสั่นสะท้านไปถึงส่วนลึกในจิตใจ

ผ่านไปสักพัก ขณะที่หัวหน้าเหลยออกไปแล้วกลับเข้ามา สวี่ชิงยังคงนั่งอยู่คนเดียวใกล้เตาไฟ งึมงำเสียงเบา

“บ้านหรือ”

ตอนนั้นเอง ใบหน้าหัวหน้าเหลยในห้องข้างๆ ที่กลับเข้ามาในบ้านมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่เพียงไม่นานสีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้น

เขาปิดปากไอออกมาหลายครั้ง ครู่หนึ่งก็ออกแรงกลืนกลิ่นคาวเลือดกลับลงไป ยืนถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ริมหน้าต่าง เงยหน้ามองไปทางพื้นที่ต้องห้าม ในดวงตามีความทรงจำ งึมงำเสียงเบาออกมา

“อยาก…ไปเห็นอีกสักครั้งเสียจริง”