“คุณหนูใหญ่กำลังจะโยนนายน้อยลงน้ำ พวกเจ้ารออะไรอยู่? ไปห้ามนางเร็วสิ!” นางอันหน้าตาทะหมึงถึงและฉีกภาพลักที่เก็บซ่อนออกมา

เสียงที่เยือกเย็นและเสียดแทงของนางกระตุ้นสาวใช้ทั้งหนุ่มและแก่ที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดต่างก็รีบตรงไปที่ซูมู่เกอและล้อมรอบนางไว้

ซูมู่เกอเปลี่ยนตำแหน่งของเหวินม่อตัวน้อยเอามากอดไว้ในอ้อมแขนของนาง

“คุณหนู ท่านไปกับนายน้อยก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ที่นี่และต่อสู้กับพวกเขาเอง” เยว่รู่ยืนยันที่จะปกห้องซูมู่เกอและน้องชายของนางแม้ว่านางจะกลัวมาก ริมฝีปากนางสั่นด้วยความกลัว

“เจ้ากล้าหาญมากจริงๆ แต่เมื่อแขนและขาของเจ้าผอมขนากนี้ เจ้าควรพานายน้อยไปด้วยดีกว่า และปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่เอง” ซูมู่เกอส่งเหวินม่อตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเยว่รู่ และให้ทั้งสองหลบหลังนาง

“เจ้ากำลังทำอะไร? รีบคว้าและจับไว้!” นางอันจ้องไปที่ซูมู่เกอด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยวของนาง นางเชื่อว่าเมื่อมีคนจำนวนมากหยุดพวกนาง ซูมู่เกอจะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนที่ด้อยกว่า!

ซูมู่เกอเตะสาวใช้คนเก่าแก่ที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านหน้าสุด “โอ้ย!” สาวใช้ล้มลงกระแทกสาวใช้สาวสองนางลงนอนที่พื้นด้วย

“ข้าจะเปิดช่องทางให้เจ้าและเจ้าวิ่งตรงกลับไปที่ลานดอกท้อบานเลยนะหลังจากที่ผ่านมันไปได้”

“แล้วถ้าคุณหนูล่ะ….”

“พวกเขาทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”

ซูมู่เกอจับชายเสื้อของสาวใช้คนหนึ่งอย่างเต็มมือ และผลักนางไปหาสาวใช้คนอื่นๆ ที่วิ่งมาด้านหน้า สาวใช้เซและล้มลงทีละคน เกิดช่องทางในวงล้อมของคนเหล่านั้นและเยว่รู่ก็วิ่งออกไปในเวลานั้น

“อย่าปล่อยให้นังคนใช้ราคาถูกนั่นหนีไปได้ มาจับเธอไว้!” เมื่อเห็นว่าซูเหวินม่อถูกอุ้มไป นางอันก็เดินขวางและโวยวาย

หลังจากที่เยว่รู่ออกจากลานบ้านไป ซูมู่เกอรีบไปที่ประตูเพียงสองก้าว ปิดประตูและอยู่บังที่นั่นไว้

สาวใช้วัยละอ่อนเหล่านั้นถูกซูมู่เกอทำร้ายอย่างหนัก และไม่มีใครกล้าก้าวไปข้าหน้าโดยมีซูมู่เกอยืนขวางประตูเหมือนเทพธิดาเฝ้าไว้

“ซูมู่เกอ ให้ข้าดู เจ้าจะต่อต้านขัดขืนข้าเพื่ออะไร!”

นางอันโกรธซูมู่เกอมากและนางเกือบพุ่งไปข้างหน้าด้วยตัวเอง!

“ข้าจะเป็นใบ้ยืนนิ่งเฉย รอให้คนของท่านตีข้างั้นรึ?”

“ดี วิเศษ เจ้าสบายดี! ทุกคนมาจับนางให้ข้าสิ! นังบ้าที่กล้าหาญนี่!”

ซูมู่เกอยิ้มเยาะรีบเปิดประตูและหลบหนีไป นางล็อคประตูจากด้านนอกปล่อยให้สาวใช้ทั้งหนุ่มและแก่อยู่ด้านในโดยไม่มีเวลาตอบโต้

“เปิดประตู! นังสารเลว! แกกล้าล็อคประตูลานบ้านของข้าได้เยี่ยงไร! ข้าจะดูแกตายด้วยความทรมาน!W

ซูหลุนแสดงท่าทีสงบเสงี่ยมและขอโทษเมิ่งฉางเต๋อหลายครั้งก่อนที่เขาจะจากไปในที่สุด

ขณะที่เขากำลังจะไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในลานบ้านของนางอัน เขาได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนด่าจากระยะไกลแล้ว

ใบหน้าของซูหลุนกลายเป็นสีเข้มเหมือนก้นกระทะ

“พวกแกรออะไรอยู่! ไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

คนรับใช้ชายเงียบเหมือนจักจั่นในปลายฤดูใบไม้ร่วง พวกเขารีบไปที่ประตูลานพร้อมกับดึงจนตัวงอ หลังจากความวุ่นวายและความโกลาหลอยู่พักหนึ่งในที่สุดลานก็กลับมาเงียบสงบ

………………..

ณ คฤหาสน์เมิ่งในเมืองชุนหยาง

เมิ่งชุนประคองหญิงชราเมิ่งและช่วยนางเข้าไปในลานบ้าน บรรดาสาวใช้ออกมาต้อนรับนายท่านแม่เฒ่าเมิ่งหลังจากยุ่งกับงานอยู่ด้านใน เมิ่งชุนดูแลแม่เฒ่าเมิ่งเพียงลำพังและรู้ว่านางมีบางอย่างจะพูดด้วย

“ข้าได้ยินมา เจ้าชอบลูกสาวคนที่สองของซูหลุนงั้นรึ?” หญิงชราพูดช้าๆ สบายๆ โดยไม่มีความโกรธใดๆ ปรากฏบนใบหน้าของนางเลย

เมิ่งชุนตกตะลึงและนางกำลังจะตอบกลับ หญิงชราเมิ่งโบกมือและหยุดนาง

“ข้าจะไม่ค้นหาว่าเจ้าวางแผนอันใดไว้มาก่อนบ้าง แต่จากนี้ไป เจ้าอาจไม่ได้รับการพิจารณาใดๆเช่นนั้นอีก”

“เจ้าค่ะ”

…………..

นางจ้าวได้รับแจ้งว่าซูมู่เกอนำเหวินม่อตัวน้อยกลับมาแล้วและขอให้ใครก็ได้นำเขามาหานาง มองไปที่ใบหน้าที่อ่อนโยนและขาวของลูกชายของนาง นางไม่สามารถปล่อยเขาไปได้ ในที่สุดซูมู่เกอก็ขอให้เยว่รู่พาเขาไปที่ห้องของนางเองโดยพิจารณาว่ามันอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของนางจ้าวได้ เนื่องจากนางเหนื่อยเกินไป

ซูมู่เกอจับชีพจรของเหวินม่อตัวน้อยตรวจดูเขาอย่างใกล้ชิดแล้วขอให้เยว่รู่พาเขาไปนอน

แม้ว่าเด็กจะถูกนำกลับมา แต่คนที่รับผิดชอบในอาหารทุกวันและวัตถุดิบของคฤหาสน์ทั้งหลังยังเป็นนางอัน แม้ว่าซูหลุนจะสั่งให้นางมอบอาหารให้เพียงพอต่อการเลี้ยงเด็กน้อยก็ตาม นางอันยังสามารถทำภารกิจให้สำเร็จเนโครกการไร้สาระได้

สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการมีเงินให้เพียงพอ มิฉะนั้นจะไม่มีอะไรง่ายสำหรับพวกเขา

“มันดูเหมือนว่าเราต้องหาช่องทางทำเงิน”

อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้หญิงค่อนข้างรุนแรงในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่รัฐ หากนางไม่สามารถมีอิสระเพียงพอในการกระทำของนาง อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ที่นางจะก้าวต่อไป

“เยว่รู่ เจ้าดูแลบ้านให้ดี ล็อคประตูทางเข้าและอย่าให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะกลับมา”

หลังจากเหตุการณ์นั้นในลานลำธารดอกไม้ไหลริน นางรู้สึกกล้าๆกลัวๆ และนางก็ไม่ได้ถามว่าซูมู่เกอกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด “คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครเล็ดรอดเข้ามาแม้แต่คนเดียว”

ซูมู่เกอยิ้ม “เยี่ยมมาก ข้าวางใจในตัวเจ้าได้”

ซูมู่เกอสวมผ้าคลุมหน้าและกำลังเดินไปที่ห้องทำงานของซูหลุน นางวิ่งเข้าไปหาซูหลุนที่ทางเดิน เขาเพิ่งออกจากลานลำธารดอกไม้ไหลริน

เมื่อเห็นซูมู่เกอคลุมผ้ามา เส้นเลือดดำขึ้นเป็นเส้นนูนเด่นหราบนหน้าผากของซูหลุน

“กล้าดียังไงถึงเสนอหน้าของเจ้ามาให้ข้าเห็น!”

ซูมู่เกอมองไปที่เขาหลับผ้าคลุมหน้าด้วยความเย็นชา

“ท่านพ่อ ข้ามาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งกับท่าน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหลุนก็รู้สึกตีบตันกับคำพูดที่เขาไม่มีเวลาพูดถึง เขาจ้องนางเขม็ง ตะคอกอย่างหนักและหันหน้าไปที่ห้องทำงานของเขา

“เจ้า! ตามมา!”

ทัศนคติดังกล่าวไม่ได้รบกวนซูมู่เกอเลย นางเดินตามเขาเข้าไป

ซูหลุนนั่งบนเก้าอี้ทันทีที่เขาเขาเข้ามาในห้องทำงาน สายตาของเขาจ้องไปที่ซูมู่เกอ “พูดมา”

ซูมู่เกอหาเก้าอี้และนั่งลงเช่นกัน นิ่งสงบ ซูหลุนเห็นเช่นนั้นก็เม้มปากด้วยความเก็บความโกรธ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ซูมู่เกอก้มหน้ามองด้วยรอยยิ้มประชด จ้องมองไปยังซูหลุน นางสันนิษฐานว่าเขารู้ว่าเกิดเหตุการที่บ้านของนางอัน นางสร้างความวุ่นวายในบ้านของนางอันและไม่แปลกใจเลยที่นางอันจะฟ้องซูหลุนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คราวนี้ซูหลุนระงับความโกรธและไม่ทำอันใดเลย บางทีเขากำลังคำนวณมูลค่าของตัวหมากรุกของเขา ซูมู่เกอ

“ท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าที่รู้แล้วที่ข้าพาน้องชายของข้ากลับไปที่ลานดอกท้อบาน”

ซูหลุนสูดจมูกหนักๆ “เจ้าบังอาจมาก!”

“มันเป็นความผิดของข้าเองที่เมื่อก่อนข้าตัดสินใจเช่นนั้น นายหญิงอันต้องจัดการคฤหาสน์ซูทั้งหมดซึ่งมีขนาดมหิมา และให้อบรมให้ความรู้แก่ลูกสาวของนางด้วย มันเป็นความที่ข้าต้องคิดถึงคนอื่นบ้างข้าละอายที่จะฝากน้องชายไว้ให้นางดูแต่ต่อ”

“มันเป็นเรื่องดีที่ตอนนี้เจ้ารู้ตัว!”

“ด้วยเหตุนั้นข้าจึงตัดสินใจพาน้องชายของข้ากลับไปดูแลที่ลานดอกท้อบาน ข้าได้ยินมาว่าน้องสาวของข้าจะไปรับสาวใช้เพิ่มอีกหลายคนในอีกสองวัน ข้าสงสัยว่าในวันนั้นข้าจะไปรับผู้ช่วยได้หรือไม่?“

ซูหลุนขมวดคิ้วกับคำพูดเหล่านั้น แต่เขาโกรธน้อยลงเมื่อเห็นสภาพชุดเก่าเสื่อมสภาพบนตัวนาง

“ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าคือคุณหนูแห่งตระกูลซูของเราและต้องได้รับการดูแลจากใครสักคน เลือกสาวใช้ให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ส่วนน้องชายของเจ้า เจ้าสามารถเลี้ยงเขาได้ในลานดอกท้อบาน แต่นำคนที่คอยดูแลเขาไปด้วย”

คำพูดเห่านั้นเป็นที่ไม่คาดคิด ซูมู่เกอรู้สึกประหลาดใจ

มันคงไม่ใช่สำหรับนางที่จู่ๆซูหลุนกลายเป็นคนมีเมตตา

“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”

ซูหลุนกระแอมเบาๆ

“เจ้าพบกับนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งได้อย่างไร? ข้าได้รับคำบอกกล่าวว่าเจ้าช่วยชีวิตนาง มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่? เจ้าเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เหล่านั้นเมื่อใด ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย?”

ซูมู่เกอเข้าใจดีก็ตอนนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ความคิดของพ่อนางเปลี่ยนไปนันเป็นเพราะตระกูลเมิ่ง

“ข้าไปเยี่ยมท่านยายและกำลังเดินทางกลับมาที่คฤหาสน์ของเรา จากนั้นข้าก็พบคนกลุ่มหนึ่งพร้อมกับนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งในเมืองที่ติดกับหมู่บ้านจ้าว ตอนนั้นแม่เฒ่าเมิ่งอาการกำเริบและข้าก็รักษานางด้วยสิ่งที่ข้าได้อ่านจากตำราทางการแพทย์ในเวลาว่าง”

ซูหลุนมองไปที่ซูมู่เกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยควมสงสัย เขาเคยทำงานด้านนี้แต่ออกจากตำแหน่งราชการนั้นมาหลายปีแล้ว และเขาไม่เคยเชื่อเลยว่ามีหนังสือทางการแพทย์เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นที่คนทั่วไปใช้อ่านแล้วสามารถช่วยผู้ป่วยให้พ้นจากความตายได้!

“เจ้าอ่านหนังสือทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่? หนังสือพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

ซูมู่เกอไม่ได้ตื่นตระหนกแม้จะเจอกับสายตาอันเฉียบคมของซูหลุนที่จ้องมองนาง นางตระหนักดีว่าใครก็ตามที่มีสติปัญญาปกติจะไม่เชื่อในคำพูดเหล่านั้น แต่แล้วยังไงเล่า?

“ถ้าท่านพ่ออยากเห็นข้าจะกลับไปหาหนังสือพวกนั้นและนำมันมาให้ท่านเจ้าค่ะ”

ซูหลุนโบกมือปฏิเสธและแสดงความไม่สนใจ “เจ้าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่เฒ่าเมิ่งได้หรือไม่?”

ซูมู่เกอยืนตัวตรงและส่ายหน้า “ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าทำไม่ได้”

“ทำไมเจ้าทำไม่ได้?!”

“นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมีอาการป่วยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เจ้าค่ะ แต่ควบคุมได้เท่านั้น” อายุเท่าหญิงชราเมิ่ง นางมีทั้งความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นได้ จะรักษาให้หายได้ง่ายๆได้อย่างไร?

หน้าของซูหลุนแข็งกระด้างขึ้นเมื่อซูมู่เกอพูดจบ

“แต่…..”

“แต่อันใด?”

“ถ้านายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งดูแลตัวเองอย่างที่ข้าแนะนำ มันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักยี่สิบปี”

ในปีนี้หญิงชราเมิ่งน่าจะอายุประมาณห้าสิบปีและนั่นถือได้ว่ามีอายุยืนยาวมากในสมัยโบราณนี้ ถ้านางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสักยี่สิบปี นั่นจะเท่ากับว่านางอายุยืนยาวอย่างแท้จริง

“เจ้าแน่ใจ?”

“แปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่ใจเจ้าค่ะ”

“เยี่ยมมาก แล้วข้าจะพาเจ้าไปที่คฤหาสน์เมิ่งเพื่อแสดงความขอบคุณ ตอนนี้เจ้ากลับไปได้”

ซูมู่เกอรู้สึกพอใจเมื่อนางก้าวได้อีกก้าว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป นางเพียงแค่ต้องก้าวให้ทันและก้าวหน้าทีละเล็กทีละน้อย

นางแปลกใจที่นางอันไม่ได้ส่งใครมาทำให้ตัวนางและแม่เดือดร้อนตลอดทั้งคืน มันค่อนข้างสงบ บางทีอาจเป็นซูหลุนที่ระงับเรื่องนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น สาวใช้ในชุดกระโปรงยาวสีพีชมาที่ประตูลานดอกท้อบานฉ่ำพร้อมถาดในมือ

หลังจากนั้นไม่นาน เยว่รู่ก็ดึงผ้าม่านออกและเข้าไปในห้อง

“คุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านส่งบางอย่างมาให้ท่าน”

ซูมู่เกอเล่นกับเหวินม่อต้วน้อยอยู่ขณะที่ก้มหัวอยู่นางก็พูด “ปล่อยนางเข้ามา”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้เข้ามาในขณะที่ม่านถูกเปิดออก

“คุณหนูใหญ่ สิ่งของเหล่านี้นายท่านให้นำมาให้เจ้าค่ะ และให้แจ้งคุณหนูว่าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งในภายหลังเจ้าค่ะ”

ซูมู่เกอเหลือบมองไปที่ถาด มีชุดกระโปรงยาวสีเหมือนสายน้ำไหลกับผ้าพลิ้ว นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับบางอย่าง

“อืม ข้ารู้แล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลาเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”

หลังจากสาวใช้จากไป เยว่รู่มองไปที่เสื้อผ้าและเครื่องประดับด้วยความยินดีติดบนใบหน้าของนาง

“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เห็นไหมเจ้าค่ะ ชุดสวยมาก ข้าไม่เคยเห็นผ้าผืนไหนดีเท่านี้มาก่อน”

ซูมู่เกอเฝ้าดูด้วยเสียงหัวเราะเรียบๆของนางและเล่นกับมือเล็กๆของเหวินม่อตัวน้อยต่อ

“บอกแม่นมของนายน้องให้พานายน้อยไปที่ห้องท่านแม่ของข้า เมื่อข้าออกไป”

“เจ้าค่ะ”

เยว่รู่ช่วยซูมู่เกอแต่งตัว นางผอมจนชุดดูใหญ่เกินไป ทำให้ดูเหมือนไม้แขวนเสื้อ ถ้านางพูดถูกเสื้อผ้าชุดนี้ถูกตัดเย็มมาเพื่อซู่จิงเหวินเป็นแน่และตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากซูมูเกอต้องการเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับฐานะต่อการไปเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งของนาง

เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว เยว่รู่เอื้อมมือไปหาผ้าคลุมและกำลังจะสวมมันลงบนหัวของซูมู่เกอ แต่นางถูกหยุดไว้

“ไม่จำเป็น”

เยว่รู่ชะงักเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่…ท่านแน่ใจหรือเจ้าค่ะ?”

ซูมู่เกอมองไปที่ใบหน้าอันบอบบางของนางในกระจก ปานบนตาของนางค่อนข้างโดดเด่นในทางที่ไม่พึงประสงค์

“ไม่จำเป็นต้องปิด มันไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด”

ซูมู่เกอลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”

บทที่ 29 : เปิดเผย

“คุณหนู่ เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เยว่รู่กระโดดลงจากรถม้าก่อน แล้วช่วยซูมู่เกอลงมา

“ทำไมวันนี้เจ้าถึงไม่ใส่ผ้าคลุมหน้า?!”

เมื่อซูมู่เกอเงยหน้าขึ้น นางเห็นซูหลุนจ้องเขม็งที่นางห่างออกไปสามก้าว ซูหลุนไม่เห็นนางจนเมื่อถึงตอนนี้ เนื่องจากเขานั่งอยู่ในรถม้ามาก่อนที่ซูมู่เกอจะมาถึงประตูบ้านของพวกเขา

เมื่อวานนี้นางสวมผ้าคลุมหน้าและเขารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่ตอนนี้ไร้ซึ่งผ้าคลุม เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง มันชัดเจนเกินไปสำหรับผู้อื่นที่จะเห็นปานแดงเข้าอันน่าเกลียดของนางเมื่อมันอยู่ในที่แดดจ้าเช่นนี้!

“มานี่! ถอดผ้าคุลมเจ้าออกแล้วให้คุณหนูใหญ่ใส่มัน!”

ความเย็นชาและความสงบในดวงตาของซูมู่เกอไม่ได้อ่อนแอต่อความโกรธและความไม่ชอบหน้าของซูหลุน “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าไม่สวมผ้าคลุมหน้า”

“เจ้า เจ้า…..”

ยังพูดไม่จบเมื่อพ่อบ้านของตระกูลเมิ่งที่รออยู่ออกมาต้อนรับพวกเขาแล้ว

แม้จะตกใจเมื่อเห็นปานบนใบหน้าของซูมู่เกอ ไม่นานพ่อบ้าเมิ่งก็รวบรวมสติและเดินเข้าไปทักทายพวกเขาเหมือนไม่มีอะไร

“ขุนนางซู คุณหนูซู ข้าขอคารวะท่านทั้งสอง ท่านขุนนางและนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งรอท่านอยู่ในคฤหาสน์ขอรับ เมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับการมาของท่าน โปรดตามข้ามา”

ซูหลุนจ้องมองซูมู่เกอ “ขอบใจ”

ซูมู่เกอได้รับการบอกเล่าจากเยว่รู่ว่าบ้านเกิดของตระกูลเมิ่งคือเมืองชุนหยาง เมื่อหลายสิบปีก่อนท่านพ่อของขุนนางเมิ่งได้รับตำแหน่งในวังเป็นตำแหน่งสูงสุด ดังนั้น ทั้งตระกูลเมิ่งจึงย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง ท่านพ่อของขุนนางเมิ่งได้จากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บเมื่อหลายปีก่อน และสุขภาพของหญิงชราเมิ่งก็อยู่ในสภาพที่เปราะบางตั้งแต่นั้นมา เวลานี้ เมิ่งเฉิงเตอ ส่งนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งกลับมาที่เมืองชุนหยางเพื่อพักฟื้น

ตลอดทางมีสาวใช้เดินผ่านแล้วผ่านเล่า พวกเขาประหลาดใจกับใบหน้าของซูมู่เกอ แต่ก็ไม่กล้ามองนางอีกรอบ หลังจากเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เดินต่อไปและหลีกเลี่ยงการสบตาโดยการก้มนห้า

เมื่อพ่อบ้านรายงานว่าซูมู่เกอและพ่อของนางกำลังเข้ามาที่โถงเกียติยศ ร่างบอบบางก็ออกมาและมันคือรู่เหม่ยสาวใช้ประจำตัวของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งนั่นเอง

รู่เหม่ยเห็นซูมู่เกอซึ่งยืนอยู่ข้างๆซูหลุน ตั้งแต่แรกเจอนาง เมื่อพวกเขาอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองชุนหยาง ซูมู่เกอปิดตาของนางด้วยแผ่นปิดและจากนั้นใช้ผ้าคลุมหน้า เมื่อนางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นหญิง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่รู่เหม่ยได้เห็นใบหน้าอันแม้จริงของนาง บางทีปานก็ชัดเจนเกินไปจนไม่พึงประสงค์ รู่เหม่ยตะลึงค้างทันทีเมื่อเห็นมัน

แต่ในไม่ช้านางก็กลับมาเป็นปกติและพาทั้งสองเข้าไปในห้องโถง

“นางเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเมิ่งของเรา แน่นอน ในฐานะหลานชายของท่าน ข้าจะขอบคุณนางเป็นการส่วนตัว”

“ลูกท่าน…”

ขณะที่พวกเขาอยู่นอกประตูพวกเขาก็ได้ยินเสียงร่าเริงที่กำลังรายงานการมาถึงของซูหลุน เมื่อรู่เหม่ยเข้าไปพร้อมกับดึงม่าน เสียงนั้นก็หายไปในไม่ช้า

“ท่านขุนนางซู คุณหนูซู เชิญเจ้าค่ะ”

ซูมู่เกอติดตามซูหลุนเข้าไปในห้อง พวกเขาเข้ามาและได้เห็นผู้คนจำนวนมากในห้องโถงเกียติยศนี้

พวกเขาไร้เสียงหายใจออกเมื่อซูมู่เกอก้าวเข้ามาและนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

ซูมู่เกอยังคงสงบและทักทายหญิงชราเมิ่งในห้องโถงพร้อมกับซูหลุน

“ข้าน้อยขอคารวะท่าน นายหญิงเมิ่งเจ้าค่ะ”

เมื่อมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกอ หญิงชราเมิ่งก็ตัวแข็งเล็กน้อย แต่ในไม่ช้านางก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและขอให้ซูมู่เกอลุกขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป”

หญิงชราเมิ่งเป็นถึงองค์หญิงในอาณัติของจักรพรรดิ ซึ่งเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์สำหรับสุภาพสตรีที่มีตำแหน่งสูงสุดที่จักรพรรติกำหนดไว้ ดังนั้น จึงสมควรที่ซูหลุนจะทักทายนางด้วยความสุภาพที่สุด

“ข้าน้อยนำลูกสาวของข้าน้อยมาคารวะท่านที่นายหญิงเมิ่งได้ช่วยเมตตานางตลอดการเดินทางขอรับ”

“ข้าน้อยของขอบคุณนายหญิงเมิ่งมากเจ้าค่ะ” ซูมู่เกอโค้งคำนับพร้อมกล่าวขอบคุณนาง

“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หากไม่ใช่การรักษาของเจ้าอย่างทันเวลา ข้าอาจอยู่ในสภาพที่แย่กว่านี้ก็เป็นได้”

เมื่อหญิงชราเมิ่งพูดจบ ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่านางก็ลุกขึ้นยืน และโค้งคำนับต่อซูมู่เกอโดยใช้มือพับไว้ที่ด้านหน้า เขาอยู่ในชุดคลุมสีขาวอมฟ้าซีดพร้อมเข็มขัดประดับหยกรอบเอวของเขา

“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซู ข้าขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตท่านย่าของข้า”

ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น ใบหน้าของเขาเกิดมาพร้อมความอ่อนโยน ถึงแม้จะไม่ยิ้ม แต่ก็มีความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ราวกับว่าพวกเขากำลังบอกคำพูดต่อคนรักเป็นพัน ๆ คำ

อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอมองเพียงแวบเดียวก็สังเกตเห็นความเจ้าเล่ห์ฉายแววในดวงตาของเขา ปีศาจร้ายซ่อนตัวอยู่ใต้หนังแกะที่ไม่เป็นอันตรายอะไรเช่นนี้!

ซูมู่เกอหลับตาลงด้วยความสงบ นางหันหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยและไม่ยอมรับการโค้งคำนับของเขา

“ระวัง น่ากลัวว่าเจ้าจะอายุมากกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลซู” หญิงชราเมิ่งพูดทันเวลา

เมิ่งซิ่วเหวินยืนขึ้น มองไปที่นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง และพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านย่า หลานชายของท่านไม่ใช่สัตว์ร้ายแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลซูจะกลับข้าได้เยี่ยงไร?”

“ปากข้าเงอะงะอะไรกัน! เจ้าชนะ พ่อของเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่ในห้องหนังสือมิใช่รึ ทำไมไม่พาขุนนางซูได้ด้วยเล่า เขาจะได้เล่นหมากรุกกับพ่อของเจ้า?”

เมิ่งซิ่วเหวินมองไปที่ซูมู่เกอที่ยังคงมองลงมาและพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “ขอรับ”

หลังจากที่ซูหลุนจากไปพร้อมกับเม่งซิ่วเหวิน รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราก็คลายลงเล็กน้อย นางขอให้ซูมู่เกอนั่งลง

ซูมู่เกอทำตามอย่างเชื่อฟัง “นายหญิงท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”

“เมื่อคืนข้ากินยาตามสูตรของเจ้า และนอนหลับสบาย”

“ทำตามสูตรเป็นเวลาหนึ่งเดือนนะเจ้าค่ะ จากนั้นท่านอาจพักยากได้แล้วดูแลเรื่องอาหารที่ท่านกินเป็นพิเศษ”

“คุณหนูใหญ่ซู ท่านหมายความว่าท่านย่าไม่ต้องกินยาขมอีกต่อไปเหรอ?”

ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุสิบสองหรือสิบสามผมหน้าม้าสวมชุดสีเหลืองอ่อนซึ่งทำจากผ้าสี่ชิ้น

“นี่คือหลานสาวคนที่สามของข้า เมิ่งเถียนเถียน นางเป็นคนที่ดื้อที่สุด”

โดยไม่อายต่อความคิดเห็นดังกล่าวเลย เมิ่งเถียนเถียน บีบจมูกของนางอย่างน่ารัก

“หมอหลวงของจักรวรรดิบอกว่าท่านย่าต้องกินยาไปตลอดชีวิตเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง แต่ตอนนี้เจ้ากำลังบอกว่าแค่เดือนเดียวก็เพียงพอแล้ว เจ้าเก่งกว่าหมอหลวงของจักรพรรดิรึ?”

หญิงสาวในชุดสีฟ้าผมหน้าม้านั่งอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าเมิ่งเถียนเถียนถาม นางไม่ได้ปกปิดคำพูดถากถางหรือการเหยียดหยามบนใบหน้าของนาง

นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง นั่งข้างๆนางขมวดคิ้วและมองนางด้วยความไม่พอใจ

“ซูซู เจ้ากำลังพูดอะไร!”

เมิ่งซูซูส่งเสียงหึออกมา เห็นได้ชัดว่านางไม่กลัวนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง “ท่านแม่ ข้าพูดอันใดไม่ถูกต้องรึ ท่านย่านางอายุเท่าข้า แล้วนางจะมีทักษะทางการแพทย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ได้อย่างไร!? ข้าพนันได้เลยว่านางโกหก!”

ใบหน้าของหญิงชาเมิ่งมืดลงในทันที

“ซูซู หุบปาก!” นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งดุนาง

ซูมู่เกอไม่ได้ตื่นตระหนก นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อมองสาวน้อยคนนี้ที่เป็นศัตรูกับนาง นางเชื่อในความทรงจำของนาง มีผู้หญิงคนหนึ่งในคฤหาสน์เมิ่งที่น้องสาวของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย แล้วมันต้องเป็นคนนี้แน่

มันถูกต้องที่จะมาออกหน้าแทนเมื่อเพื่อนอยู่ในปัญหา อย่างไรก็ตาม ควรเลือกเวลาและคนอย่างรอบคอบ ถ้าไม่เช่นนั้น ความผิดพลาดที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้นได้

“ข้าพนันได้ว่าเจ้าไม่รู้สึกดี เมื่อรอบเดือนมาทุกครั้ง”

มันเป็นเรื่องไม่ปกติและไม่คาดคิดที่จะมีคนนำหัวข้อเช่นนี้มาเปิดเผยในที่สาธารณะ ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นความลับเล็กๆน้อยๆของเด็กสาวซึ่งอาจทำให้คนอื่นขุ่นเคือง

แม้แต่หญิงชราเมิ่งก็ดูไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับคิ้วขมวดเมื่อนางหันไปหาซูมู่เกอ

“ซูซู มานี่ ขออภัยคุณหนูใหญ่ซูซะ!”

“นายหญิง มันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจข้อสงสัยของคุณหนูสอง แต่สิ่งที่ข้าพูดไปตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ร่างกายของคุณหนูสองเป็นธาตุเย็นซึ่งหมายความว่านางแทบจะไม่มีเหงื่อออกเลย แม้ในช่วงที่ร้อนที่สุดสามช่วงในช่วงฤดูร้อนและแม้ว่านางจะมีเหงื่อออก จะเป็นเหงื่อเย็น ซึ่งบ่งบอกถึงอาการป่วยจากความเย็นของร่างกาย”

ซูมู่เกอมองไปที่เมิ่งซูซู สงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว “เป็นความจริงหรือไม่ที่คุณหนูสองไม่กล้าดื่มน้ำเย็นแม้แต่นิดเดียวในแต่ละวัน? และเจ้าเคยท้องเสียอย่างต่อเนื่องเมื่อทานอาหารประเภทเย็น ใช่หรือไม่? และเจ้ามีอาการปวดหัวและรู้สึกหายใจลำบากเมื่ออยู่ในช่วงมีประจำเดือนถูกหรือไม่?

เมิ่งซูซูไม่สามารถโต้เถียงคำพูดเหล่านั้นได้อีกต่อไปและใบหน้าของนางก็ซีดเผือดเมื่อได้นางได้ยินคำพูดของซูมู่เกอ

หน้าตาของนายหญิงใหญ่ตระกูลเมิ่งเปลี่ยนไปเช่นกัน นางมีลูกเพียงสองคนกับนายท่านคนโตแห่งคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เมิ่งซิ่วเหวินลูกชายของนาง เมิ่งซูซู ลูกสาวของนาง

เมิ่งซูซูมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่อสองหรือสามปีที่แล้วปละนางได้รับทุกข์ทรมานจากมันตลอดมา มันเหมือนกับว่านางป่วยหนักทุกครั้ง นายหญิงเมิ่งพาลูกสาวไปพบแพทย์หลายท่าน แต่ก็ไม่ได้ผล นางกังวลเพราะผู้หญิงที่มีลูกจะรู้ว่าการตั้งครรภ์ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้อาจเป็นเรื่องยากมาก

หญิงชราเมิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่เหมาะสมบางอย่าง นางไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีและนับประสาอะไรกับหลานสาวของนาง

ซูมู่เกอก้มหัวลงจิบชาจากถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะตรงหน้านางและไม่พูดอันใดอีก

“มองดูข้าสิ ตอบช้ามาก ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ซูมาที่คฤหาสน์ของเรา ข้าจะให้เจ้าพานางไปเดินเล่นในสวนของเรา ข้าได้นำดอกไม้และพืชอื่นๆ กลับมาด้วย พวกเด็กสาวชอบพวกมันมาก ให้เถียนเถียนพาไปเดินเล่นในคฤหาสน์ดีกว่า” นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งมองไปที่เมิ่งเถียนเถียนซึ่งนั่งอยู่ในขณะนี้ เมิ่งเถียนเถียนเป็นลูกสาวคนที่สามของเมิ่งเฉิงเต๋อที่มีกับนางสนม นางอ่อนโยนและรู้ศิลปะในการสนทนา ดังนั้นมันจึงเป็นชีวิตที่ไม่ยากเกินไปสำหนับนางในคฤหาสน์เมิ่ง

หญิงชราเมิ่งยิ้มและพยักหน้า “ไปเถอะ เดินดูให้รอบๆ นะ ดูแลคุณหนูใหญ่ซูให้ดีที่สุด”

“เจ้าค่ะ”

เมิ่งเถียนเถียนก้าวไปข้างหน้าและจับมือซูมู่เกอ “พี่ซู ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

แม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก เมิ่งซูซูก็ลุกขึ้นยืนด้วยสายตาบังคับแข็งกร้าวจากนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง มีเด็กสาวตามมาอีกสองสามคนและซูมู่เกอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการรบกวน

ขนาดของคฤหาสน์เมิ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ซูมาก มีศาลาริมน้ำในสวน ฤดูกาลของดอกบัวหมดไปแล้ว แต่ดอกบัวประดับทะเลสาบยังสวยงามมาก

“พี่ซู ท่านเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากอาจารย์หรือเจ้าค่ะ?” เมิ่งเถียนเถียนมีคำถามมากมายสำหรับนาง

ซู่มู่เกออดทนมากพอที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ และนางเลือกคำถามที่ไม่มีความสำคัญมาตอบ

“ข้าเหนื่อยมาก ข้าต้องไปพักผ่อนแล้ว” เมิ่งซูซูรู้สึกหงุดหงิดเมื่อนางนึกถึงสิ่งที่ซูมู่เกอพูดในห้องโถง นางใช้ช่วงเวลามีรอบเดือนมาพูด และการนำเรื่องส่วนตัวมากมาเปิดเผยในที่สาธารณะ จึงไม่มีใครมีความสุขได้

ซูมู่เกอเหลือบมองนางด้วยความเฉยเมย

“โอ้ย!”

ทันใดนั้นเมิ่งเถียนเถียนสะดุดก้อนหินและเกือบจะล้มลง

แต่ถูกซูมู่เกอจับตัวไว้อย่างรวดเร็ว นางยังคงข้อเท้าแพลง

“อืออ มันเจ็บ” เมิ่งเถียนเถียนคิ้วขมวดและนางเกือบร้องไห้ออกมา

“ให้ข้าดูสักนิด” ซูมู่เกอย่อตัวลงและกำลังจะตรวจดูเท้าของเมิ่งเถียนเถียน สาวใช้จับเมิ่งเถียนเถียนไว้ข้างตัวและดึงนางออกไป

“มันรบกวนท่านมากเกินไป คุณหนูซู เราจะเอาคุณหนูสามกลับเอง คุณหนู โปรดไปที่ศาลาริมน้ำเพื่อพักผ่อนเจ้าค่ะ”

เมิ่งเถียนเถียนมองไปที่ซูมู่เกอพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “พี่ซู ข้าสบายดี”

ซูมู่เกอพยักหน้า “แน่ใจ ตามสบายเจ้าค่ะ”

สาวใช้หลายคนช่วยเมิ่งเถียนเถียนออกไป

เมื่อเห็นเมิ่งซูซูและคนอื่นๆ นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ ซูมู่เกอหันหลังเดินไปนั่งบนม้านั่งหินในสวนแทน

“คุณหนูซู ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียว?”

ร่างเพรียวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ช้าๆ