ตอนที่ 19 คลังเงินน้อย ๆ

เมื่อมาถึงเค่ออวิ๋นไหล จี้จือฮวนก็ให้อาอินนำเกลือที่ตัวเองทำออกมา อาอินมองเถ้าแก่เนี๊ยฮวาด้วยความตื่นเต้น

คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เนี๊ยฮวาจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ของที่ข้ามีใกล้จะใช้หมดพอดี และจำนวนของครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อน เช่นนั้นข้าให้เจ้าสามตำลึงเงินก็แล้วกัน”

อาอินคิดไม่ถึงว่าเกลือที่ตัวเองทำจะสามารถทำเงินได้ถึงสามตำลึงเงิน ดวงตากลมโตเป็นประกายขึ้นมาทันที วันนี้หลังจากกลับไปถึงบ้านนางจะทำเกลือต่อ เพื่อหาเงินให้ได้เยอะ ๆ จากนั้นก็จะสามารถรักษาท่านพ่อได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะหิวอีกแล้ว!

ฮวาเซียงเซียงเดินไปหยิบเงินที่หลังโต๊ะยาว ก่อนจะก้มตัวลงและเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “น้องสาว ข้าขอเตือนเจ้าจากใจจริง เจ้าอย่าได้ล่วงเกินพวกจุ้ยเซียนจวี่จะดีกว่า เพราะวิธีการของพวกเขาสกปรกกว่าที่เจ้าคิด”

จี้จือฮวนพยักหน้ารับ “ขอบคุณมาก”

เมื่อออกจากเค่ออวิ๋นไหลแล้ว อาอินก็ราวกับฝันไปก็ไม่ปาน นางดึงแขนเสื้อของจี้จือฮวนโดยไม่ได้คิดอะไรและพูดขึ้นมา “สามตำลึง ข้าหาเงินได้สามตำลึง ข้าคิดว่านางจะบอกว่าที่ข้าทำสู้ของท่านไม่ได้ แล้วจะจ่ายให้ข้าแค่ไม่กี่สิบเหวินเสียอีก”

“ไม่หรอก เจ้าทำได้ดีมาก” จี้จือฮวนบอกไปตามความจริง

อาอินรู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำไปหมด ผ่านไปสักพักก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าดึงแขนเสื้อของจี้จือฮวนเอาไว้อยู่ และเดินเป็นจังหวะเดียวกันกับจี้จือฮวนโดยไม่รู้ตัว “ขอบใจ”

“ไม่ต้อง เพราะนี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้”

เมื่อเดินมาจนถึงร้านอาหารป่า วันนี้จางต้าเปียวเปิดร้านค่อนข้างสาย เพราะเมื่อคืนเขาไปที่บ้านนายพรานในหมู่บ้านเพื่อรับหนังสัตว์มา แต่หนังสัตว์กลับมีบาดแผลขนาดใหญ่จนทำให้หนังทั้งผืนเสียหาย หรือไม่ก็เป็นหนังสัตว์ที่มีอยู่ดาษดื่น จึงไม่สามารถขายในราคาที่สูงได้

เขารู้สึกว่าการค้าสองวันนี้ต้องจบเห่แน่ แต่แล้วก็เห็นจี้จือฮวนสองแม่ลูกเดินมาทางนี้เข้าพอดี จางต้าเปียวจึงลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะเดินไปที่ประตูร้านและเอ่ยทักทาย “แม่นางน้อยวันนี้เจ้ามาขายของอย่างนั้นหรือ สามีเจ้าได้ของใหม่ ๆ มาหรือไม่?”

จี้จือฮวนพยักหน้าให้เขาน้อย ๆ จากนั้นก็เปิดประตูด้านในของตู้บนรถเข็น แล้วหยิบหนังแกะที่มีสภาพสมบูรณ์ทั้งผืนออกมา และยังมีเนื้อแกะ, กระต่ายป่า, ไก่ป่า ฯลฯ ที่ถูกนางชำแหละเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แม้จะสู้นายพรานจากที่อื่นที่สามารถล่าสุนัขจิ้งจอกอะไรพวกนั้นไม่ได้ แต่สินค้าที่นางนำมาขายก็ไม่ธรรมดา ด้วยฝีมือที่ประณีตเช่นนี้ สามีของนางต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน ไม่เหมือนนายพรานพวกนั้นที่ทำส่ง ๆ ฝีมือเช่นนี้หากไม่ได้รับการฝึกฝนมานาน แค่มองก็สามารถเห็นถึงความแตกต่างได้แล้ว

จางต้าเปียวหัวเราะอย่างมีความสุข “ครั้งนี้เอามามากเพียงนี้เชียวหรือ!”

จี้จือฮวนเพียงเอ่ยรับคำสั้น “อืม”

จางต้าเปียวอดที่จะลอบบ่นในใจไม่ได้ แม้จะมีผ้าคลุมหน้าปิดอยู่จึงทำให้ไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางน้อยผู้นี้ แต่ด้วยนิสัยที่สุขุมพูดน้อยแค่ที่จำเป็น จึงทำให้คนรู้สึกนับถืออย่างมาก

ทำการค้าขอเพียงเป็นสินค้าที่ดี เขาก็ยินดีจ่ายด้วยราคาที่ยุติธรรม

“หนังสัตว์และเนื้อทั้งหมดนี่ ข้าให้เจ้ายี่สิบห้าตำลึงเป็นอย่างไร?”

“ตกลง”

จางต้าเปียวไม่พูดพร่ำทำเพลงล้วงเงินออกมาทันที

จี้จือฮวนเหลือบมองไปที่แผงด้านหน้าร้านของเขา ยังมีเนื้อสัตว์อื่น ๆ วางขายอยู่ด้วย แตกต่างจากแผงขายเนื้อหมู เพราะมีทั้งเนื้องู, เนื้อกระต่าย และเนื้อกวางด้วย

“ท่านรับซื้อเนื้อที่แปรรูปแล้วหรือไม่?”

อาจเป็นเพราะจู่ ๆ จี้จือฮวนก็ถามขึ้นมา จึงทำให้จางต้าเปียวอึ้งไปเล็กน้อย “ประเภทใด?”

“ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อตุ๋น เนื้อแห้งอะไรพวกนั้น”

“มีคนซื้อไม่มากนัก”

อืม ก็จริง

แต่จางต้าเปียวก็ได้เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “หากเจ้าทำอร่อย ข้าสามารถขายให้เจ้าได้”

จี้จือฮวนดวงตาเป็นประกาย “ตกลง”

นางยังต้องไปร้านขายของชำเพื่อซื้อของอีก หลังจากได้เงินแล้วก็จากไปทันที

จางต้าเปียวมองตามหลังของนาง ทว่าความรู้สึกที่บอกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดานี่มันเรื่องอะไรกัน?

วันนี้ทั้งวันถุงเงินน้อย ๆ ของอาอินก็เต็มไปด้วยเงิน ไม่กี่วันก่อนขายเกลือได้สองตำลึงเงินนางก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้ว แต่วันนี้วันเดียวกลับได้เงินถึงยี่สิบกว่าตำลึง เรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างไม่ทันตั้งตัว อาอินจึงอดไม่ได้ที่จะลองหยิกตัวเองดู

“ซู๊ด” เจ็บจริงด้วย ไม่ใช่ความฝัน นางจับถุงเงินเอาไว้แน่นกลัวว่าจะมีคนมาขโมย

จี้จือฮวนเห็นการกระทำของนางจากทางหางตา มุมปากก็ยกขึ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เงินขายเกลือข้าจะให้เจ้าเก็บเอาไว้เอง เพราะนั่นเป็นส่วนที่เจ้าควรจะได้ ยังมีค่าแรงที่วันนี้เจ้าช่วยข้าเข็นรถและคอยเก็บเงินอีก เจ้าหยิบเองได้เลย”

เมื่อเอ่ยจบ จี้จือฮวนก็เดินต่อ

อาอินมองตามหลังของจี้จือฮวนด้วยความตื่นตระหนก พลางกลืนน้ำลายลงคอ และรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

หรือนางจะรู้ว่าข้าแอบขโมยเงิน?

ที่จี้จือฮวนไม่ได้เปิดโปงเพราะคิดถึงจิตใจของเด็กน้อย เดิมนางก็เป็นตัวโกงตัวน้อยอยู่แล้ว มุมมองย่อมไม่เหมือนกับคนทั่วไป เจ้าของร่างเดิมสร้างความเจ็บปวดให้กับนางมามาก ส่วนนางเองก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ ทำได้แค่คอยชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องนับจากนี้ไป เพื่อไม่ให้นางมีความคิดที่ผิด ๆ อีก

ตอนนี้มีเงินแล้ว เมื่อจี้จือฮวนมาถึงแผงขายเนื้อก็เลือกซื้อเนื้อไปไม่น้อย ก่อนจะยัดเข้าไปในตะกร้าอย่างไม่เกรงใจ

อาอินรู้สึกปวดใจขึ้นมา เงินที่เพิ่งมาอยู่ในมือยังไม่ทันจะอุ่นก็ถูกเอาออกมาใช้เสียแล้ว ดีที่นางแอบขโมยเอาไว้นิดหน่อย เพื่อเก็บไว้ให้พี่ใหญ่กับท่านพ่อ ไม่อย่างนั้นคงถูกสตรีผู้นี้ใช้จนหมดเป็นแน่

แม้ว่านางจะสามารถหาเงินได้แต่ก็ใช้เงินได้เช่นกัน

ใช่! สิ่งที่ข้าทำก็เพื่อเก็บเงินเอาไว้ให้ที่บ้านก็เท่านั้น ไม่ใช่ขโมยเสียหน่อย

จากนั้นสองคนแม่ลูกก็ไปที่ร้านขายของชำ ครั้งนี้จี้จือฮวนเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ ก่อนสุดท้ายจะแวะไปที่ร้านขายผ้า ครั้งนี้จี้จือฮวนเลือกซื้อเสื้อสำเร็จรูป เพราะนางเย็บเสื้อผ้าไม่เป็น แทนที่จะเสียเวลามานั่งตัดเสื้อ ไม่สู้ซื้อไปเลยจะดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นเด็ก ๆ พวกนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้ว

อาอินคิดไม่ถึงว่านางจะซื้อเสื้อผ้าให้พวกตนด้วย เกราะป้องกันภายในใจเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ขณะกำลังลังเลว่าจะบอกนางให้ประหยัดเงินดีหรือไม่นั้น จี้จือฮวนก็หยิบเสื้อมาทาบกับตัวของนาง “สีนี้ไม่เลว เจ้าชอบหรือไม่?”

จะไม่ชอบได้อย่างไรเล่า เพราะนางไม่ได้สวมเสื้อผ้าสะอาดและเรียบร้อยมานานมากแล้ว

“เช่นนั้นก็เอาชุดนี้ ซื้อที่ประดับผมด้วยดีกว่า และไปลองรองเท้าด้วย” สตรีก็มักจะรักสวยรักงามเป็นธรรมดา

อาอินนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เจ้าของร้านก็นำรองเท้าออกมา ไม่ใช่รองเท้าฟาง ไม่ใช่รองเท้าผ้าป่าน แต่เป็นรองเท้าสีชมพู หัวรองเท้ามีรูปดอกไม้ปักอยู่ อาอินชอบมันมากจริง ๆ

รองเท้าของนางขาดหมดแล้ว หัวนิ้วโป้งจึงมักจะโผล่ออกมาในบางครั้ง ดังนั้นนางจึงรีบเอารองเท้าคู่เก่าซ่อนไว้ใต้เก้าอี้ จากนั้นก็ปัดดินบนเท้าออกแล้วค่อยสวมเท้าคู่ใหม่อย่างระมัดระวัง

“ชอบหรือไม่?” จี้จือฮวนนั่งยอง ๆ และถามออกมา

อาอินพยักหน้ารับพร้อมกับหูที่แดงก่ำ “อืม”

“เช่นนั้นก็เอาคู่นี้ก็แล้วกัน ยังมีของที่ข้าเลือกไว้เมื่อครู่ช่วยห่อให้ข้าด้วย” จี้จือฮวนวางท่าเหมือนเวลาจะรูดการ์ดในห้างสรรพสินค้าอย่างไรอย่างนั้น อาอินได้ยินดังนั้นก็รีบถอดรองเท้าออก เพราะนางไม่กล้าใส่กลับบ้าน วันปีใหม่ค่อยเอาออกมาใส่ดีกว่า

จี้จือฮวนเห็นดังนั้นก็กดนางนั่งลงไป “ซื้อแล้วก็ต้องใส่ ต่อไปจะมีรองเท้าที่ดีกว่านี้ให้ใส่อีก”

นางเอ่ยออกมาเรียบ ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าของอาอินแต่อย่างใด ทว่าความละอายใจของอาอินกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากจะขโมยเงินของแล้วนาง นางยังซื้อรองเท้าให้อีก ที่แท้นางก็ใช้เงินก็เพื่อพวกเขา

หลังจากซื้อของไปมากมาย เพียงพริบตาภายในรถเข็นก็มีของเต็มไปหมด อาอินชั่งน้ำหนักเงินที่ตนเองขายเกลือได้ และลังเลเล็กน้อยว่าจะเอ่ยปากดีหรือไม่

หากนางเอาเงินนี่ไปซื้อหนังสือให้พี่ใหญ่ เช่นนี้จะแตกหักกับจี้จือฮวนหรือไม่?

“จะซื้อหนังสือใช่หรือไม่ ข้าเห็นข้างหน้ามีร้านหนังสืออยู่ และมีพวกกระดาษกับพู่กันด้วย ไปดูกันเถอะ”

อาอินมองนางด้วยความตื่นตระหนก “ท่านสั่งว่าไม่ให้พี่ใหญ่อ่านหนังสือไม่ใช่หรือ?”

“นั่นเพราะเมื่อก่อนข้าเลอะเลือน วัยอย่างพวกเจ้าก็ควรอ่านหนังสือ เรียนหนังสือ ส่วนเรื่องหาเงินล้วนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้น…เจ้าจะเอาหรือไม่?” จี้จือฮวนรอคำตอบจากนาง

อาอินจึงตอบกลับทันควัน “ต้องเอาอยู่แล้ว!”

จี้จือฮวนไม่รู้ว่าสมัยโบราณเด็กอายุเท่านี้ต้องอ่านหนังสืออะไร อาอินเองก็ยังเด็ก ดังนั้นนางจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปถามเจ้าของร้านดู ทว่าเพิ่งจะเข้าไปในร้านพร้อมอาอินก็เจอกับเฉินเย่าจงเข้าพอดี

เฉินเย่าจงเองก็เห็นพวกนางแล้วเช่นกัน และเขากำลังสงสัยว่าเหตุใดวันนี้สตรีอัปลักษณ์ผู้นี้ถึงได้ปิดบังหน้าตาตัวเอง หากไม่ใช่เพราะมีเผยถังอินมาด้วย เขาก็คงจำนางไม่ได้เหมือนกัน

“พวกเจ้าคงมาซื้อหนังสือให้เผยจี้ฉือกระมัง ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าประหยัดเงินไว้จะดีกว่า ลำพังแค่เดินหาเงินก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว อย่าเอามาทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ดีกว่า”