จอมมารมีราชินี 5 องค์ และมีลูกกับราชินีรวมทั้งสิ้น 9 ตน
ราชินีองค์ที่ 3 ซิลเวีย ดูมเบลด
นางเป็นบุตรีคนโตของตระกูลดูมเบลด ตระกูลที่ปกครองเอลฟ์รัตติกาลทั้ง 7 เผ่า จึงถือได้ว่านางเป็นราชินีของเหล่าเอลฟ์รัตติกาลก็ว่าได้
เฟลิซี ดูมเบลด เป็นหนึ่งในลูกทั้งสองของนาง
‘แล้วพี่ชายเธอมัวไปอยู่ที่ไหน?’
องค์ชายลำดับที่ 5 ซิลวาน ดูมเบลด และองค์หญิงลำดับที่ 6 เฟลิซี ดูมเบลด
อินกองค้นความจำในหัวของเขา ทั้งคู่เข้าร่วมฝ่ายกับอนาสทาเชีย เนคริออน ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของแซเฟียร์ นั่นจึงทำให้เขามองทั้งคู่เป็น ‘ศัตรู’
‘ก็ดีกว่าคริสต์กับเคทลินละนะ’
เมื่อตอนที่เขาเล่นแซเฟียร์ เขาได้พบพี่น้องเอลฟ์รัตติกาลในวัง บ่อยกว่าพี่น้องไลแคนโทรป
‘สวย เริ่ด เชิด หยิ่ง… ตามแบบฉบับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ เป๊ะ!’
นั่นคือความประทับใจที่เขามีให้กับเฟลิซี แต่ตัวปัญหาสำหรับแซเฟียร์ คือพี่ชายของนาง ซิลวาน ดูมเบลด เสียมากกว่า
‘หมอนั่น ***เก่งโคตร’
เหมือนกับคู่พี่น้องไลแคนโทรปที่คนพี่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามมากกว่าคนน้อง ซิลวานถือเป็นตัวละครบอส(MVP)ของวันล้างบางเลยทีเดียว
‘แต่ตอนนี้ เฟลิซีออกมาที่นี่’
แล้วทำไมเฟลิซีถึงโผล่มาอย่างกระทันหัน? หรือว่าเธอจะมาแย่งความดีความชอบ?
‘ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่’
ลูกๆของจอมมารไม่ได้เคลื่อนไหวตามภารกิจอย่างเดียวเท่านั้น เมื่ออายุครบ 18 พวกเขาจะสามารถเดินทางได้ตามใจชอบ แต่เฟลิซีเพึ่งจะครบ 18 ในปีนี้
‘บางที เธออาจจะมาทำภารกิจในบริเวณใกล้ๆ?’
การสนทนาระหว่างแวนเดลกับคริสต์ยังคงดำเนินต่อไประหว่างที่อินกองคิดเรื่อยเปื่อย คริสต์ขมวดคิ้วถามขึ้นมา
“หรือว่าเจ้าพวกสายฟ้าชาดจะรู้ว่านางคือเฟลิซี ก็เลยจับตัวไป?”
“ข้าไม่รู้ นางอาจจะเงียบหรือบอกไป หรือไม่พวกมันอาจจะรู้เอง?”
มันมีข้อแตกต่างระหว่างการคิดว่านางเป็นทหารระดับสูง กับคิดว่านางเป็นเจ้าหญิง เป็นที่แน่นอนว่าท่าทีปฏิบัติก็จะต่างออกไป
‘ไม่แน่ว่านางอาจจะตายไปแล้วก็ได้’
พวกมันสามารถใช้นางเป็นตัวประกันเจรจาได้ แต่อินกองไม่คิดว่าพวกออร์คจะฉลาดพอที่จะคิดเรื่องการใช้ตัวประกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดพื้นฐานของโลกมนุษย์กับโลกมารก็ต่างกันออกไป
“แล้ว ทางวังส่งข้อความมาว่ายังไงบ้าง?”
“ช่วยนางถ้าทำได้”
“ไม่คิดจะมีการเจรจาอะไรงั้นหรือ?”
“ถ้าพวกมันเรียกร้องมา ข้าก็จะคุยด้วย แต่ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะขอเจรจา”
“นั่นมันก็ใช่”
คริสต์หัวเราะเล็กน้อย อินกองที่ฟังอยู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
นี่ไม่ใช่แค่วิธีคิดของพวกโอเกอร์อย่างแวนเดลฝ่ายเดียว
กฎหลักของโลกมาร คือผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องดิ้นรนแต่อย่างใด เพื่อช่วยองค์หญิงที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
‘ก็นะ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดของพวกที่อยู่ในวังจอมมาร’
ภาพที่เหล่าเอลฟ์รัตติกาลพยายามบุกช่วยนางอย่างไม่คิดชีวิตโผล่ขึ้นมาในหัวของเขา
‘ไม่สิ บางทีนั่นอาจเป็นโอกาสเดียว ที่พวกนั้นสามารถจะช่วยนางออกมาได้?’
แต่ไม่ว่ายังไง ความจริงที่ว่าวังหลวงไม่ใส่ใจเรื่องการช่วยเหลือนาง ก็ยังเป็นที่ชัดเจน
“ข้าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน”
แวนเดลพูดออกมาในที่สุด ถึงมันจะดูจาบจ้วง แต่คริสต์ก็พยักหน้าโดยไม่บ่นอะไร
“งั้นเดี๋ยวเราจะติดต่อถามความคืบหน้าอีกที”
คริสต์ส่งสัญญาณให้เหล่าไลแคนโทรปออกจากกระโจม
อินกองจึงหันไปสั่งคารัค
“คารัค นายก็ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ”
“รับทราบ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกข้าละกัน”
เมื่อเหลือแค่คริสต์ เคทลิน และอินกองอยู่ภายในกระโจม คริสต์ก็ถอนหายใจแล้วทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ของเขา
“นูนะสุดที่รักของพวกเราโดนจับไปเป็นตัวประกัน”
คำพูดของเขาแฝงไปด้วยเสี้ยนหนาม เคทลินมองไปยังทั้งคู่ก่อนจะประกาศออกมา
“พวกเราต้องช่วยนางออกมา ถ้านางยังมีชีวิตอยู่”
มันเป็นการตัดสินใจที่ดูมุ่งมั่นเลยทีเดียว เจตนารมณ์ของเธอทำให้อินกองคล้อยตามนิดหน่อย
แต่คริสต์ไม่คิดอย่างนั้น เขาจ้องมองเคทลินก่อนที่จะหัวเราะออกมา
“นั่น ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง อีกทางก็คือปล่อยนางทิ้งเอาไว้อย่างนั้น”
เคทลินจ้องเขม็งใส่พี่ชายของเธอ เขาทำเป็นไม่สนใจก่อนจะยักไหล่
“แค่พูดเล่นนะ”
‘ทำไมเรากลับไม่รู้สึกว่าคริสต์พูดเล่น’
ท่าทางกับแววตาของเขาดูตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
‘นี่มัน…ดุเดือดกว่าที่คิดแฮะ’
เป็นธรรมดาที่ความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆของจอมมารจะไม่เรียบง่าย ทุกคนต่างก็ยุ่งกับการทำสงครามเย็นระหว่างกันและกัน
แต่จะถึงอย่างไร พี่น้องก็ยังคงเป็นพี่น้อง แม้ความสัมพันธ์จะดูแย่ไปบ้าง มันก็ไม่ถึงขั้นจะฆ่าแกงกัน
‘แล้วนั่นก็เปลี่ยนไป หลังจากสงครามล้างเผ่าไลแคนโทรป’
อันที่จริงทั้งหมดเริ่มจากแซเฟียร์ เพราะแซเฟียร์ ทุกคนก็เลยรู้สึกว่าอันตราย หากไม่ทำอะไรสักอย่าง
ทว่าในตอนนี้ คริสต์กลับสื่อออกมาว่า ถึงแม้เฟลิซีจะตาย เขาก็ไม่สะทกสะท้าน
‘หรือว่าจะมีเรื่องอะไรระหว่างทั้งคู่?’
สงสัยจะแย่เอาเรื่อง แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดชัดเจนนักก็เถอะ
‘ถ้าคริสต์และเคทลินรอดตายในเกม ฝ่ายที่จัดการซิลวานกับเฟลิซีก็น่าจะเป็นทั้งคู่… ถ้าอย่างนั้น หรือว่าคริสต์คิดจะปล่อยให้นางตายจริงๆ?’
หากแต่ว่า เฟลิซีจะตายจริงหรือ? ตอนนี้ยังคงเป็นปี 512 บทกวีแห่งผู้กล้าเริ่มในปี 513 และในตอนนั้นเฟลิซีก็ยังมีชีวิตอยู่
‘ถึงกระนั้น เราก็มั่นใจอะไรไม่ได้’
ไม่มีอะไรมายืนยัน ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปเหมือนในเนื้อเรื่องของเกม ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างฉัตร คริสต์ และเคทลินในตอนนี้ อาจจะส่งผลกระทบบางอย่างก็เป็นได้
“พวกเราควรจะช่วยนาง ไม่สิ พวกเราต้องช่วยออนนี่”
เคทลินประกาศออกมา เหมือนกับที่คริสต์จริงจัง เธอก็พูดออกมาอย่างจริงใจ
‘เคทลินนี่ก็เดาไม่ยาก’
ในขณะที่อินกองยังคงเงียบ คริสต์ถอนหายใจยอมแพ้น้องสาวของเขา
“อย่างน้อยๆ จะลองช่วยนางดูก่อนละกัน”
เคทลินส่ายหน้าเบาเบา แต่ก็ไม่พูดอะไร อินกองที่ยืนอยู่ระหว่างทั้งคู่ถามขึ้นมา
“มีแผนการอะไรไหม?”
เขาไม่รู้ว่าเฟลิซียังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และถึงจะรู้ว่านางถูกเผ่าสายฟ้าชาดจับตัวไป ก็ไม่มีข้อมุลว่านางถูกขังเอาไว้ที่ไหน
คริสต์ยักไหล่ก่อนจะตอบกลับมา
“ยิ่งยืดเยื้อก็ยิ่งแย่… แวนเดลน่าจะพอคิดอะไรอยู่บ้าง’
คริสต์ลุกขึ้นชี้ไปยังแผนที่ยุทธศาสตร์บนโต๊ะ
“พอแวนเดลเข้าบุกโจมตีดึงความสนใจไปด้านหน้า จากทางด้านหลัง…”
คริสต์วางหมากสามตัวบนบริเวณด้านหลังฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด
“นายกับเคท พวกเราจะลอบเข้าโจมตีจากด้านหลัง ได้แค่หวังว่าจะช่วยเฟลิซีออกมาได้… แต่ถ้าคว้าน้ำเหลว นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเรา”
สายตาของคริสต์มองไปยังเคทลิน นางขบฟันเบาๆก่อนจะตอบกลับมา
“ถ้าอบป้าช่วยเฟลิซีออนนี่ออกมาได้ มันจะเป็นความดีความชอบอย่างมาก”
“อืมนั่นมันก็จริงอยู่ แถมนางก็จะติดหนี้บุญคุณเราด้วย ฟังดูไม่เลวเลย”
คริสต์ครุ่นคิดพร้อมกับรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ เคทลินได้แต่พูดไม่ออก ส่วนอินกองก็ยังคงนิ่งเงียบ
‘นี่ถ้าเราไม่ได้แสดงความสามารถออกมา คริสต์จะมีท่าทีกับฉัตรแบบนี้หรือเปล่านะ?’
เขาไม่มั่นใจว่าเคทลินจะเปลี่ยนท่าที แต่คริสต์น่าจะเป็นแบบนั้น
คริสต์ที่หัวเราะอยู่คนเดียว เคาะโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ
“หวังว่าเราจะได้เริ่มภารกิจกันในเร็วๆนี่ เพราะฉะนั้น ก็แยกย้ายเตรียมพร้อมกันก่อนเถอะ เราจะขอคุยรายละเอียดกับแวนเดลสักพัก”
“อบป้าก็อย่าลืมพักผ่อนละ”
“อืม”
เคทลินมองไปทางคริสต์อย่างลังเล ก่อนจะออกจากกระโจมไปพร้อมอินกอง
&
กว่าคริสต์จะเรียกอินกองกับเคทลินอีกที ก็เย็นแล้ว
“แผนการรอบนี้ง่ายมาก”
คริสต์วางรูปปั้นจิ๋วลงบนแผนที่สนามรบ อินกองสามารถเข้าใจรูปปั้นแต่ละตัวได้อย่างดี
‘หมากแต่ละตัวแทนพวกเราแต่ละคน’
แบบจำลองทำได้ละเอียดมาก จากนั้นคริสต์ก็เริ่มอธิบาย
“ขณะที่แวนเดลดึงความสนใจพวกมันไว้ ทางเราก็จะลอบเข้าโจมตีไม่ให้พวกมันทันตั้งตัว”
‘ฟังดูง่ายจริงๆ’
มันเหมือนกับที่เขาได้ยินเมื่อตอนกลางวันไม่ผิด ระหว่างที่อินกองจ้องแผนที่บนโต๊ะ คริสต์ก็พูดขึ้นต่อ
“เราจะนำทัพบุกเข้าไปกลางฐานมันแล้วก่อความวุ่นวายให้มากที่สุด ระหว่างนั้นให้ฉัตรกับเคท ทำภารกิจหลักซะ”
รูปจำลองทั้งสามถูกกระจายไปคนละทิศทาง อินกองถามขึ้นมา
“ภารกิจหลักที่ว่า คือการช่วยเฟลิซีออนนี่ใช่ไหมครับ?”
“เผาคลังเสบียงของพวกมันให้วอดวายให้หมด ระหว่างนั้นถ้าเจอเฟลิซีก็ช่วยนางออกมาด้วย แล้วเกิดท่าไม่ดีขึ้นมา ให้ถอนตัวทันที”
มันไม่ใช่ภารกิจช่วยเหลือ แต่เป็นการบุกทำลายล้าง
“อบป้า!”
“เราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว หรือว่าเธอมีความคิดที่ดีกว่านี้?”
เคทลินมองพี่ชายของเธออย่างรังเกียจ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
‘บางที เขาน่าจะส่งสายสืบไปหาตำแหน่งที่ชัดเจนของเฟลิซีได้อยู่… แต่นั่นก็ในกรณีทีมีเวลา’
อินกองคิดในใจระหว่างที่ฟังคริสต์อธิบายรายละเอียดปลีกย่อย มีหลายอย่างที่ต้องตกลงกันให้ดี โดยเฉพาะการส่งพลุสัญญาณ
“เอาละ งั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน เราจะเริ่มภารกิจกันตอนเที่ยงคืน”
‘ครั้งนี้เราจะขึ้นเป็นเลเวล 10 ให้ได้’
นี่แกสนใจเลเวลมากกว่าพี่สาวเฟลิซีได้ยังงายยยย (눈_눈)
อินกองพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินออกจากกระโจม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว คารัคกับออร์คทั้ง50ตน รวมถึงคริสต์ เคทลิน และเหล่าทหารไลแคนโทรป ผ่านประตูมิติมาที่ภูเขาด้านหลังฐานที่มั่นของเผ่าสายฟ้าชาด
“พวกมันไม่มีทางคาดคิดว่าเราจะลอบโจมตีจากด้านหลังแน่”
คารัคพึมพำออกมาเหมือนมันคิดว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ทหารทั้ง 400 ตน หลบซ่อนเป็นอย่างดี ยิ่งในคืนนี้มีก้อนเมฆบดบังแสงจันทร์ทำให้มืดกว่าเมื่อวาน จึงยากที่จะสังเกตทหารแต่ละนาย
อินกองพยักหน้าแล้วมองไปรอบตัว สายลมเย็นในค่ำคืนอันมืดมิดพัดเข้ากระทบใบหน้าของเขา
“ดูท่าว่าทางนั้นจะเริ่มแล้วนะ”
มีเสียงคำรามลอยมาจากทางด้านหน้าค่าย พื้นดินสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนทัพบุกของแวนเดล เสียกล่องศึกและแตรที่ถูกเป่า ดังสะท้านไปทั่วสารทิศ
ความโกลาหลเกิดขึ้นในค่ายของเหล่าออร์คข้างล่างอย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนและสัญญาณเตือนภัยดังระงมไปทั่ว พร้อมกับเหล่าทหารที่ทยอยโผล่ออกมาจากเต้นท์
อินกองหันหน้าไปทางทิศที่คริสต์ซอนตัวอยู่ คริสต์ส่งสัญญาณให้รอในทันทีที่เขารู้สึกว่ามีสายตาจดจ้อง
“ลุยเลยไหม?”
“ใจเย็นก่อน ต้องให้มั่นใจว่าทหารส่วนใหญ่ของพวกมันออกไปแล้ว”
อินกองอธิบายกับคารัคที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้มันจะผ่านการทำศึกมาบ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มันเข้าร่วมสมรภูมิที่ใหญ่ขนาดนี้
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก
คริสต์และเหล่าไลแคนโทรปก็เริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
อินกองยังคงรอต่อไป เขาต้องทิ้งเวลาสักช่วงให้คริสต์ก่อความวุ่นวายภายในค่ายก่อน ในการรบครั้งนี้ เขาได้รับทหารออร์คจากคริสต์เพิ่มมา 30 ตน นั่นทำให้เขาคุมกำลังพลทั้งหมดเป็นออร์ค 80 ตน
เสียงร้องของเหล่าไลแคนโทรปในฐานทัพสร้างความวุ่นวายไปทั่ว และนี่ก็คือเวลาที่เขารอคอย
“บุก!”
“ฆ่ามัน!”
พร้อมกับอินกอง คารัคตะโกนออกมาพลางวิ่งนำทัพเหล่าออร์คเข้าโจมตี เสียงปลุกระดมสิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาไปถึงที่หมาย
ต้องขอบคุณลมปราณกำลังภายในที่ทำให้อินกองสามารถตามความเร็วของเหล่าออร์คได้ อินกองมองไปรอบๆในขณะที่เขาวิ่ง เขาเห็นเคทลินที่กำลังพยายามอย่างมาก เพื่อควบคุมความเร็วทัพของเธอให้ไล่เลี่ยกับอินกอง
ในลักษณะเดียวกับคริสต์ เคทลินมองกลับมาที่อินกองแล้วหัวเราะร่า อินกองได้แต่ส่งยิ้มคืนให้
ฐานที่มั่นของเผ่าสายฟ้าชาดตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา อินกองเหลือบมองแผนที่ย่อและพื้นที่โดยรอบ พร้อมชักดาบของเขาออกจากฝักแล้วชูขึ้น
คำฝากจากผู้เขียน: ตอนที่แล้วที่ใช้คำว่าพี่น้องต่างมารดานั่นต้องการจะสื่อแค่ว่า เฟลิซีก็เป็นหนึ่งในบุตรีของจอมมาร ไม่เกี่ยวกับกาลาฮัดแต่อย่างใด
ลูกทั้งหมดของจอมมารถือเป็นพี่น้องต่างมารดาทั้งสิ้น เคทลินถูกจัดเป็นหนึ่งบุตรีของจอมมาร นั่นทำให้เธอก็ถือว่าเป็นพี่น้องต่างมารดากับลูกที่เหลือ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่ใช่ก็ตาม
ตอนหน้าจะเป็นฉากเปิดตัวของเฟลิซีแน่นอน!