“ไม่ดีกระมัง นิทานไม่เหมาะกับข้า” เจ้าอ้วนยื่นนิ้วกลมป้อมออกมา พยายามแกะมือของฉินจิ่วเกอออก
“ไม่จริงหรอก นิทานของข้าเรื่องนี้ชื่อว่าเจ้าหญิงหิมะขาว (สโนวไวท์) เจ้าฟังดูสิ มีทั้งหิมะขาวทั้งเจ้าหญิง ย่อมถูกรสนิยมเจ้าแน่นอน” ฉินจิ่วเกอทำสีหน้าแบบที่มีแต่บุรุษด้วยกันล้วนเข้าใจ เขาเชื่อว่าเจ้าอ้วนน่าตายภายนอกสัตย์ซื่อผู้นี้ ในใจย่อมซุกซ่อนความโลดโผนเอาไว้
มองเห็นท่าทางน่าเวทนาของฉินจิ่วเกอ หรงเคอเคอต้องใจอ่อน รับปากนั่งลง
เมื่อนางในใจของตนรับปากแล้ว เจ้าอ้วนน่าตายไหนเลยจะมีความคิดคัดค้าน ยืนข้างหรงเคอเคอรอรับใช้
ฉินจิ่วเกอลอบด่าทอ ที่ทำท่ายืนเฝ้าอารักขาน่ะปลอมชัดๆ จริงๆ อยากฟังนิทานสโนวไวท์น่ะสิ เจ้าผู้นี้ช่างแผนการลึกซึ้งนัก
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาชราองค์หนึ่ง…สุดท้าย เจ้าหญิงสโนวไวท์แสนสวย ก็อยู่ร่วมกับคนแคระทั้งเจ็ดต่อไปอย่างมีความสุขชั่วกาลนาน”
ที่บอกว่าความรู้คือชีวิต ฉินจิ่วเกอยามนี้ซาบซึ้งยิ่งนัก
แม้จะถือว่าขโมยคัดลอกผลงานชาวบ้านมา แต่ในโลกใหม่นี้ ฉินจิ่วเกอไหนเลยจะบังเกิดความคิดละอายแม้แต่กระผีกริ้น กลับกันยังบังเกิดความภาคภูมิใจอีกต่างหาก
ระหว่างการเล่านิทาน เจ้าอ้วนน่าตายยืนน้ำลายหยด ท่าทางหื่นกามลามกอย่างที่สุด
และแล้วนิทานอันงดงามก็จบบริบูรณ์ แน่นอนว่าช่วยจุดไฟการไล่ตามพัวพันศิษย์น้องสามของมันจนลุกโชติช่วง
มองดูก็รู้ เจ้าอ้วนตอนนี้กับก่อนหน้าผิดแผกแตกต่างไป หว่างคิ้วแฝงแววเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นหลายส่วน มันแน่นอนคิดว่ายังไงซะมันยังเหนือกว่าคนแคระอยู่แล้ว
หรงเคอเคอเองก็รับฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม ไม่ว่าผู้หญิงคนไหน ล้วนไม่อาจปฏิเสธเสน่ห์ของนิทานเจ้าหญิงได้
แน่นอน จินตนาการต่างจากความเป็นจริง กบในนิทานสามารถกลายเป็นเจ้าชายผู้สง่างาม แต่ในความเป็นจริง เจ้าอ้วนเป็นได้แต่เปลี่ยนเป็นเจ้าอ้วนตาย ได้แค่นั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่เล่าได้ดียิ่ง ข้ายังอยากฟังอีก”
ศิษย์น้องเล็กอดไม่ไหว ทำตัวเป็นเด็กหญิงเล็กๆ เมื่อนิทานจบลง กลับร่ำร้องขึ้นมา
ฉินจิ่วเกอเห็นหรงเคอเคอเป็นดั่งแสงช่วยชีวิต ความหมายคือ ต่อให้ฟังนิทานไม่จ่ายเงิน อย่างน้อยช่วยไล่ความยุ่งยากไปไกลๆ ได้ก็ยังดี
เขาในตอนนี้ ไม่อาจรับมือปัญหาใดๆได้ เพียงคิดล้มตัวลงนอนให้ผ่านไปสามวันเร็วๆ
หรงเคอเคอที่ถูกมองเป็นดาวช่วยชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่ ค่อยๆ ปรับสีหน้าที่แดงก่ำ คิดชักนำตงฟางฉิงอวี่จากไป
“ศิษย์น้องเชื่อฟังวาจา พวกเรายังต้องไปฝึกตามบทเรียนประจำวัน ไม่อาจเกียจคร้าน” ว่าแล้ว หรงเคอเคอก็ส่งสายตาให้ศิษย์พี่ใหญ่ดวงอาภัพบนเตียงคราหนึ่ง “ศิษย์พี่ร่างกายยังอ่อนแอด้วยโรคภัย อย่าได้ล้อเล่นกับเขาแล้ว”
ฉินจิ่วเกอที่ขดอยู่ใต้โปงผ้าห่มผงกศีรษะรับอย่างแข็งขัน พร้อมส่งเสียงออกมาด้วยความตื้นตันจางๆ ยังคงเป็นศิษย์น้องสามเมตตาการุณ
แต่ปัญหาไม่ใช่จะยอมจากไปโดยง่าย ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังคิดว่าโชคดีกำลังจะมาเยือน เจ้าอ้วนน่าตายพลันโพล่งวาจา ลกฉินจิ่วเกอจากสวรรค์ลงสู่อเวจีในทีเดียว
“ที่จริงไม่เป็นอันใด ศิษย์น้องเล็กหากคิดรับฟังต่อ สามารถรอจนศิษย์พี่ใหญ่อาการค่อยยังชั่วแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้”
ฉินจิ่วเกอที่ยังขดอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมออกมาพบผู้คน ได้ฟังแล้ว เพลิงอัคคีในใจลุกโหม ตวัดผ้าห่มออกจับจ้องหนิวว่านซานด้วยความอาฆาตแค้น เห็นใบหน้าเที่ยงตรงสัตย์ซื่อของหนิวว่านซานมองมาด้วยความหวัง เห็นนัยน์ตาเจ้าอ้วนเบิกกว้างขึ้นบางส่วน ชัดเจนว่าบังเกิดแผนการขึ้น
เจ้าอ้วนน่าตายเองก็เกรงศิษย์พี่ใหญ่ใจแคบคิดบัญชี ในใจฉุกคิด ใช้ออกด้วยแผนยืมดาบฆ่าคน ทั้งยังกำจัดปัญหาไปตลอดกาล
ฉินจิ่วเกอส่งสายตาพิฆาตใส่เจ้าอ้วนน่าตาย หนิวว่านซานแม้ความสามารถไม่สูงส่ง แต่หนังหน้าหนาเป็นพิเศษ การโจมตีทางจิตใจใช้ไม่ได้ผล
ตงฟางฉิงอวี่ได้ฟังแล้ว ดวงตาเล็กๆ ดำขลับทอประกายวาบ ประดุจพลันมองเห็นไข่มุกล้ำค่าในขุมสมบัติ
“งั้นข้าต้องดูแลศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์สั่งสอนว่าพวกเราศิษย์สำนักเดียวกันล้วนต้องพึ่งพาอาศัย ให้ความสำคัญกับน้ำใจระหว่างกัน” สาวน้อยยืดอกเล็กๆ ออกมาด้วยความภาคภูมิ ประกาศออกมาต่อผู้คนในห้อง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าสบายดี ศิษย์น้องเจ้าดู ยกถังน้ำเจ็ดแปดสิบถังยังไม่เป็นไร” ฉินจิ่วเกอแม้ชื่นชมความงามของศิษย์น้องเล็ก ทว่าต้องห่วงชีวิตตนเองก่อน
สีหน้าท่าทางจริงจังจริงใจยิ่ง ศิษย์น้องหญิงมีค่าสูงส่ง แต่หากต้องแลกด้วยชีวิต ย่อมสามารถโยนทิ้งไปได้
หลังบนบานพระโพธิสัตว์ทั่วดินฟ้า หรงเคอเคอค่อยนำพาศิษย์น้องเล็กจากไปได้
ศิษย์ในพรรคทุกวันต้องฝึกฝีมือ เพื่อสั่งสมพื้นฐานสำหรับพลังฝีมือขั้นสูงในอนาคต
แน่นอน มาตรฐานนี้ย่อมสำหรับคนที่ชีวิตมีความคิดทะเยอทะยานเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอไม่มีความคิดอ่านหนุนตนเองไปไกลเท่าใด มันคือปลาเค็มตากแห้งข้างชายหาด ขอแค่ทุกวันห้อยปลายเบ็ดแกว่งไปมาอย่างสบายได้ก็พอแล้ว
สามวันต่อมา ฉินจิ่วเกอฟื้นกำลังกลับคืนมาได้ร่วมครึ่งค่อน สามารถเดินท่องทั่วสี่ทิศชมทิวทัศน์ในพรรคหลิงเซียว
หลายวันมานี้ฉินจิ่วเกอบังเกิดความคิดมากหลาย คิดคำนวนจากความสัมพันธ์ของร่างตนเองกับในพรรค การจะปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เหล่านี้นับว่าไม่ง่ายดาย
ดูท่าแล้ว ไม่สู้ปรึกษากับชนชั้นผู้นำระดับสูงในพรรค อย่างน้อยรับประกันว่าเมื่อศิษย์น้องสองกลับมา ไม่ถึงขั้นลดชั้นไล่ออกจากพรรค
ศิษย์สายในของพรรค ย่อมนับเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งอยู่แล้ว
หลังเดินสำรวจทั่วสี่ทิศ ฉินจิ่วเกอยิ่งคิดกราบคารวะบรรดาผู้อาวุโส ทุกวันเข้าหา อย่างน้อยสร้างความคุ้นหน้าคุ้นตาเอาไว้
ฉินจิ่วเกอยามนี้หิวจนไส้กิ่ว สายตายามมองดูผู้คนไม่ต่างจากสุนัขเฝ้ามองกระดูกหอมหวาน สร้างความตกใจกลัวให้แก่ศิษย์ที่เดินผ่านจนแทบหลีกถอยไม่ทัน
หลังเรียกสานุศิษย์ผู้โชคร้ายมาถามความเป็นไปภายในพรรคสองสามราย ชายหนุ่มก็วางแผนไปคารวะอาวุโสสี่ก่อนเป็นลำดับแรก
เทียบกับอาวุโสผู้ทรงอำนาจคนอื่นๆ อาวุโสสี่ไม่อาจเรียกได้ว่ารับหน้าที่ดูแลกิจการภายในพรรคโดยตรง แต่ด้วยฐานะนักปรุงยา กลับทำให้มันมีสิทธิ์มีเสียงภายในพรรคไม่น้อย
อีกทั้งวันๆ นักปรุงยาล้วนหมดเวลาไปกับเหล่าโอสถเม็ดยาหลากขนาน เป็นไปได้ยากที่จะใช้เวลาไปกับการปิดด่าน
ฉินจิ่วเกอหยุดยืนอยู่หน้าประตูอาวุโสสี่ สืบเนื่องจากปัญหาด้านการเงิน มันจึงต้องมามือเปล่า ทำเป็นหลงลืมขนบที่ว่าน้ำใจให้มากใครจะเอาผิดกับท่าน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
อาวุโสสี่นั่งอยู่ในห้อง ผมเผ้าหนวดเคราล้วนเป็นสีขาว ใบหน้ายาวเหมือนม้า สีหน้ายามนี้บ่งชัดว่าไม่สบอารมณ์ยิ่ง
ในมือคีบเม็ดยาสีดำขลับที่กำลังเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ ชัดเจนว่าเป็นโอสถล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ช่างดีอะไรเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอร่ำร้องอยู่ในใจ
ฟังจากน้ำเสียงของอาวุโสสี่แล้ว เจ้าของร่างคนก่อนย่อมไม่พ้นล่วงเกินมัน แต่วันนี้ตนกลับประเคนตัวเองมาส่งถึงที่
อย่างที่คิด ข้าควรไปเยี่ยมอาวุโสสามก่อนจะดีกว่า ไม่ทราบอาวุโสสี่ผู้นี้ทำความใจดีตกหายไปไหนแล้ว
วิถีการบำเพ็ญเพียร ช่างกว้างใหญ่ลึกซึ้งยากหยั่งถึง
วิถีของมันไม่ได้มีให้เดินเพียงทางเดียว รูปแบบของมันเองก็เกิดการแปรผันไม่รู้จบ
อาวุโสสี่คือนักปรุงยา มรรคาของมันย่อมไม่พ้นการปรุงยาสมุนไพร ต่างจากการบำเพ็ญตนทั่วๆ ไป
“ตอนนี้ยังไม่สิ้นเดือน ยังไม่ถึงคราวแจกจ่ายทรัพยากรของเดือนนี้ แต่ข้าขอบอกเจ้าอย่าง อย่าได้ริบเอาทรัพยากรของพรรคไว้แต่เพียงผู้เดียวอีก ภาพลักษณ์ของเจ้าในพรรคตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าสุนัขตัวหนึ่งเสียอีก!”
สิ้นคำสั่งสอน อาวุโสสี่ก็เลื่อนสายตาคมกริบกลับมาที่โอสถวิเศษในมือต่อ
ผู้ฝึกตนย่อมต้องฝึกจิตบำเพ็ญเพียรทุกวัน หากได้โอสถวิเศษย่อมย่นระยะการฝึกฝนได้มาก
ยิ่งใช้ควบคู่กับสูตรยา จนปรุงออกมาเป็นโอสถได้สำเร็จ เท่ากับเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลงานมาก
โอสถแบ่งออกเป็นเก้าระดับ โอสถอย่างน้อยขั้นสามขึ้นไปถือเป็นโอสถวิเศษ นับเป็นวัตถุที่มีค่าควรเมืองของพรรค
ฉินจิ่วเกอแบกหม้อก้นดำ ยังไม่ยอมตัดใจ คนฉีกยิ้มหน้าบานค้อมเอวก้าวขาข้ามธรณีประตู “อาวุโสกล่าวมิผิด ศิษย์พอฟังแล้วถึงกับกระจ่างขึ้นมา ขอรับคำชี้แนะของท่านในคราวนี้ไปปฏิบัติ แก้ไขความผิดเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่”
“พล่ามเสร็จก็รีบๆ ไสหัวไปซะ หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าอาจารย์เจ้า ป่านนี้เจ้าคงถูกตะเพิดออกนอกพรรคไปแล้ว ไว้ลั่วเฉินกลับมาเมื่อไหร่ เจ้าก็ยอมๆ ยกตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ให้มันไปเถอะ”
ยามเอ่ยถึงลั่วเฉิน แม้แต่อาวุโสสี่ที่วางมาดมาโดยตลอดยังต้องรู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าสิบฉินจิ่วเกอในยามนี้ ยังได้ไม่ถึงครึ่งของลั่วเฉินเลยด้วยซ้ำ
ลั่วเฉินที่อาวุโสสี่เอ่ยถึงก็คือศิษย์น้องสองผู้เลื่องลือ บุคคลที่ถูกฉินจิ่วเกอยกให้เป็นศัตรูลำดับหนึ่ง
พูดจาม้าๆ หากตนยอมละทิ้งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ไปจริงๆ ด้วยระดับมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยงนี้ แค่คิดจะใช้ชีวิตเยี่ยงคนทั่วไปก็ยังทำได้ยาก!
“อาวุโสสี่ ข้าสาบานให้ท่านเลยก็ยังได้” ว่าแล้วก็ชูสามนิ้วขึ้นฟ้า “หากข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ขจัดล้างความผิดกลับตัวเป็นคนดีแล้วละก็ เชิญท่านตัดช้างน้อยของข้าพเจ้าไปต้มยำทำแกงอย่างไรก็ได้เลย”
“แค่กๆ” อาวุโสสี่ได้ยินแล้วถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดงหน้าดำ
ไอ้เด็กเปรต คำพูดคำจาไฉนถึงได้สัปดนเช่นนี้ ตอนนั้นพวกข้าคงตาบอดกันจริงๆ ถึงได้เลือกเจ้าเป็นศิษย์เอกสายในเช่นนี้ ยังดีที่มีลั่วเฉินอยู่ เด็กคนนี้นับเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ไม่ว่าจะในแง่ของพรสวรรค์หรือการรับมือทางอารมณ์ ก็ล้วนทำได้ดีกว่าเจ้าคนตรงหน้าไม่รู้กี่พันกี่ร้อยเท่า
“อาวุโสสี่ ท่านเป็นถึงเสาหลักของพรรคเรา จำต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีตลอดเวลา ให้ข้านวดหลังให้ท่านเถอะ”
ฉินจิ่วเกอที่อาสานวดหลังให้อาวุโสสี่ด้วยความกระตือรือร้นกลับไม่ได้ทราบเลยว่า ความแตกต่างระหว่างมันกับศิษย์น้องรองในใจของอาวุโสสี่นั้นมากมายสุดคณานับเพียงไร
หากฉินจิ่วเกอรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในเวลานี้ น่ากลัวว่ามันอาจคว้าเชือกมาสักเส้นแล้วแขวนคอตัวเองอยู่หน้าห้องอาวุโสสี่ไปแล้ว ถามมันสิกล้าหรือไม่กล้า
“เจ้ามีความคิดที่จะกลับตัวกลับใจจริงๆ?” ในแววตาของอาวุโสสี่ขณะถามแฝงแววเยาะเย้ยเอาไว้หลายส่วน นึกในใจหากคว้าคอเจ้าคนขี้คุยนี่ทุ่มลงกับพื้นได้คงทำไปแล้ว แล้วยังจะแถมให้อีกหลายบาทาด้วย
“ย่อมแน่นอน” นี่ก็คือเป้าหมายในคราวนี้ของฉินจิ่วเกอ นอกจากจะมาเพื่อสร้างความคุ้นเคยแล้ว ยังมาเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงที่แทบจะพังป่นปี้ไปแล้วให้กลับมาน่ามองอีกครั้ง
“ฮึ่ม ยากจะเห็นเจ้าทำเรื่องที่เป็นมนุษย์มนากับเขาบ้าง เช่นนั้นก็ช่วยข้าขนตะกอนขี้ยาพวกนั้นออกไปทิ้งนอกพรรคเสียให้หมด” ไม่คิดเสียเวลากับฉินจิ่วเกออีก อาวุโสสี่เริ่มออกคำสั่งเสียงเย็นอย่างไม่เกรงใจ น้ำเสียงฟังแล้วยังน่าชังยิ่งกว่าเจ้าอ้วนน่าตายนั่นด้วยซ้ำ
ช่างเถิด เห็นแก่ที่ท่านเป็นอาวุโสหรอก ไหนจะฐานะนักปรุงยานั่นด้วย
ทรัพยากรของพรรคในทุกๆ เดือนล้วนเป็นอาวุโสสี่ดูแล
ฉินจิ่วเกอเดินหัวเราะฮ่าๆ จากมา แหงนมองท้องฟ้าที่แบ่งปันความอบอุ่นไปทั่วหล้า พลางนึกปลอบใจตัวเอง นับแต่นี้ไป ข้าจะต้องกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาให้จงได้!
ตัดมาที่อาวุโสสี่ หลังจากขับไล่ฉินจิ่วเกอออกไปได้สำเร็จ มันก็ยังเพ่งพินิจโอสถวิเศษสีดำในมืออย่างไม่ละสายตา
“โอสถสะบั้นชีพ โอสถระดับสี่ ซ้ำยังเป็นยาพิษ นักปรุงยาระดับสี่ทั่วไปคิดถอนพิษเกรงว่าจะไม่ง่าย ข้าติดอยู่ด่านนี้นานเกินไปแล้ว หากคิดจะทะลวงด่านต่อไป เกรงว่าจะเหลือเพียงวิธีนี้เท่านั้น แม้จะต้องลองเสี่ยงอันตรายไปบ้าง”
มันรำพึงกับตัวเองหลังพิจารณาโอสถในมือไม่รู้ครั้งที่เท่าไร มันคิดไม่ตกมาหลายเดือนแล้ว หากก็ไม่กล้าตัดใจกลืนลงไปสักที
โอสถสะบั้นชีพเม็ดนี้ถูกมันลูบถูไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนผิวของมันเริ่มกลายเป็นมันวาวเหมือนผลมันฮ่อ
การฝึกจิตบำเพ็ญเพียรย่อมชักนำกลิ่นอายฟ้าดิน หาญท้าชะตาฟ้าปรับเปลี่ยนโชคชะตาแง้มพรายมหาวิถี หากพลาดพลั้งเพียงนิดเดียว สังขารแตกดับมรรคาล่มสลายล้วนเป็นเรื่องปรกติ
สรุปสั้นๆ คือ ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็เหมารวมอยู่ในสาขาอาชีพที่สุ่มเสียงภยันตรายต่อชีวิตยิ่ง ด้วยเหตุนี้ฉินจิ่วเกอถึงได้ขี้คร้านเกินกว่าจะยอมฝึกจิตบำเพ็ญเพียร