หลังจากที่เอลริสเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมันฝรั่งให้กับชาวบ้าน มันก็ได้แพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง
ในยุคก่อนๆ ไม่มีผู้ใดที่รู้ว่ามันฝรั่งสามารถเป็นอาหารได้เลยแม้แต่คนเดียว
กระทั่งชื่อ “มันฝรั่ง” ก็เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากเอลริส ก่อนหน้านี้พืชชนิดนี้จะใช้ชื่ออื่นอยู่
เพราะว่ามีดอกสีขาวที่สวยงามจึงถูกนำมาใช้เป็นไม้ประดับ ไม่มีใครให้ความสนใจรากที่ดูใหญ่อย่างประหลาดของมัน
เหตุผลนั้นมีอยู่หลายอย่าง—ตั้งแต่แรกแล้วมันฝรั่งไม่ใช่พืชที่สามารถหาได้โดยง่าย มันเติบโตอยู่ในภูเขาทางทิศใต้ที่อยู่ห่างไกล มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไปทางนั้น
อัศวินคนแรกที่ไปพบเจอมันเข้านั้นนำมันกลับมายังทวีปนี้ด้วย แต่อัศวินคนนั้นก็เสียชีวิตลงด้วยโรคปริศนาก่อนที่จะบอกข้อมูลใดๆให้คนอื่นฟัง
ดอกที่สวยงามของมันกระตุ้นให้พวกชาวสวนพยายามจะปลูกมันขึ้นมา แต่ชาวสวนเหล่านั้นคงจะทำเรื่องที่ผิดพลาดไปโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้มันฝรั่งส่วนใหญ่ติดโรคจนตายไปก่อนที่จะได้เก็บเกี่ยว ซ้ำร้ายดินที่ใช้ปลูกนั้นก็ติดโรคไปเผยแพร่ในครั้งจะปลูกใหม่อีก พวกชาวไร่ชาวสวนจึงพากันยอมแพ้เพราะคิดว่าพืชชนิดนี้ปลูกยากเกินไป
ไม้ประดับนั้นไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับพวกชนชั้นล่างอยู่แล้ว คนที่จะซื้อมันไปก็คงมีแต่พวกขุนนาง—และขุนนางนั้นก็ไม่ได้จำเป็นต้องทำถึงขนาดลองกินไม้ดอกที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
ก็ใช่ว่าเป็นขุนนางแล้วจะอยู่สุขสบายซะทีเดียว สภาวะขาดแคลนอาหารในยุคนั้นถึงจุดที่กระทั่งขุนนางบางที่เองก็ไม่มีจะกิน แต่ขุนนางพวกนั้นก็ไม่มีเงินพอจะเอามาซื้อไม้ดอกตกแต่งเช่นกัน ทำให้ไม่มีโอกาสได้ค้นพบมันฝรั่ง
ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครในโลกเลยที่เคยพยายามจะกินมันฝรั่งมาก่อน แต่คนพวกนี้ก็โชคไม่ดี กินโดนอันที่ติดพิษบ้าง อันที่ยังไม่พร้อมบ้าง หรืออันที่เน่าไปแล้วบ้าง
ไม่มีใครเคยสอนให้พวกเขารอจนพร้อมเก็บเกี่ยว สอนให้เอาผลผลิตหลบแดด สอนให้ดูว่าอาการแบบไหนที่เป็นสัญญาณว่ามันมีพิษ ถ้ามีคนเรามีความรู้ล่ะก็ จะทำอะไรมันก็ง่าย ถ้าไม่มี จะทำอะไรมันก็ยาก
มีไม่กี่คนในโลกที่เคยลองกินมันฝรั่ง—และพวกคนที่เคยลองก็ไม่ได้ความทรงจำดีๆติดตัวกลับมาด้วย ทำให้นำมาสู่ความคิดที่ว่า “นี่เป็นไม้ดอกที่สวยงาม แต่กินไม่ได้” ถ้าอย่างน้อยมีใครซักคนที่ลองกินมันฝรั่งเข้าไปแล้วไม่อาเจียนออกมาหรือตาย ประวัติศาสตร์ในโลกนี้อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
ถ้ามีใครที่คิดว่า”เจ้านี่มันกินได้”สักคนล่ะก็ มันก็จะต้องมีใครสักคนที่ลองปลูกจนมันสำเร็จเอง ถึงมีโอกาสโดนพิษก็ช่าง ยังดีกว่าหิวตายก็แล้วกัน อาจจะล้มเหลมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สาุดท้ายก็จะสามารถเฟ้นหาวิธีที่จะสามารถปรุงมันฝรั่งออกมาได้ในที่สุด
น่าเสียดายที่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น เพราะว่าที่ไหนก็เหมือนกัน–สังคมก็แค่รอให้อัจฉริยะสักคนเป็นผู้บุกเบิก ถ้าไม่ ผู้คนก็จะติดอยู่ในแนวคิดแบบเดิมไปจนกัลปาวสาน
ต้องขอบคุณเอลริสที่ทำให้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมันฝรั่งหายไป
เธอไม่เคยรู้ตัวด้วยซ้ำว่าดอกมันฝรั่งที่ถูกนำมาที่ห้องของเธอน่ะมันกลายเป็นพิษจากโรค เพราะว่าเธอไปเอามันชุดใหม่มาจากภูเขาโดยตรงแล้วเอามาปลูกด้วยวิธีที่ถูกต้อง
เธอทำให้พืชที่ยอดเยี่ยมนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วทวีป…ช่วยชีวิตผู้คนมากมายไว้นับไม่ถ้วน
.
เจ็ดปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์นั้น เหล่านักเรียนของสถาบันเวทมนตร์กำลังรับประทานมันฝรั่งจานใหญ่อย่างมีความสุข
มันฝรั่งกลายเป็นพืชที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุดในทวีปนี้ ไม่ว่าใครก็รักมัน จะสามัญชนหรือขุนนางก็ไม่ต่าง
ในโรงอาหารนี้มีนักเรียนอยู่สองคนที่กินจุกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือเวอร์เนลและจอห์น
คนหนึ่งเป็นอดีตขุนนางบ้านนอกที่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลตั้งแต่เด็ก อีกคนเป็นอดีตทหารเกณฑ์จากครอบครัวสามัญชนทั่วไป ทั้งสองคนนี้รู้ดีว่าการอดอาหารนั้นเป็นอย่างไร และการที่สามารถกินอาหารได้อย่างอิ่มหนำในทุกๆวันนั้นเป็นสิ่งที่น่าขอบคุณอย่างยิ่ง
“รู้ไรมั้ย? สิ่งที่เจ๋งที่สุดเกี่ยวกับสถาบันนี้ก็คืออาหารนี่แหละ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในวันหนึ่งเราจะสามารถกินได้มากขนาดนี้ พวกชนชั้นสูงนี่ใจกว้างจริงๆ” จอห์นพูดทั้งที่อาหารเต็มปาก
ถึงแม้ทั้งจอห์นและเวอร์เนลจะเป็นสามัญชนทั้งคู่ในเวลาปัจจุบัน แต่อดีตของทั้งสองนั้นต่างกันมาก จนถึงเมื่อสามปีก่อน–ตอนที่เขาอายุสิบสี่ปี–เขายังเป็นบุตรของบ้านตระกูลขุนนาง และเพราะว่าเอลริสทำการเผยแพร่มันฝรั่งตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน เวอร์เนลจึงไม่ต้องเจอกับการอดอาหารจนกระทั่งเขาโดนไล่ออกจากบ้าน
แต่จอห์นยังจำช่วงเวลาอดอยากที่คนยากจนทุกคนต้องเจอได้ในช่วงที่เขายังเด็ก ในช่วงฤดูหนาว เขาและทุกคนในครอบครัวจะต้องมานั่งเบียดกันหน้ากองไฟ แทะรากไม้เพื่อข่มความหิวและพยายามข่มตาให้หลับ
จะต้องมีใครสักคนที่ไม่รอดพ้นช่วงฤดูหนาว สามัญชนทุกที่ล้วนกลายเป็นเนื้อติดกระดูกกันถ้วนหน้า จอห์นไม่มีวันลืมสีหน้าของพี่ชายที่ตื่นมาแล้วพบมว่าลูกทารกของตัวเองได้แข็งตายไปแล้ว เด็กคนนั้นลืมตามาดูโลกได้ไม่เกินวันด้วยซ้ำ หรือตอนที่เพื่อนของเขาเองเสียชีวิตจากการอดอาหารทั้งที่ยังคุยกันดีๆอยู่เลยเมื่อวันก่อน
ไม่มีคำพูดใดที่จะบรรยายความรู้สึกขอบคุณที่เขามีต่อการเผยแพร่มันฝรั่งได้
เขายังจำความตื้นตันในวันที่ตัวเองได้กินจนอิ่มท้องเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาขอบคุณเซนต์ในทุกๆคำที่เขากัดลงไปยังมันฝรั่งพร้อมน้ำตาที่ไหลนองหน้า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนในหมู่บ้านเองก็เหมือนกัน
วินาทีนั้นเองที่เขาตัดสินใจที่จะสมัครเข้าเกณฑ์ทหาร
เขาต้องการเงินมากพอที่จะหาเลี้ยงและตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเขาและเหล่าพี่น้องมา แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องการที่จะปกป้องเซนต์—ผู้มอบทุกสิ่งทุกอย่างนี้ให้กับเขา
นั่นเป็นปณิธานแรกของเขา
“ผิดไปหน่อยนะจอห์นคุง ถึงแม้สถาบันแห่งนี้จะมีนักเรียนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงก็เถอะ แต่จริงๆแล้วที่นี่ก็ไม่สามารถแจกจ่ายอาหารให้นักเรียนทุกคนได้มากขนาดนี้จนถึงเมื่อเจ็ดปีก่อน” เสียงปริศนาดังมาจากใต้โต๊ะ
จอห์นและเวอร์เนลจตกใจเกือบทำส้อมตกพื้น ทั้งสองคนก้มลงดูใต้โต๊ะ พยายามคิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน และจึงค้นพบอาจารย์ของตัวเอง ซัปเปิ้ล เมนต์ นอนหมอบกระแตอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น
คนคนนี้ทำบ้าอะไรอยู่น่ะ?
“เอิ่ม…ซัปเปิ้ลเซนเซย์? ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็อย่างที่เห็น กระผมกำลังทำการวิจัยอยู่ ดูเหมือนว่าท่านเอลริสจะนั่งอยู่ในบริเวณนี้ทุกครั้งที่เธอมาเยือนโรงอาหาร กระผมคาดการณ์ว่าท่วงท่านี้จะทำให้กระผมมีโอการถูกเดินเหยียบโดยท่านเซนต์ผู้ยิ่งใหญ๋ของผองเรามากที่สุด”
ไอ้โรคจิตนี่มันอะไรเนี่ย?! ทั้งเวอร์เนลและจอห์นกรีดร้องในใจ
สถาบันแห่งนี้มีไว้ฟูมฟักอัศวินที่จะมาปกป้องเซนต์ไม่ใช่เหรอ ทำอีท่าไหนไอ้ตัวที่อันตรายที่สุดสำหรับเซนต์ถึงมาเป็นอาจารย์ที่นี่ได้เนี่ย?! ถ้าเพื่อการันตีความปลอดภัยของเซนต์แล้ว รีบเตะเจ้านี่ออกจากสถาบันไปโดยเร็วน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“กระผมจะอธิบายให้ฟัง” ซัปเปิ้ลพูดอีกรอบในขณะที่ยังนอนหน้าแปะพื้นอยู่ “จนถึงเมื่อเจ็ดปีก่อน ต่อให้เป็นขุนนางก็ยังลำบากที่จะหาอาหารมาเลี้ยงปากท้องบุตรหลานของตัวเอง พวกเธออาจจะไม่รู้ แต่กระทั่งขุนนางก็ยังต้องผจญกับสภาวะขาดแคลนอาหารเช่นกัน—สถานการณ์มันบีบบังคับถึงขนาดนั้นเลยล่ะ”
ขุนนางเก็บผลผลิตจากสามัญชนเป็นภาษี แต่ถ้าเหล่าสามัญชนแทบไม่มีผลผลิตอะไรจะส่งให้อยู่แล้ว ทำให้ตระกูลขุนนางบางแห่งไม่มีอาหารจะเลี้ยงตัวเองเช่นกัน
สำหรับสามัญชนแล้ว การส่งอาหารที่มีเหลืออยู่น้อยนิดอยู่แล้วไปเป็นภาษีก็เหมือนกับฆ่าตัวตาย พวกเขาเลือกที่จะซ่อนอาหารไว้ดีกว่ายอมจ่ายภาษี ในสถานะหมาจนตรอกแบบนั้น จะให้มากังวลว่าจะถูกขุนนางลงโทษอะไรก็ใช่ที่
ผู้คนฆ่าฟันกันเพื่อแก่งแย่งอาหาร พวกเขาไม่กลัวที่จะสู้กับเพื่อนบ้านของตัวเอง หรือกระทั่งขุนนางผู้ครองที่ดิน พวกเขาก็จะรวมตัวกันเพื่อบุกปล้นคลังเสบียง
สถานการณ์มันบีบคั้นถึงขนาดนั้น ผู้คนไม่สามารถรวมใจกันเพื่อสู้กับเหล่าปีศาจได้ เพราะว่ายุ่งกับการสู้กันเองอยู่
“เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว การมาถึงของมันฝรั่งนั้นไม่ใช่เพียงนำความอิ่มท้องมาสู่ผู้คน—มันยังนำความสงบสุขมาด้วย เพราะว่าไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งกันเพื่อเอาชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว ประชาชมจึงสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อีกครั้งหนึ่ง จิตใจของมนุษยชาติรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อกันกับศัตรูเพียงหนึ่งเดียว” ซัปเปิ้ลอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สงบ ในขณะเดียวกันก็ตรวจเช็กขาของนักเรียนทุกคนที่เข้ามาในโรงอาหาร
เขาไม่สนใจในต้นขาของนักเรียนหญิงหรอก แต่เขาจะพลาดโอกาสที่เอลริสจะเดินเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด สายตาของเขาจับจ้องประตูโรงอาหารไว้ไม่ปล่อย ดูเหมือนว่าซัปเปิ้ลจะสามารถจดจำเอลริสได้เพียงมองแค่ขาเท่านั้น
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมท่านเอลริสจึงถูกยกย่องให้เป็นเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่าเข้าใจผิดไป ถึงแม้จะเทียบกับท่านเอลริสไม่ได้ แต่เซนต์ทั้งหลายในอดีตและเหล่าอัศวินก็กำจัดปีศาจไปไม่น้อยเลย แต่ถึงจะฆ่าพวกสัตว์ประหลาดไปเท่าไร ก็ไม่ช่วยเติมเต็มท้องที่หิวโหยของเด็กๆได้–ถ้าสุดท้ายก็ยังไม่มีอะไรจะกิน แบบนั้นถูกปีศาจฆ่าตายกับอดอาหารตายจะไปต่างอะไรกัน”
จอห์นเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
กำจัดปีศาจสามารถปกป้องชาวบ้านได้ก็จริง แต่ถ้าในท้ายที่สุดชาวบ้านเหล่านั้นก็ยังต้องตายจากภาวะขาดแคลนอาหารอยู่ดี แล้วจะเสียเวลามาปกป้องไว้ทำไม?
“กระผมไม่ได้พยายามที่จะดูหมิ่นผลงานของเหล่าเซนต์ผู้กล้าหาญในอดีตทั้งหลายที่คอยขจัดปัดเป่าพวกปีศาจ แต่นั่นน่ะเป็นหน้าที่ของเซนต์ทุกท่านใช่ไหมล่ะ? เซนต์ที่ทำเรื่องแบบนั้นได้น่ะมีอยู่มากมายในประวัติศาสตร์ แต่ท่านเอลริสน่ะต่างออกไป สิ่งที่เธอทำไว้เพื่อช่วยมนุษยชาติน่ะมากกว่าเซนต์คนอื่นๆในอดีตอย่างทาบไม่ติดเลย เธอเป็นคนเดียวที่นำรอยยิ้มกลับมาสู่เหล่าเด็กๆที่หิวโหย เพราะแบบนี้เธอจึงเป็นที่รักยิ่งของทุกผู้ทุกคน พวกเธออาจจะไม่รู้ก็ได้นะ แต่ว่าพวกชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้จักชื่อของเซนต์กันหรอก ท่านเอลริสเป็นเพียงคนเดียวที่ทุกคนจดจำได้”
การที่กระทั่งชาวบ้านที่ยากจนยังรู้จักเธอได้ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเอลริสนั้นเป็นที่นิยมเพียงใด
เซนต์คือสัญลักษณ์แห่งความหวัง บุคคลเดียวในโลกที่สามารถกำราบแม่มดได้ แต่สำหรับชาวบ้านตาดำๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะยังรอดอยู่รึเปล่า เรื่องราวการต่อสู้ของเซนต์และแม่มดนั้นเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัว อย่างมากพวกเขาก็แค่รู้สึกขอบคุณเซนต์ที่ช่วยขับไล่ปีศาจไปให้ ถ้าเป็นพวกอัศวินที่ต่อสู้เคียงข้างพวกเธอก็ว่าไปอย่าง แต่กับพวกชาวบ้านแล้ว เซนต์ก็เป็นเพียงแค่ตัวตนสูงส่งที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นตัวเป็นๆ พวกเขายังเคารพเซนต์อยู่ แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากไปกว่านั้น
จนถึงก่อนหน้านี้ สมมติว่าเซนต์รุ่นปัจจุบันเป็นตัวปลอมมาโดยตลอด แล้วถูกแทนที่ด้วยตัวจริงทีหลัง พวกชาวบ้านก็จะเข้าใจว่าทั้งสองคนนั้นเป็นเพียงคนคนเดียวกัน พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเธอมาก่อน จะไปบอกความแตกต่างได้อย่างไรล่ะจริงมั้ย?
ทั้งเวอร์เนลและจอห์นเองก็ไม่เคยรู้ชื่อของเซนต์รุ่นก่อนๆจนได้มาเรียนในคาบ ถึงได้รู้ว่าเซนต์คนก่อนชื่อ อเล็กเซีย และเซนต์คนแรกชื่อ อัลเฟรีย
เอลริสนั้นแตกต่างออกไป เธอลดตัวลง ยื่นมือมาช่วยเหลือเหล่าประชาชน เพราะแบบนั้นทุกคนจึงรู้จักชื่อของเธอ
“เธอเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ…” เวอร์เนลพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพยกย่อง
ความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อฆ่าฟันศัตรูเพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเอลริสก็คือการช่วยเหลือผู้คน เธอจะไม่ปล่อยใครก็ตามที่เธอสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ไปเด็ดขาด
เพราะว่าเธอเป็นแบบนั้น คนนับไม่ถ้วนจึงต้องการที่จะเป็นอัศวินเพื่อเธอ
“เราจะต้องปกป้องเธอให้ได้” เวอร์เนลและจอห์นคิดในใจ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังตั้งปณิธานอย่างสงบ จู่ๆซัปเปิ้ลก็ส่งเสียง “อื๊ม!”
ในที่สุดคนที่เขารอคอยก็ก้าวเข้ามายังโรงอาหาร ไม่รู้ทำได้ไง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงเอลริสจากการมองเพียงแค่ขาจริงๆด้วย เอลริสได้มายังโรงอาหารพร้อมกับผู้ติดตามของเธออีกคน!
จากการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพบว่าเอลริสนั้นไม่ชอบที่จะนั่งทางช่วงกลาง แต่ชอบที่จะนั่งทางปีกขวาของโรงอาหาร เขาได้สังเกตมาแล้วว่าเอลริสนั้นมักจะเดินออกขวาทันทีที่เข้าโรงอาหารมา
ที่นั่งเขานอนอยู่นั้นอยู่ทางด้านขวาของทางเข้า นอกจากนี้นักเรียนที่เธอมีความสัมพันธ์อันดีด้วยอย่างเวอร์เนลและจอห์นก็นั่งอยู่ตรงนี้
เธอต้องมาทางนี้แน่! โอกาสมีอยู่สูงมาก!
ซัปเปิ้ลคิดเช่นนั้น มุมปากของเขาเผยอยิ้มอย่างน่ารังเกียจ ร่างกายกระตุกด้วยความตื่นเต้น
แต่แล้ว ใครบางคนก็ทำแผนของเขาพัง
ในขณะที่เอลริสกำลังเดินมาทางนี้ นักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งก็เดินมาในทิศทางเดียวกัน แต่เพราะเธอนั้นอยู่ใกล้กว่า จึงมาถึงที่นั่งที่ซัปเปิ้ลนอนอยู่เร็วกว่า
ท่อนซุง…!
ขาของนักเรียนหญิงคนนี้นั้นหนาอย่างกับท่อนซุงทุกย่างก้าวของเธอนั้นหนักแน่นจนซัปเปิ้ลรู้สึกได้ถึงพื้นที่สั่นไหว ร่างกายของเธอเองก็หนาแน่นไม่แพ้กัน ช่วงท่อนล่างของเธอนี่อย่างกับสามเหลี่ยมกลับหัว กล้ามขาแน่นเหมือนกับแขนของเธอ ช่วยพยุงร่างที่กำยำไว้ได้เป็นอย่างดี ในส่วนของหน้าอกนั้น…เรียกว่ากล้ามอกน่าจะเหมาะกว่า
สาวกล้าม—ตอนแรกเขาก็นึกว่าเธออ้วน แต่มาดูดีๆแล้วนั่นมันกล้ามเนื้อเน้นๆ และเธอกำลังเดินตรงมาทางที่นั่งที่เขาแอบอยู่
ซัปเปิ้ลอกสั่นขวัญแขวน เจ้าสิ่งนี้น่ะไม่ใช่ผู้หญิง จะเรียกว่ามนุษย์อย่างเต็มปากยังยากเลย
ที่นี่คือสถานฝึกฝนอัศวิน ที่รวมของเหล่านักเรียนที่ฝึกฝนตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อต่อกรกับปีศาจ เพื่อเป็นโล่มีชีวิตที่สามารถปกป้องเซนต์ได้ตลอดเวลา การที่จะเห็นสาวมีกล้ามในสถาบันแห่งนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรขนาดนั้น
จริงๆแล้วนักเรียนหญิงคนนี้ต้องเรียกว่าน่าชื่นชมเสียด้วยซ้ำ ร่างกายกำยำนั้นเป็นหลักฐานว่าเธอทุ่มเทตัวเองให้กับการฝึกฝนมากแค่ไหน
ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก มุ่งเน้นไปที่การสร้างเสริมสมรรถภาพทางร่างกายไว้ใช้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอัศวิน
เธอฝึกฝนติดต่อกันยี่สิบสีชั่วโมงก่อนงานประลองจะเริ่ม ทำให้ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งเนื่องจากอาการกล้ามเนื้อเมื่อยล้า ถ้าหากเธอได้เข้าแข่งด้วยล่ะก็ ผลการแข่งขันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
ลมหายใจของธอเปลี่ยนเป็นไอ เธอเดินมาด้วยสีหน้าขึงขังก่อนที่จะย่ำเท้าลงไปยังจุดที่ซัปเปิ้ลอยู่
ซัปเปิ้ลพยายามที่จะหยุดเธอ “ดะ-เดี๋ยวก่–“
น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ยิน ขาของเธอกระทืบลงไปยังร่างของซัปเปิ้ลโดยที่เธอไม่รู้ตัว
และแล้วความชั่วร้ายก็ถูกกำราบลง เจ้าสตอล์กเกอร์ได้รับการลงทัณฑ์ที่เหมาะสมในท้ายที่สุด
ส่วนเอลริสที่เห็นว่าที่นั่งไม่ว่างก็เปลี่ยนเส้นทางไปนั่งที่โต๊ะตัวอื่น และรับประทานมันฝรั่งที่เลย์ล่านำมาเสิร์ฟให้