ตอนที่ 13 อวี๋ชี
ระหว่างรอเจียงซื่อยกยอปอปั้นเอ่ยถามอีก เจียงจั้นก็หมุนถ้วยน้ำชาไปมา
เจียงซื่อรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ แต่ที่มีมากกว่านั้นคือความกลัว
“ถ้าเช่นนั้น บุคคลที่สามเป็นคนช่วยชีวิตท่านพี่ไว้อย่างนั้นรึ”
“ใช่ เป็นถึงผู้มีพระคุณของข้าเชียวนะ! ในตอนแรก ข้าว่าข้าควรเชิญเขาไปดื่มสุราที่ร้านเหล้าที่ดีที่สุดของเมืองหลวงสักหน่อย แต่พอนึกได้ว่าน้องสี่ยังรอข้าอยู่ที่เรือน ข้าจึงต้องเปลี่ยนวันและไปขอบคุณด้วยตัวข้าเองดีกว่า” เจียงจั้นวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมด้วยสีหน้าผิดหวัง “คงเสียมารยาทน่าดู”
เจียงซื่อเอ่ยถามรายละเอียดของเรื่องราวเสร็จ ก็รู้สึกเริ่มเป็นห่วงเจียงจั้นขึ้นมา
คนที่อยากฆ่าพี่รองอาจเป็นคนที่จะใส่ร้ายผู้ตรวจการหนิวก็เป็นได้ แล้วตอนนี้ เขาเห็นหน้าตาของพี่รองแล้ว ในภายหลังเขาจะมาทำร้ายพี่รองไหมนะ
“พี่รองบอกว่าจะไปขอบคุณด้วยตัวเอง แปลว่าพี่รู้นามและที่อยู่ของผู้มีพระคุณของท่านพี่หรือเจ้าคะ”
“ใช่ เขามีนามว่าอวี๋ชี พูดถึงก็รู้สึกบังเอิญมาก เขาพักอยู่ตรอกเชวี่ยจื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเลย…”
คำพูดหลังจากนั้นเจียงซื่อแทบไม่ได้ฟัง นางคว้าแขนเสื้อเจียงจั้น ขวับ พอใช้แรงดึงมากเข้า เส้นเลือดตรงหลังมือก็ปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “มีนามว่าอวี๋ชีจริงหรือ”
เจียงจั้นตะลึงตกใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปกระทะหันของเจียงซื่อ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “น้องสี่เป็นอะไรไป”
เจียงซื่อเก็บสีหน้าและปล่อยแขนเสื้อเจียงจั้นทันที จากนั้นก็ทัดไรผมไว้หลังใบหูเพื่อกลบเกลื่อนปฏิกิริยาเมื่อครู่ แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่ซีดขาวไปแล้วได้ เพราะมันไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นปกติในเวลาอันสั้นได้
เจียงจั้นมองดูเจียงซื่ออย่างสงสัย “อย่าบอกว่าน้องสี่รู้จักอวี๋ชี”
เจียงซื่อฝืนยิ้ม แล้วคำว่า ‘อวี๋ชี’ ก็ทำให้นางรู้สึกวูบวาบภายในใจ
“อวี๋ชีมีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“หา?” เจียงจั้นกะพริบตาปริบๆ
แปลก น้องสาวถามหน้าตาของบุรุษด้วยเหตุใดกัน
เมื่อเห็นเจียงจั้นไม่ตอบ เจียงซื่อจึงถามต่อ “เป็นหนุ่มรูปงาม ถือว่าเป็นบุรุษรูปหล่อเหลาที่หาพบได้ยากใช่หรือไม่”
เจียงจั้นไม่อยากพูดสิ่งใดอีกแล้ว
ถึงว่า น้องสี่มีความสนใจในพี่อวี๋ชีถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เคยพบหน้ามาแล้วนี่เอง พี่อวี๋ชีมีรูปงามขนาดนี้ หากน้องสี่ถึงกับลืมหน้าไม่ลงก็คงไม่แปลก
หากน้องสี่ยิ่งรู้ว่าอวี๋ชีก็คือปี่อวี๋ชีละก็ ก็จะมีโอกาสได้รู้จักกันน่ะสิ
ไม่ได้เชียวนะ การที่พี่อวี๋ชีโผล่อยู่แถวหอนางโลม นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนเสเพล คนเช่นเขา หากคบเป็นเพื่อนคงเข้ากันได้เป็นอย่างดี หากมาเป็นน้องเขย เขาคงไม่ยอม
“ข้าว่าไม่ ความจริงพี่อวี๋ชีเป็นชายร่างใหญ่ตัวบึกบึน ไม่เช่นนั้นจะยื่นมือไปช่วยพี่ของเจ้าออกจากอันตรายได้อย่างไร” เจียงจั้นแอบยกนิ้วให้กับความฉลาดของตนเอง
เจียงซื่อรู้สึกโล่งอกพลางถอนหายใจ รอยยิ้มที่แสดงออกมาก็ดูผ่อนคลายขึ้น “ถ้าเช่นนั้น พี่รองอย่าลืมเลี้ยงสุราเขาล่ะ บุญคุณเพียงหยดน้ำแต่ควรตอบแทนบุให้มากเท่าต้นน้ำ เพราะเป็นบุญคุณแห่งการช่วยชีวิตเชียวนะ”
ดูเหมือนว่านางอ่อนไหวมากเกินไป คนแซ่อวี๋ที่อยู่บนโลกใบนี้มีตั้งเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วอวี๋ชีที่นางรู้จักก็อาจเป็นแค่นามแฝงเท่านั้นก็เป็นได้
“น้องสี่รู้จักคนมีนามว่าอวี๋ชีเหมือนกันรึ” เจียงจั้นเอ่ยถามเพื่อเป็นการยืนยัน
“ครั้งหนึ่ง ข้าบังเอิญได้พบกับบุรุษคนหนึ่งมีนามว่าอวี๋ชี ในตอนนั้นเกิดเรื่องทะเลาะกันเล็กน้อย เลยมีความทรงจำอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
“คนๆ นั้นหน้าตาดีสู้พานอาน[1] ได้หรือไม่”
หน้าตาดีรึ เจียงซื่อนึกทบทวน
คนๆ นั้นรูปงามมากจริงๆ งามประหนึ่งไข่มุกเรืองแสงเงางามวิบวับ รูปลักษณ์ของพานอานเป็นอย่างไร นางอ่านเจอแต่ในหนังสือ หากนำมาเปรียบเทียบ… แล้วพูดจากใจจริง บุรุษคนนั้นตบแต่งด้วยเครื่องแป้งน้อยกว่าพานอานเล็กน้อย แต่มีความสง่ามากกว่า
แต่มีรูปงามกว่าแล้วอย่างไรเล่า เพราะ ‘อวี๋ชี’ ที่นางรู้จัก เป็นไอ้สารเลว
“ไม่เลยเจ้าค่ะ เขาคนนั้นเนื้อแน่นอ้วนท้วม หน้าตาดุร้ายไม่เป็นมิตร ดูแล้วไม่น่าใช่คนดี” คำวิจารณ์ด้านลบถูกเปล่งออกมาจากปากของเจียงซื่อยาวเป็นขบวน
“ถ้าเช่นนั้น คนที่เราสองคนได้พบก็อาจไม่ใช่คนๆ เดียวกัน พี่อวี๋ชี เป็นคนตัวใหญ่บึกบึน แต่ดูก็รู้ว่าเป็นคนดี”
“เราหยุดคุยเรื่องนี้กันก่อนเถอะเจ้าค่ะ วันหลังพี่รองทำอะไร ก็อย่าให้มีปัญหาสอดแทรกเข้ามาอีกเลย ครั้งนี้มีคนเห็นหน้าท่านพี่แล้ว ไม่แน่อาจมีปัญหาตามมาก็เป็นได้” ความเป็นกังวลของเจียงซื่อยังค้างคาอยู่ในใจ
“หากคนๆ นั้นรู้ว่าข้าเป็นคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว เขาคงไม่กล้าทำสิ่งใดหรอก” เจียงจั้นไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
เพราะเขาไม่ได้เติบโตจากความกลัว และคงไม่ทำตัวหลบๆ ซ่อนไม่ออกจากเรือนด้วยเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
แล้วอีกอย่าง ไม่ว่าสถานะตำแหน่งของจวนตงผิงปั๋วจะเป็นเช่นไร หากคุณชายท่านหนึ่ง จู่ๆ ก็เสียชีวิตลง เรื่องนั้นคงจะกลายเป็นที่สนใจของผู้คนเป็นแน่ ซึ่งมีความแตกต่างจากการเสียชีวิตของคนที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ
“เอาเป็นว่า ต่อไปนี้พี่รองก็อย่าออกไปข้างนอกบ่อยๆ นักเลย หากต้องออกไปปฏิบัติภารกิจก็ควรระวังให้มากนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อพลันนึกถึงการตายของเจียงจั้นเมื่อชาติที่แล้ว คนที่ทำร้ายท่านพี่มีนามว่าหยางเซิ่งไฉ และหยางเซิ่งก็เป็นหลานของเสนาบดีกรมพิธีการ…
หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน
คงไม่ใช่หรอก เพราะเมื่อชาติก่อน นางไม่ได้ขอร้องให้พี่รองไปที่ตรอกซอยลับนั่น
“คุณหนูเจ้าคะ…” เสียงเรียกของอาหมานดังขึ้นจากด้านนอก
เจียงซื่อดึงสติกลับมา แล้วเรียกอาหมานเข้ามา
อาหมานเดินมาหาเจียงซื่ออย่างฉับไว “คุณหนู นายท่านรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ กำลังห้ามปรามนายท่านใหญ่นับสินสอดเจ้าค่ะ”
“ท่านอารองจะก่อเรื่องจริงๆ ด้วย!” เจียงจั้นกล่าวด้วยความเกลียดชัง
ท่านอารองของเขาคนนี้ ปกติเป็นคนเข้าใจคน แต่ก็เป็นคนที่มีความกตัญญูต่อท่านย่ามากเป็นที่สุด แล้วเรื่องนี้เขาจะต้องเชื่อฟังท่านย่าอย่างแน่นอน
“ไปดูกันเจ้าค่ะ” เจียงซื่อลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
เจียงจั้นรีบเดินตาม
สินสอดที่ส่งมาจากจวนอันกั๋วกงถูกวางไว้ที่คลังเก็บของในเรือนหวาหมิง เจียงอันเฉิงกำลังโมโหอยู่ด้านหน้าคลังเก็บของ “น้องรอง เจ้าหลบไปนะ ข้าจะไปยกเลิกงานสมรสที่จวนอันกั๋วกง อย่ามาเสียเวลาข้านะ!”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ พี่ฟังข้าก่อน ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว เจ้าหนุ่มจวนอันกั๋วกงกระทำสิ่งที่เด็กๆ ทำกันโดยไม่ทันคิด แก้ไขปัญหากันดีๆ ก็เพียงพอแล้ว”
“แก้ไขอย่างไรเล่า”
“จวนกั๋วกงต้องการให้สตรีผู้นั้นมาเป็นอนุภรรยา อย่าว่าแต่พี่ใหญ่ที่รู้สึกโกรธ ข้าที่เป็นอารองก็รู้สึกไม่ต่าง หญิงชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง จ่ายเงินให้นางหน่อยก็พอแล้ว พอซื่อเอ๋อร์ได้แต่งเข้าไป ด้วยความสามารถของซื่อเอ๋อร์ เจ้าหนุ่มนั่นจะไม่เปลี่ยนความประพฤติอีกหรือพี่ใหญ่ การยกเลิกงานสมรสไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ฉลาด ถ้าตัดสินใจไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แล้วอนาคตของซื่อเอ๋อร์จะทำเช่นไรต่อเล่า”
ซื่อเอ๋อร์ยืนฟังอยู่ไม่ไกล พอได้ยินคำพูดของนายท่านรองเข้า มือไม้ก็อดตบเข้าหากันไม่ได้
ท่านอารองช่างเป็นคนมีวาทศิลป์ล้ำเลิศเสียจริง!
เจียงจั้นกำลังจะเอ่ยปาก เจียงซื่อพลันดึงเขาหนึ่งทีและเดินเข้าไปแทน
“ซื่อเอ๋อร์มาแล้วหรือ” นายท่านรองเจียงเห็นซื่อเอ๋อร์เดินเข้ามาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
เจียงซื่อย่อตัวน้อมทักทาย พลางเอ่ยออกไปตรงๆ “ท่านอารองไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของหลานเลยเจ้าค่ะ หลานคิดว่า การที่หลานสามารถหนีห่างจากบุรุษอย่างคุณชายสามจี้ได้ แม้หลานจะต้องกลายเป็นหญิงแก่ตลอดชีวิต แต่หลานยังแอบหัวเราะดีใจด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้ายังเด็ก เจ้าจะไปรู้ถึงความทุกข์ของคนที่เป็นหญิงแก่ได้อย่างไร——”
เจียงซื่อยิ้มหวานให้เจียงอันเฉิง “ท่านพ่อ ลูกอยากเป็นหญิงแก่ไปตลอดชีวิต ท่านพ่อจะยินดีรับเลี้ยงลูกคนนี้หรือไม่”
“ข้ายินดีแน่นอน!” เจียงอันเฉิงเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
เจียงจั้นตบเข้าที่หน้าอก ปักๆ “น้องสี่วางใจได้ ถ้าเจ้าไม่อยากออกเรือนจริงๆ เจ้ายังมีข้า ใครกล้าพูดพล่อยๆ ข้าจะไปจัดการมันเอง คอยดู!”
รอยยิ้มของเจียงซื่อจริงใจมากขึ้นกว่าเดิม
ท่านพ่อและท่านพี่ของเขาไม่ใช่คนฉลาด บางครั้งก็ฟังไม่ออกแม้กระทั่งคำพูดปลิ้นปล้อน แต่ความรักที่มีให้นางนั้นบริสุทธ์ไม่มีสิ่งปนเปื้อนแม้แต่น้อย
“ท่านอารองลองคิดดูนะเจ้าคะ ท่านพี่กับท่านพ่อยังไม่รังเกียจหลานเลย หรือว่าการที่หลานของท่านอาไม่ได้ออกเรือน จะทำให้ท่านขายหน้าเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงจ้องนายท่านรองเจียงอย่างไม่ละสายตา
บุตรสาวของเขาเอง เขายังไม่รังเกียจ คนอื่นเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมารังเกียจแทนเขา
“ซื่อเอ๋อร์พูดอะไรออกมา อาไม่มีเจตนาเช่นนั้นเสียหน่อย——”
เจียงอันเฉิงถีบเจียงจั้นหนึ่งที “ข้าให้เจ้ามาช่วยข้า แต่เจ้าไปเถลไถลที่ไหนมา ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!”
นายท่านรองเจียงถูกเจียงซื่อพูดจี้จนไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร จึงได้แต่มองเจียงอันเฉิงสองพ่อลูกสั่งคนโยกย้ายสินสอดออกไป
“ท่านอารองช่วยหลบหน่อยเจ้าค่ะ เดี๋ยวโดนเท้าของท่านเข้าจะแย่เอานะเจ้าคะ” เจียงซื่อเอ่ยเตือนพร้อมยิ้มหวาน
นายท่านรองเจียงสบตากับเจียงซื่อไปครู่หนึ่ง แล้วถึงเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ท่านอารองเป็นคนนิสัยดีจริงๆ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกโกรธเลย
มุมปากของเจียงซื่อเผยรอยยิ้มจางๆ เพียงแวบเดียว
อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อกัวซื่อกลับถึงจวนอันกั๋วกง รถม้าได้ถูกคนขวางเอาไว้ “วันนี้จวนของพวกข้าไม่รับแขก ขอให้ท่านกลับไปแล้วมาใหม่ในวันหลัง”
รถม้าที่เช่ามาในช่วงเวลากะทันหันเช่นนี้ ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ หากคนของจวนอันกั๋วกงไม่รู้จัก
“เบิกตาดูให้ดีเสียก่อน คนในรถม้าคือฮูหยินซื่อจื่อ!” สาวรับใช้ของกัวซื่อเปิดม่านออกพร้อมกับกล่าวตำหนิ
คนเฝ้าประตูตะลึงตกใจเลยรีบเปิดประตู
กัวซื่อตรงไปยังเว่ยซื่อฮูหยินแห่งอันกั๋วกงทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือไม่” เว่ยซื่อเอ่ยถามด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
[1] พานอาน เป็นนามของบุรุษคนหนึ่ง ได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งใน 4 หนุ่มรูปงามแห่งแผ่นดินจีน