ตอนที่ 16 สามีเจ้าสำนัก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 16 สามีเจ้าสำนัก

พวกเขาไม่ได้เดินไปตามเส้นทางหลัก ถูฮั่นลากตัวศิษย์ผู้นั้นเดินไปตามทางเดินเล็กๆ มาโผล่ยังสถานที่พักอันเงียบสงบของผู้อาวุโสพิทักษ์กฎ

ซูพั่วที่มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสพิทักษ์กฎก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้ศิษย์คนนั้น หลังจากสอบถามรายละเอียดจนแน่ชัดแล้ว เขาก็เอ่ยกำชับศิษย์คนนั้นว่า “ห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดอีก เข้าใจไหม?”

ศิษย์คนนั้นไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่รู้ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับกล่องสำรับที่ตนเอาไปส่งอย่างแน่นอน จึงคาดเดาได้รางๆ ว่าซ่งเหยี่ยนชิงอาจเล่นลูกไม้อันใดเสียแล้ว ทว่าเขาเองก็ล่วงเกินซ่งเหยี่ยนชิงไม่ได้เช่นกัน ไหนเลยจะกล้าเอาไปพูดส่งเดชได้ จึงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย “ศิษย์ทราบแล้วขอรับ”

ซูพั่วโบกมือบอกให้เขาไปได้

เมื่อเดินไปส่งถึงประตูจนแน่ใจว่าศิษย์คนนั้นจากไปแล้ว ถูฮั่นก็เดินยันไม้เท้ากลับมา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ผู้อาวุโส สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นสำนักฝ่ายธรรมะเลื่องชื่อ แต่กลับมีศิษย์ใช้ลูกไม้ชั่วช้าต่ำทรามเช่นนี้ หรือเราจะปล่อยไปเช่นนี้โดยไม่สืบสาวเอาความขอรับ?”

ซูพั่วเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ย้อนถามว่า “สืบสาวรึ? เจ้าคิดจะสืบสาวอย่างไรเล่า?”

ถูฮั่นเอ่ยด้วยความคับข้องใจ “ซ่งเหยี่ยนชิงมีที่พึ่งพิงจึงมิกริ่งเกรง อาศัยว่ามีตระกูลซ่งหนุนหลัง ทราบว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่กล้าลงโทษเขา ถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ ถ้าไงเราขยายเรื่องนี้ให้วุ่นวายใหญ่โต เมื่อถึงตอนนั้นก็อ้างกฎสำนัก เกรงว่าอาวุโสอีกสองท่านจะไม่ลงโทษก็คงไม่ได้แล้ว!”

ซูพั่วค่อยๆ หลับตาลง กล่าวว่า “ในใจเจ้าทราบดีกว่าผู้ใด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เรามีความเกี่ยวพันกับหนิงอ๋อง อีกทั้งราชสำนักมีความคิดจะกวาดล้าง ‘ผู้สนับสนุน’ ที่เหลืออยู่ของหนิงอ๋อง สำนักใหญ่บางส่วนต่างจับจ้องตาเป็นมัน หากมิใช่เพราะสำนักต่างๆ ยำเกรงตระกูลซ่ง เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงล่มสลายไปแล้ว หากไปล่วงเกินตระกูลซ่ง ขอเพียงตระกูลซ่งเผยท่าทีว่าจะไม่เอาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วแม้เพียงนิด พวกเขาก็บีบให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จนตรอกได้แล้ว! ซ่งเหยี่ยนชิงสำคัญ หรือความอยู่รอดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เราที่สำคัญกว่าเล่า?”

ถูฮั่นก้มหน้าด้วยความปวดใจ “ผู้อาวุโส สำหรับตระกูลซ่งแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีประโยชน์อันใดเลย สาเหตุที่ทำให้พวกเขาฝืนค้ำจุนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เพียงเพราะซ่งซูเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ชื่อเสียงการเป็นศิษย์ล้างครูล่มสำนักมิใช่สิ่งที่จะแบกรับได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้มีฐานะอย่างตระกูลซ่ง นี่เป็นเพียงการแสดงให้โลกภายนอกเห็นเท่านั้น ตอนนี้ตระกูลซ่งแค่รอคอยโอกาสอยู่ รอคอยโอกาสที่จะได้เขี่ยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทิ้งอย่างชอบธรรม มิใช่เพราะตระกูลซ่งอยากปกป้องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มากมายขนาดนั้น ช้าเร็ววันนั้นก็ต้องมาถึง! ศิษย์ยังคงอยากแนะนำให้ละทิ้งที่นี่เสีย ล่าถอยไปก่อน รอโอกาสวันข้างหน้า มิเช่นนั้นก็ต้องนั่งรอความตายอยู่ที่นี่!”

“เรื่องนี้ต่างไปจากวิถีรบทัพจับศึกของพวกเจ้า ที่บอกว่าจะทิ้งก็ละทิ้งได้เลย เรื่องนี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าน่ะได้ แต่อย่าเอาไปพูดต่อหน้าผู้อื่น ผู้อื่นจะได้ไม่คลางแคลงสงสัยในฐานะของเจ้า!” ซูพั่วถอนหายใจ หันไปมองเขา กล่าวว่า “หากวันนั้นที่เจ้าว่ามาถึงจริง จำไว้ เจ้าจงจากไปทันที ไม่ต้องสนใจที่นี่ ไปหาอาจารย์ของเจ้าที่ยอดเขาภูตมารซะ!”

ถูฮั่นลังเลอยากกล่าวอันใด แต่ซูพั่วยกมือปรามไว้ “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว กลับไปเถอะ ต้องปกป้องหนิวโหย่วเต้าไว้ให้ดี ตงกัวเฮ่าหรานเชี่ยวชาญศาสตร์ทำนายลักษณ์ ในเมื่อเลือกรับหนิวโหย่วเต้าเป็นศิษย์ ก็จะต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ไม่มีทางที่เขาจะคว้ามาส่งๆ เด็ดขาด อย่าให้เกิดเรื่องกับเขาล่ะ!”

“ขอรับ!” ถูฮั่นตอบรับเบาๆ หันหลังเดินจากไป

จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ เมื่อลิขิตมาแล้วก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ วันมงคลมาถึงแล้ว ชาติก่อนหนิวโหย่วเต้าไม่เคยแต่งงาน ชาตินี้ได้รับการชดเชยล่วงหน้า ได้แต่งตั้งแต่เยาว์วัยยิ่ง

ใต้ต้นท้อแขวนโคมแดงลูกใหญ่ แสงโคมส่องกระทบดอกท้อ แกว่งไกวไปตามแรงลมบนหน้าผา ให้ความรู้สึกงดงามอยู่หลายส่วน

แม้นสวนดอกท้อจะแขวนโคมประดับพู่ดูรื่นเริงมงคล แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้จัดงานแต่งใหญ่โตเอิกเกริก ไม่มีแม้กระทั่งงานเลี้ยงมงคลสมรสตามธรรมเนียม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการส่งเทียบเชิญงานวิวาห์ให้สำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ

ศิษย์สายในกลุ่มหนึ่งมาร่วมงาน ซ่งเหยี่ยนชิงที่ปะปนอยู่ในกลุ่มนั้นจ้องมองถังอี๋ที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงสวมผ้าคลุมหน้าแดงเข้าพิธีกับหนิวโหย่วเต้า ภายในดวงตาทั้งสองข้างแทบจะมีไฟลุกออกมา

ด้านซ้ายขวาของเขาล้วนมีคนคอยยืนประกบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพื่อป้องกันไม่ให้เขาก่อเรื่อง ทันทีที่มีเหตุผิดปกติจะได้ทำการคุมตัวเขาไว้ทันที

“ส่งตัวเข้าหอ!” ผู้ดำเนินพิธีป่าวร้อง คู่บ่าวสาวถูกส่งตัวไปแล้ว

หลังจากบรรดาแขกเหรื่อดื่มสุรามงคลอย่างเรียบง่ายเล็กน้อยก็แยกย้ายกันไป บ้างถอนหายใจ บ้างส่ายหน้า สีหน้าแตกต่างกันไป

ทว่ามีผู้คนไม่น้อยที่เห็นใบหน้ามืดครึ้มดุจก้นหม้อของซ่งเหยี่ยนชิงแล้วแอบรู้สึกขบขัน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งบนล่างต่างรู้กันทั่วว่าคนผู้นี้ชอบพอถังอี๋ สตรีงามผู้ใดก็ชมชอบ จนปัญญาที่ไม่มีผู้ใดกล้ายื้อแย่งกับซ่งเหยี่ยนชิง หนนี้กลับดีนัก มีหนุ่มน้อยไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งโผล่มาทำลายเรื่องดีของคนผู้นี้ จึงมีคนลอบยินดีในคราวเคราะห์ของเขา

บนเตียงในห้องหอ คู่บ่าวสาวนั่งเคียงกัน มองดูเทียนแดงที่ลุกโชนคู่นั้น

เมื่อเกี่ยวแขนดื่มสุรา ยกผ้าคลุมหน้าเสร็จ ศิษย์หญิงผู้ดำเนินพิธีก็ถอยออกไปพร้อมปิดประตูให้ ทิ้งคู่บ่าวสาวให้อยู่ในห้องตามลำพัง

กลิ่นกายหอมละมุนโชยมาจากด้านข้าง หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอย่างเบื่อหน่ายเหลียวไปมองดูเจ้าสาวข้างกายที่แต่งตัวงดงามหยาดเยิ้มอยู่เป็นระยะ ไม่ทราบเช่นกันว่าควรพูดอะไรดี ที่สำคัญคือไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ในใจรักษาความระแวดระวังตื่นตัวไว้ตลอดเวลา

ฝ่ายถังอี๋ก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าสงบนิ่งอย่างยิ่ง

ทั้งสองนั่งอยู่เช่นนี้จนฟ้าสาง แม้แต่มือก็มิได้สัมผัสแม้เพียงน้อย กระทั่งด้านนอกมีคนมาเคาะประตูเรียก ในที่สุดถังอี๋ถึงได้ลุกขึ้นก้าวออกไป

สักพักมีศิษย์หญิงคนหนึ่งเข้ามาแจ้งต่อหนิวโหย่วเต้าว่า “อาจารย์อาถังกล่าวว่ามีกิจธุระของสำนักต้องจัดการ ขอตัวก่อน”

“อ้อ!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าตอบรับ

เมื่อไม่มีคนนอก เขาจึงล้มตัวลงนอน หลับไปจนค่ำถึงได้ตื่นขึ้นมา

เมื่อเดินออกมาจากห้อง โคมไฟและช่อแพรที่แขวนประดับประดาท่ามกลางลานเรือนที่เงียบสงัดดูค่อนข้างสะดุดตา ทุกอย่างให้ความรู้สึกราวกับภาพฝัน

เมื่อก้าวพ้นประตูใหญ่ เขามองเห็นถูฮั่นกำลังจุดโคมใต้ต้นท้อ หลังจุดโคมด้านนอกเสร็จ ถูฮั่นที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาก็เดินผ่านเขาเข้าไปจุดโคมในเรือนต่อ

หนิวโหย่วเต้าในชุดเจ้าบ่าวสีแดงยืนอยู่ใต้ต้นท้อ ทอดสายตามองวังสวรรค์พิสุทธิ์ที่อยู่บนผาฝั่งตรงข้าม แสงโคมฝั่งตรงข้ามเองก็ทยอยสว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน

รัตติกาลคืบคลานเข้าปกคลุม กลีบบุปผาปลิดปลิวลอยตามลมตกใส่ไหล่ของเขา

สรุปนับแต่ได้พบหน้าถังอี๋ในงานวิวาห์วันนี้ ในวันเวลาหลังจากนั้น เขาก็แทบจะไม่เคยได้พบหน้าถังอี๋อีกเลย

เขาพักอยู่ที่นี่ ทว่าถังอี๋กลับไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงช่วงฉลองปีใหม่ของทุกปี ถังอี๋ถึงจะมาเยือนสักครา นั่งตรงข้ามกับเขากินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็ไม่ได้นอนร่วมห้อง แต่ไปนอนค้างที่ห้องปีกของเรือนคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จากไปอีก

สงบ สงัด โดดเดี่ยว นี่คือความรู้สึกในชีวิตหลังแต่งงานของหนิวโหย่วเต้า ตอนที่เฉินกุยซั่วอยู่ ยังมีคนให้คุยเล่นด้วยเป็นครั้งคราว แต่พอเปลี่ยนถูฮั่นมากลับช่างน่าเบื่อหน่าย รูปโฉมก็ไม่น่ามอง

แต่ถูฮั่นคล้ายจะชื่นชอบดื่มสุรา มักจะกอดน้ำเต้าสุราดื่มจนเมามาย แล้วก็มีเพียงช่วงเวลาที่ถูฮั่นดื่มจนเมามาย หนิวโหย่วเต้าถึงสามารถฉวยโอกาสพูดคุยกับเขาได้บ้าง หลอกถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ ได้เป็นครั้งคราว

แล้วก็เป็นเพราะถูฮั่นหลุดปากออกมา เขาถึงได้ทราบว่าหลังจากแต่งงานได้ไม่นาน ถังอี๋ก็ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์!

กล่าวก็คือ ตนกลายเป็นสามีเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว แต่กลับถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ หนิวโหย่วเต้าสับสนขึ้นเรื่อยๆ การที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำเช่นนี้กับตนมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ไร้ซึ่งเบาะแส แล้วก็ไม่มีใครให้คำตอบใดๆ แก่เขา…

……..

สายลมฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอีกปี

ใต้ต้นดอกท้อที่คล้ายไม่เคยโรยรา เบ่งบานราวก้อนเมฆที่อาบแสงอาทิตย์ยามเช้า ชายหนุ่มร่างสูงสง่ายืนเอามือไพล่หลัง เครื่องหน้าหล่อเหลา ใบหน้าเด่นชัดได้รูป แฝงความเด็ดเดี่ยวสงวนตัว บุคลิกอ่อนโยนเยือกเย็น เรือนผมยาวมัดรวบเป็นหางม้าอยู่ด้านหลังอย่างง่ายๆ ให้ความรู้สึกเกียจคร้านเอื่อยเฉื่อย เขาคือหนิวโหย่วเต้า

วันเวลาผันผ่าน เพียงพริบตาหนิวโหย่วเต้าก็ถูกกักบริเวณมาห้าปีแล้ว จากเด็กหนุ่มกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง

หากเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มคนอื่นมาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้คงจะเบื่อหน่ายจนทนไม่ได้ แต่เขายังโชคดี การฝึกบำเพ็ญเพียรในชาติก่อนหล่อหลอมเกิดประโยชน์ในชาตินี้ ทำให้สงบลงได้ นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร เกิดเป็นใจที่เยือกเย็น ถือเสียว่าเป็นการเก็บตัวบำเพ็ญเพียร

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่ได้ร้อนรนอีก เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีวันที่ตนได้ออกจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่ด้วยความสามารถของตัวเอง แม้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่ได้มอบทรัพยากรในการฝึกฝนให้ตน แต่ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในร่างคือที่พึ่งพิงที่สำคัญที่สุดของเขา!

จนถึงตอนนี้ ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในร่างเขาเพิ่งย่อยสลายดูดซับไปได้เพียงสองสายเท่านั้น แต่สภาวะของเขากลับบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นหลอมปราณแล้ว

และเมื่อสภาวะยิ่งสูงมากขึ้นเท่าไร ความเร็วในการสลายยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายก็ยิ่งเพิ่มเร็วขึ้นเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจ!

หลอมปราณ สร้างรากฐาน โอสถทอง จิตทารก ส่วนสภาวะที่บอกเล่าต่อๆ กันมาหลังจากนั้นไม่ต้องไปพูดถึง เท่าที่หลอกถามข้อมูลมาจากถูฮั่น ใต้หล้านี้มียอดฝีมือที่บำเพ็ญเพียรถึงระดับจิตทารกอยู่ไม่มากนัก ผู้ที่บรรลุถึงระดับจิตทารกได้ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในใต้หล้าทั้งสิ้น หากบรรลุระดับโอสถทองได้ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมแล้ว

ตอนนี้ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเพียงสามผู้อาวุโสที่บรรลุถึงสภาวะขั้นโอสถทอง เดิมทีก่อนหน้านี้ยังมีอีกสองคน แต่จนปัญญาที่ยอดฝีมือระดับโอสถทองที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างถังมู่และตงกัวเฮ่าหรานล้วนสิ้นบุญไปแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ในรุ่นเดียวกับสองคนนั้นส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาวะขั้นสร้างรากฐาน ส่วนเจ้าสำนักถังอี๋เหมือนปีที่แล้วเพิ่งจะบรรลุถึงขั้นสร้างรากฐานได้ด้วยความช่วยเหลือจากสามผู้อาวุโส ส่วนศิษย์ที่เหลือล้วนแต่วนเวียนอยู่ในระดับหลอมปราณ ดังนั้นเมื่อมาลองคิดดูแล้ว สภาวะของเขาในปัจจุบันนี้ไม่ได้ถือว่าต่ำต้อยเลย เพียงแต่เขาเก็บงำไม่เปิดเผยเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่รูปการณ์ยังไม่กระจ่างชัดและไม่มีความมั่นใจว่าจะป้องกันตัวได้ เขาไม่คิดจะเปิดเผยออกไป

สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ดีเป็นอย่างมาก อยู่ที่นี่มีกินมีดื่ม ซ้ำยังเงียบสงบ เป็นสถานที่ดีเหมาะให้สงบใจบำเพ็ญเพียร ได้ยินว่าโลกภายนอกวุ่นวาย ยังไม่แน่ว่าจะเสาะหาสถานที่บำเพ็ญเพียรที่เงียบสงบไปกว่าที่นี่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนไปจากที่นี่

หลังจากผ่อนคลายจิตใจเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าก็นอนลงไปบนเก้าอี้เอนหลังที่อยู่ใต้ต้นไม้ สูดกลิ่นหอมแผ่วบางของดอกท้อ เข้าสู่สภาวะเอื่อยเฉื่อยงัวเงีย

…….

เมืองหลวงแห่งแคว้นเยี่ยนที่อยู่ภายใต้ม่านรัตติกาล แสงโคมสว่างไสว ร้านรวงเรียงราย ท้องถนนพลุ่กพล่านจอแจ เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ความทุกข์ยากของประชาชนภายนอกคล้ายจะไม่เกี่ยวข้องกับที่นี่เลย ยาจกมากมายที่เร้นกายอยู่ในซอกหลืบมุมมืดราวกับใช้ชีวิตอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง

คฤหาสน์อันเงียบสงบหลังหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ขึ้นป้ายไว้ว่า ‘จวนตระกูลซ่ง’ เป็นคฤหาสน์ของซ่งจิ่วหมิงผู้เป็นเสนาบดียุติธรรมแห่งแคว้นเยี่ยน

รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามา บุรุษที่สวมชุดคลุมคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า ลูบเคราย่างเท้าไปตามบันได ให้ความรู้สึกวางท่าอยู่หลายส่วน

ข้ารับใช้คนหนึ่งเดินออกมาจากประตูอย่างรวดเร็วก้มหัวคอมเอวกล่าวว่า “ท่านเฉา!” จากนั้นมีคนเฝ้าประตูอีกคนวิ่งเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว

หลังจากสอบถามกันอยู่ตรงประตูได้ไม่กี่คำ ด้านในก็มีบุรุษคนหนึ่งก้าวออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ตัวคนยังเดินไม่พ้นประตูก็ประสานมือหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยทักทาย “ลมใดหอบท่านเฉามาเล่า? เชิญขอรับ เชิญด้านใน!”

ผู้ที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองคือซ่งเฉวียนบุตรชายคนโตของซ่งจิ่วหมิง รับราชการเป็นขุนนาง

มาตรว่าเฉาเฟิ่งตั๋วที่เป็นผู้มาเยือนจะไม่มีตำแหน่ง ทว่ากลับเป็นหนึ่งในเสนาธิการประจำตัวของเจ้ากรมโยธา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซ่งเฉวียนต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ทั้งสองหัวเราะพูดคุยเดินเคียงกันไป ไปที่ห้องรับแขกในตัวเรือนเพื่อดื่มชา

รออยู่สักพัก ซ่งจิ่วหมิงที่อยู่ในชุดลำลองใบหน้าผ่องใสก็เดินเอื่อยๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือผิวพรรณต่างคล้ายจะได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี ทั้งสองคนในห้องต่างลุกขึ้นยืน

เฉาเฟิ่งตั๋วประสานมือคำนับ “คารวะท่านเสนาบดียุติธรรม!”

ซ่งจิ่วหมิงตอบอืมคำหนึ่ง ตรงไปนั่งในตำแหน่งประธาน เอ่ยถามอย่างเป็นการเป็นงาน “ท่านเฉามาเยือน เป็นใต้เท้ามีคำสั่งใดลงมาใช่หรือไม่?”

“ใช่ขอรับ!” เฉาเฟิ่งตั๋วตอบรับ จากนั้นลดเสียงให้เบาลง กล่าวว่า “พรุ่งนี้ ซางเฉาจงบุตรชายของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วจะออกจากคุกแล้ว…”

……………………………………………………..