บทที่ 24 ออโรร่าน้อยกับวิญญาณที่น่าพรั่นพรึง

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“กรี้ดดดด ผีจริงออกมาแล้ว”

          เมื่อเห็นสภาพร่างอันแสนสยดสยองที่ทะลวงออกมาจากกำแพงพร้อมกับไอสีดำแห่งความแค้นที่แผ่ความรู้สึกชวนขนหัวลุก ทำเอาผมถึงกับกลั้นสติของตัวเองไม่อยู่กรีดร้องออกมา

          “เสียงนี่! ท่านนักบุญเกิดอะ….วิญญาณร้าย?!”

          เสียงกรีดร้องดังลั่นบ้านแตกของผมเรียกสติของเจ้าพวกบ้าที่ยังเมากาวไม่หายและพวกยมฑูตที่ถูกกลิ่นไอกาวของพวกนี้จนบ้าไปตามๆกันให้หันมาทางผมที่กำลังกลัวจนตัวสั่นงึกๆ

          “รูปร่างแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ พวกวิญญาณร้ายประจำบ้าน!….งั้นไอ้พวกนี่ก็ไม่ใช่งั้นเรอะ!”

          นี่พวกนายเพิ่งรู้สึกตัวอย่างงั้นเหรอ ใส่หน้ากากหัวกะโหลกสวมเสื้อคลุมดำพร้อมติดอาวุธครบมือ คิดว่าเป็นอะไรล่ะ ผีคนใช้เรอะ! แล้วคนใช้บ้านไหนมันสวมชุดกับพกอาวุธแบบนั้นถือไปมาในบ้านกันเล่า สติน่ะ มีไหมสติ

          “บ้าน่ะ ที่นี่มีวิญญาณงั้นเหรอ?”

          แล้วพวกนายเป็นยมฑูตที่มาจับวิญญาณไม่ใช่หรือไง มาที่นี่แบบไม่รู้ว่ามีวิญญาณเนี่ย ถามจริงมีคนบอกทางมาผิดบ้านหรือยังไง แล้วนี่มันอะไร วิญญาณร้ายพุ่งออกจากกำแพงจนจะแทงตาอยู่แล้ว มิทราบว่าท่านยมบาลส่งยมฑูตสอบตกให้มาปิคนิคหรือยังไงห๊ะ ถามจริง

          ส่วนพวกหน่วยอัศวินยังพอดูดีขึ้นมาหน่อย พวกเขาเองเมื่อได้ยินเสียงร้องของผมก็ได้สติจากกาวที่สูดอยู่ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานความแค้นที่แทบจะเตะก้นพวกเขาอยู่รอมร่อ พวกเขารีบถอยตัวออกจากพวกยมฑูตสอบตกก่อนจะวิ่งมาทางผมที่กำลังกลัวตัวสั่นอยู่

          “ไม่ต้องห่วงนะครับท่านนักบุญ แค่วิญญาณร้ายเพิ่มมาไม่กี่ตัวไม่คนามือพวกเราหรอกครับ นี่ครับสิ่งจำเป็นสำหรับคุ้มครองท่าน”

          หัวหน้าหน่วยอัศวินพูดพร้อมยิ้มเชิงเป็นกำลังใจให้ผมที่กำลงตัวสั่นเป็นลูกนกพร้อมกันก็ยื่นอะไรไม่รู้มาวางไว้ในกระเป๋าผมซึ่งผมที่สติแตกอยู่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย หากถามว่ารอยยิ้มกับการกระทำของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาไหม?

          บอกเลยว่าไม่!

          พวกนายน่ะไม่ต้องเลย ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตผมมันจะปลอดภัยขึ้นมาเลยสักนิด เมื่อกี้ที่ไปสู้กับพวกยมฑูตมาก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าผลออกมาเป็ยยังไง ขนาดตีกับยมฑูตสอบตกที่แม้แต่ผียังไม่เห็น พวกนายยังเป็นกระสอบทรายได้ขนาดนั้นแล้วนี่จะมาสู้กับวิญญาณแค้นแบบนี้พวกนายจะเหลือเหรอ!

          แล้วไหนจะยังเจ้าของบ้านที่เป็นบอสของภารกิจครั้งนี้อีก เห็นได้ชัดจากพลังความแค้นที่พุ่งแรงเป็นน้ำท่อขนาดนี้ เจ้าบอสของที่นี่กำลังใกล้เข้ามาแล้วแน่นอนดังนั้นเมื่อมองจากสภาพปาร์ตี้ของผมตอนนี้….

          เด็กสาวน้อยหนึ่งคนที่สกิลพอยท์มีเยอะแต่ใช้สกิลยังไม่เป็นพร้อมมีดีบัฟจากไอ้พระเจ้าบ้านั่นอยู่เต็มสูบ ประกอบกับเหล่าอัศวินระดับสูงที่อัพ VIT มาเต็มเปี่ยมแต่ดันลืมอัพ INT มาด้วยจนสมองบินไปกับสายลม ถึงทั้งตัวพวกมันจะใส่โล่เกราะชั้นดีแต่อาวุธดันแหกเพราะบ้าจี้เอาน้ำกรดไปราด

          ไม่ว่าจะตะแคงดูยังไง ปาร์ตี้ล่าบอสครั้งนี้…..

          ล่มจมแน่นอน!

          “แค้นนนน แค้นเหลือเกิน….”

          นอกจากรูปร่างจะน่ากลัวแล้ว เจ้าพวกผีที่นี่ยังไม่วายทำเสียงประกอบฉากให้มันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม นั่นทำให้สติของผมที่กำลังจะพุ่งออกจากร่างนั้นตัดสินใจว่าต้องรีบ…..

          “แค้นนนนนนน”

          “กรี๊ดดดดดด”

          ผีมาแล้ว เผ่นนนนนนน

          สิ้นเสียงอันแสนเย็นยะเยือกสุดแสนจะสยองประดุจนั่งดูหนังผีในโรงหนังทำเอาผมที่กำลังจะตัดสินใจจัดการพวกมันด้วยเวทแสงนั้นสติกระเจิงจนลืมทุกอย่างก่อนพุ่งสติทั้งหมดไปที่เท้าจากนั้นจึงติดเกียร์หมาวิ่งแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

          ฮือออ จะอะไรก็ไม่สนแล้ว ใครจะว่ายังไงก็ช่างหัวมัน ผม…ผมต้องรีบออกไปจากที่นี่ ต้องออกไปจากไอ้บ้านผีสิงแบบนี้ให้….

          “แฮร่!”

          เสียงร้องที่ดังมาจากด้านข้างทำเอาผมที่สติกระเจิงอยู่แล้วนั้นกระเจิงยิ่งกว่าเก่า ด้วยสัญชาตญาณที่เหลืออยู่ผมจึงรีบคว้าอะไรก็ได้ที่มันใกล้มือที่สุดออกมา

          มันรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่ภายในภาชนะที่ผมหยิบออกมา โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมเปิดฝาขวดออกก่อนจะสะบัดไปมามั่วซั่วแบบไม่สนอะไรใครทั้งสิ้น ระหว่างสาดของเหลวที่ว่าก็ท่องบทสวดที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนออกมา

          “ฮรือออ ผีร้ายจงออกไป ความสงบจงเข้ามา ผีร้ายออกไป ออกไป”

          “นี่แน่!”

          ผมสาดสารมืดภายในขวดแบบไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหมใดๆ เพียงแค่เห็นปลายเงาของพวกผี ผมก็รีบสาดมันไปแบบไม่คิดอะไรทั้งนั้น

          “นี่…เจ้าผู้…”

          “ว้ากผี สาดโล๊ด!”

          ไม่สนใจรอให้พวกผีพูดจบ เพียงแค่ได้ยินเสียงเย็นๆของพวกผีร้ายดังออกมา ผมก็รีบสาดอัดใส่แบบไม่คิดทันที

          “ว้าก กำแพง…กำแพงพรุนหมด…..หยุดเถอะ”

          สาด

          “ฮรืออ. นายท่าน นายท่านต้องว่าเราแน่”

          สาด

          “น้ำนั่นมันน้ำ….น้ำบ้าอะไรกัน น่ากลัว น่ากลัวจังเลย”

          ไม่สน สาด!

           เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเหล่าผีดังขึ้นเมื่อน้ำในมือของผมพุ่งเข้าไปทางพวกมัน ซึ่งถึงผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่โจทก์ของผมมันเป็นผี ผมเลยคิดไม่มองเลยคงจะดีต่อชีวิตมากกว่า

          “พ่อจ๋าแม่จ๋า ช่วยหนูด้วย”

          คนพูดประโยคนั้นมันต้องเป็นผมไม่ใช่พวกแก

          ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมใช้มันเป็นอะไรแต่ว่าดูเหมือนมันจะใช้ได้ผลดีมากเลยทีเดียว ดีจนขนาดผียังร้องไห้

          ไหนดูสิ…..

          สิ่งที่ผมพอคว้าออกมานั้นมีรูปร่างลักษณะเป็นขวดแก้วกลมที่ข้างในบรรจุสารที่มีสีอันแสนคุ้นเคยเอาไว้…..

          เฮ้ย มันมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย!

          ใช่ สิ่งที่อยู่ในมือผมนั้นมันไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากเจ้าน้ำกรดสุดโหดที่ผมสร้างขึ้นมา แต่มันมาได้ยังไง ก็จำได้ว่ามันหล่น…..

          “ไม่ต้องห่วงนะครับท่านนักบุญ แค่วิญญาณร้ายเพิ่มมาไม่กี่ตัวไม่คนามือพวกเราหรอกครับ นี่ครับสิ่งจำเป็นสำหรับคุ้มครองท่าน”

          หน้าของหัวหน้าหน่วยอัศวินหน่วยที่สองลอยผ่านเข้ามาในหัวพร้อมกับฉากที่เขายัดอะไรบางอย่างใส่เข้ามาในกระเป๋าของผม ซึ่งเมื่อลองนึกดูดีๆแล้วมันก็เป็นขวดน้ำกรดที่ตกไปอยู่ในมือของพวกอัศวินเมื่อครู่นี้เองนี่นา เพราะงั้นสิ่งที่พวกผีมันกลัวก็คงไม่ใช่ของอื่นใดแต่เป็นเจ้าน้ำกรดนี่ ว่าแต่ทำไมล่ะ

          ถึงผมอยากจะรู้คำตอบ แต่เมื่อคำตอบมันดันอยู่ข้างๆกับผีกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้องไห้ระงมซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ภาพที่ชวนน่าดูก่อนทานอาหารแน่ ดังนั้นแล้วจ้างให้ก็ไม่มีวันหันไปหรอก

          เมื่อรู้ว่าของมันได้ผล ผมก็เลยสาดไปแบบไม่สนหัวสนหางใครมันทั้งนั้น ทุกครั้งที่สาดไปก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันแสนหวาดกลัวของพวกผี นี่มันสุดยอดจริงๆ!!!

          แต่เอาจริงๆนะ คือถึงจะรู้ว่าตอนนี้ผีมันกลัวผมก็เถอะ แต่ยังไงก็ยังรู้สึกสยองขวัญกับเสียงร้องไห้ฮือๆของพวกผีที่ดังไม่หยุดมาจากข้างหลังอยู่ดีนั่นล่ะ ว่าแต่ถามจริงตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ทำไมรู้สึกว่ารังสีความแค้นมันจะทวีคูณขึ้นทุกที

          ตอนนี้จากควันดำๆที่ฟุ้งกระจายไปมาแทบจะทวีความหนาแน่นจนจะกลายเป็นโคลนที่อาบพื้นบ้านอยู่แล้ว นี่เจ้าพวกด้านล่างมันต้องไประเบิดข้าวของจนเจ้าของบ้านโกรธแน่นอน…

          ข้าวของ?

          “ฮรืออออ….อ๊ะ นายท่าน…นายท่านพวกข้า…พวกข้า”

          น้ำเสียงของพวกผีทวีความหวาดกลัวขึ้นมาทุกทีเมื่อรังสีความแค้นนั้นล้นทะลักออกมาใกล้จนผมรู้สึกได้ว่ามัน…..

          อยู่จ่อก้นผมแล้ว!

          “บ้า…บ้านข้า! เหตุใดบ้านข้าถึงเป็นแบบนี้!”

          เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธทจนทำเอาของรอบๆสั่นไปมาเพราะแรงสั่นสะเทือนอันมหาศาลนั่น ด้วยน้ำเสียงและรังสีที่แผ่ออกมาทำให้ผมรู้สึกได้ถึงอันตรายมหาศาลที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ

          บอสออกมาแล้ว!

ใช่ ไอ้การเปิดตัวแบบนี้ ความอันตรายที่เยอะแบบนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากบอสของดันเจี้ยน….วิญญาณร้ายของเจ้าของบ้าน ท่านนักบวชชั้นเอลลาสที่เต็มไปด้วยความแค้นปรากฏกาย!

 ดังนั้นคงไม่เป็นการดีหากผมหันหลังให้กับอันตรายที่ว่านั่น….แม้ว่านั่นจะเป็นผีที่น่าสยดสยองแค่ไหนก็ตาม

ผมค่อยๆรวบรวมความกล้า ส่วนในมือก็กำเจ้าน้ำกรดซึ่งเป็นทางออกสุดท้ายของชีวิตไว้แน่นเผื่อว่ามันจะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายให้ผมพอได้ใช้

          ตัวของผมค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อแห่งความกลัวที่ไหลออกตามร่างกาย ถึงเหงื่อจะออกแบบนั้นแต่บรรยากาศตอนนี้มันช่างหนาวเหน็บราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ

          ฮรือออออ แม่จ๋าพ่อจ๋า ช่วยหนูด้วย จะใครก็ได้!

          และเมื่อหันไปสิ่งที่ผมพบก็คือวิญญาณขนาดใหญ่ของชายแก่ที่มีไอสีดำทมิฬลอยคลุ้งปกคลุมไปรอบตัว อีกทั้งวิญญาณของเขาที่ลอยไปมานั้นยังมีพร๊อพประกอบความสยองให้น่ากลัวขึ้นเป็นเลือดที่ไหลทะลักตรงกลางหน้าอกราวกับก๊อกน้ำแตกทำเอาเสื้อผ้าของนักบวชชั้นสูงที่ควรเป็นสีขาวถูกย้อมไปด้วยสีแดงโลหิต ส่งให้ความน่ากลัวทวีคูณขึ้นไปไม่รู้กี่ร้อยเท่า

          และถ้าหากแค่นั้นยังไม่พอ มาดูสิ่งประกอบที่ทำให้ชีวิตของผมน่าจะสั้นลงกว่าเดิมคือผลงานที่ผมทิ้งเอาไว้เมื่อครู่

          กำแพงบ้านสีขาวที่ถึงแม้จะเริ่มผุพังไปตามการเวลาแต่ก็ยังมีทิ้งร่องรอยความสวยงามของมันเอาไว้อย่างลวดลายอันงดงามที่วาดประดับประดาเอาไว้สมเป็นบ้านของนักบวชชั้นสูง หรือจะรูปภาพข้าวของเฟอร์นิเจอร์ที่วางเรียงรายเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ……

          ซึ่งไอ้สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั้น…..

          มันกลายเป็นปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว!

          ไอ้กำแพงสวยงามที่ว่ามานั้นตอนนี้กลายเป็นรูโบ๋วขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากที่ยังจะขยายความกว้างของมันออกไปเรื่อยๆ

          ส่วนไอ้เฟอร์นิเจอร์และรูปภาพที่จัดวางเป็นระเบียบตอนนี้สภาพของมันเปลี่ยนไปจนแทบจำหน้าตาเดิมไม่ได้หรือถ้าพูดกันตามตรง เจ้าของพวกนั้นตอนนี้กลายเป็นแค่ของเหลวที่กองอยู่ตรงพื้น ส่วนบางอันที่โชคร้ายก็ไม่เหลือแม้แต่เศษซากให้จดจำ…..

          ไอ้น้ำกรดนี่มันแรงเกินไปไหม!

          แถมหนักกว่านั้น หากใครบอกภาพมันยังดูไม่อนาจพอ ขอให้ดูตามมุมของห้องที่ตอนนี้ประดับไปด้วยเหล่าผีน้อยใหญ่ที่กำลังกอดกันตัวสั่นอย่างหวาดกลัว บางตนถึงขั้นสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้ามาช่วยตัวเองให้ปลอดภัย

          เฮ้ย นี่พวกแกเป็นผีนะ พวกแกจะมากลัวจนขอให้พระเจ้าที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามมาช่วยเพราะแค่น้ำกรดขวดเดียวไม่ได้!

          นี่ผมจำได้ว่าผมแค่สลัดไปเป็นหยดๆเองนะ….ถึงบางรอบจะมีแถมเล็กแถมน้อยก็เถอะ แต่นี่มันละลายยังกับผมขนรถบรรทุกน้ำกรดต่อสายยางเดินวิ่งฉีดไปทั่วบ้านมากกว่า แรงเกินไปแล้ว!

          ตอนแรกคิดว่าจะสู้หรือคุยเจรจา แต่พอเห็นภาพแบบนี้แล้วไม่ต้องถามเลยว่าสภาพจะเป็นไง…

          พรึ่บ

          ขาอ่อนสิ…ฮือ งานนี้ผมต้องโดนเอาหัวยัดโถส้วมตายแบบไม่ต้องสืบแน่นอน ผีแค้นเพราะโดนบุกรุกบ้านจนตายแถมพอตื่นมาเจอคนเล่นทำบ้านพรุนเป็นรังผึ้งแบบนี้ ไม่ต้องถามเลย…….

          ชะตาผมขาดแล้ว

          อา ท่านพระเจ้าแห่งขนมหวาน หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ผมเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยขนมหวานแสนอร่อย มีบ้านเป็นขนมเค้ก มีเพื่อนเป็นคุกกี้เดินได้ มีน้องหมาเป็นขนมปัง มีแม่น้ำเป็นน้ำอัดลม…

          “แม่หนู แม่หนู….”

          เสียงแหบคล้ายเสียงของคนแก่ดังขึ้นมาด้วยโทนเสียงนุ่มนวล นี่ต้องเป็นเสียงของท่านพระเจ้าแห่งขนมหวานแน่นอน เหมือนว่าท่านจะมารับผมไปแล้วสินะ ไปสู่โลกแห่งความอร่อย ไม่มีอดอยาก ไม่ต้องทำงาน วันๆสามารถนอนอืดกินอะไรก็ได้

          “แม่หนู ตื่นก่อนนนนน”

          ด้วยเสียงตะโกนที่ดังจนบ้านแตก ทำเอาสติของผมที่จะลอยไปหาเทพแห่งขนมหวานกลับมาสู่ร่างอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นมันโคตรจะ….เอ่อ บอกไม่ถูก

          ตรงหน้าของผมนั้นคือวิญญาณนักบวชที่คั่งแค้น ทว่าสีหน้าของเขาที่จ้องมาที่ผมนั้นหาได้มีความแค้นเหมือนก่อนไม่ กลับเป็นดวงตาอันแสนอ่อนโยนของชายแก่? ที่จ้องหลานสาวผู้น่ารัก พร้อมกันมือที่เป็นสีจางๆก็ค่อยๆยื่นมาลูบยาวสวยของออโรร่าน้อยอย่างช้าๆ

          นี่มันอะไรกันเนี่ย!?

          “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะสาวน้อย พวกผีบ้าพวกนี้คงจะทำให้เจ้ากลัวสินะ…ไม่สิๆตัวข้ามันก็น่ากลัวเหมือนกัน ..แย่แล้วๆ นี่ข้ากำลังทำให้เด็กกลัว นี่ข้ากำลังทำให้สาวน้อยแสนน่ารักกลัว ไม่ได้ ไม่ได้ มันต้องไม่เป็นแบบนี้”

          ชายแก่ในมาดของผีร้ายได้หายไป ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าผมกลับเป็นผีบ้าที่เริ่มบ่นกับตัวเองไปมาราวกับเขากำลังสับสนอะไรบางอย่างในชีวิต พร้อมกันนั้นคำพูดที่เขาพูดออกมา ทำไมผมฟังแล้วรู้สึกโคตรจะไม่น่าไว้วางใจ มันรู้สึกแปลกๆอยู่พอควร

          “ไม่ๆ ไม่ใช่ข้า สาวน้อยน่ารักคนนี้ไม่ได้กลัวเพราะข้า ต้องเป็นพวกมัน ต้องเป็นเจ้าพวกผีโง่ๆพวกนี้ เพราะงั้น ไปให้พ้นนะ!”

          เหมือนได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างในตัวเอง เจ้าผีนักบวชคนนี้ได้หันหลังกลับไปก่อนจะแผ่รัศมีอันแสนน่ากลัวกลับมาแล้วพุ่งตรงไปยังพวกผีลูกน้องที่น่าสงสารเพื่อไล่พวกนั้นออกไปโดยไม่คิดแม้แต่จะโทษตัวเองที่ไม่ว่าตะแคงดูด้านไหนมันก็น่ากลัวกว่าพวกผีน่าสงสารที่กำลังสั่นกลัวไปด้วยน้ำกรดของผมอยู่เห็นๆ

          “รับทราบครับ นายท่าน!”

          เหล่าผีลูกน้องก็ช่างภักดี พวกเขานั้นรีบกระโจนออกจากทางเดินกันทันทีที่ได้รับคำสั่ง ปล่อยให้ผมอยู่กับเจ้าบอสตัวเอ้นี่คนเดียว

          เมื่อพวกลูกน้องหายไปหมด รังสีอาฆาตร้ายก็สลายหายไปพร้อมๆกันกับที่บอสของบ้านได้หันกลับมาด้วยหน้าตายิ้มแสนใจดี ซึ่งอาจดูน่าเชื่อถือหากร่างของเขาไม่ได้ถูกประดับไปด้วยเสื้อที่ยังมีเลือดหยดอยู่ตลอดเวลา เพราะงั้นเมื่อเอามารวมกันแล้วมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกฆาตกรโรคจิตจ้องมองนั่นล่ะ

          ฮือออ น่ากลัวโคตร น่ากลัวจนรู้สึกว่าพวกผีเมื่อกี้ดูน่ารักไปเลยง่ะ

          “โอ๋ๆ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วนะ สาวน้อยแสนน่ารัก”

          เสียงอันแสนอ่อนโยนนี้ที่เขาพูดมาก็เช่นกัน พอมาประกอบเข้ากับบรรยากาศแล้ว ออโรร่าทรานสเลเตอร์ของผมก็แปลได้ว่า

          “หึๆ ไม่ต้องกลัวแล้วนะไอ้เด็กเปรต แค่นี้ข้าก็ได้ล้างแค้น ฆ่าแกหมดส้วมแบบไม่มีใครขวางแล้ว”

          ด้วยสติที่กระเจิงไปแล้วของผมทำให้ผมแปลผลคำพูดของเขาได้ออกมาประมาณนั้น ร่างกายของผมจึงเริ่มถูกความกลัวเข้าครอบงำจนเริ่มรู้สึกว่าแขนขามันอ่อนแรงประดุจมีใครเอายาชามาฉีดใส่

          “ฮือ…ฮือออ อย่าทำอะไรหนูเลยค่ะ หนู…หนูผิดไปแล้ว”

          “หนูไม่ผิด หนูไม่ผิดหรอก”

          ผีเจ้าของบ้านพยายามปลอบผมด้วยการลูบหัวไปมา ทว่านั่นไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้นมาเลยสักนิด เวลามือของเจ้าผีนี่ผ่านนั้นมันโครตจะเสียวเหมือนมีใครเอาน้ำแข็งมาเทใส่ก็ไม่ปาน

          “เด็กน้อย ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรในบ้านนี้ข้าก็ไม่ว่าอันใดหรอก ว่าแต่เจ้ารู้ไหมว่าใครมันมาทำบ้านข้าเป็นรูแบบนี้”

          อ๊ะ….เหมือนผมจะเห็นทางรอด

          ใช่ พอได้ยินสิ่งที่ผีตรงหน้าตนนี้พูดก็ทำให้ผมตรัสรู้ว่า ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงตัวการใหญ่ที่ทำให้บ้านเขาพรุนประดุจรังผึ้ง ดังนั้นนี่จึงไปโอกาสรอดของผมที่ทำไงก็ได้ให้เขาไม่รู้ว่าเป็นผม ไม่งั้นผมได้ระเบิดเป็นโกโก้ครั้นแน่

          “คือว่า….”

          “นางเป็นคนทำครับ!”

          ไม่รู้ว่าดวงซวยหรือว่ามีบุญแต่กรรมดันมาบังมิด ทั้งๆที่โอกาสรอดกำลังมา ทว่าไอ้ผีลูกน้องที่มันควรจะหายไปตั้งแต่โดนไล่ กลับมาแสดงความกตัญญูให้กับหัวหน้าด้วยการชี้ตัวคนผิดหรือนั่นก็คือ…

          ผม!

          ใช่ ไอ้ผีนี่มันชี้ว่าผมเป็นคนทำให้กับบอสใหญ่ของมันและไม่ต้องถามเลยนะว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชะตาชีวิตของผมขาดแบบไม่เหลือทางรอดแล้ว

          บรึ้มมมม

          รังสีอันแสนน่ากลัวได้ระเบิดแผ่กระจายออกมาจากทั่วร่างวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน นั่นทำให้ผมรู้แล้วว่าผม…..บอกลาโลกอันแสนโหดร้ายนี้ได้เลย

          อา ท่านเทพขนมหวานเหมือนผมจะเห็นท่านอยู่ที่ปลายทางแล้วสินะ

          ตุบ

          …..

          คล้ายเหมือนมีเสียงบางสิ่งกระแทกกับของแข็งจนดังลั่น ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นหัวของผมที่ถูกตบกระเด็นจนอัดติดฝากำแพง แต่ไม่ใช่ กลับเป็นร่างวิญญาณของผีลูกน้องผู้แสนภักดีต่างหากที่ติดกำแพง

          อ้าว..ไหงงั้น?

          “บัดซบ นี่แกบังอาจมากล่าวหาเด็กน้อยผู้แสนน่ารักคนนี้ได้อย่างไร มีความละอายบ้างไหม!?”

          “แต่เป็นนาง…เป็นนางจริงๆ”

          ตุบ

          “นี่แกยังไม่เลิกอีกงั้นเรอะ เด็กสาวน้อยแบบนี้จะทำแบบนั้นได้เช่นไร รู้ไหมหากสาวน้อยผู้นี้รู้ว่าตัวเองถูกกล่าวหาแล้วจะเป็นเช่นไร อา ไม่ดีเลยๆ พอต้องมานึกว่าใบหน้าที่สดใสดั่งทานตะวันแรกแย้มแบบนี้ต้องมาหม่นหมองด้วยการใส่ความของเจ้าแล้ว……..มันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก”

          ไม่พอแค่นั้น ไม่รู้ว่าผีนักบวชชั้นสูงคนนี้เก็บกดมาขนาดไหนถึงได้หงุดหงิดอย่างกับเด็กเก็บกดแล้วเอาอารมณ์ไประบายกับลูกน้องซะขนาดนั้น

แล้วไอ้ความที่พูดมานั่นมันอะไรกัน ผมรู้สึกชักทะแม่งๆ

“อา ผมสีขาวที่นุ่มสวยต้องมาถูกฝุ่นที่พวกแกไม่ยอมปัดกวาดมานานปีเปื้อนแบบนี้ช่างน่าเศร้าใจนัก ผิวนวลขาวแห่งวัยแรกแย้มต้องมาเปรอะเปื้อนด้วยเศษไม้เก่าๆที่พวกแกไม่ยอมเก็บกวาด ช่างน่าเศร้าใจนัก ไหนยังดวงตากลมสวยที่พวกแกทำให้เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาอีก…เจ้ากำลังทำลายความยุติธรรมแห่งโลกใบนี้”

ฉากบ่นและทำร้ายลูกน้องที่ชักเริ่มโหดเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนผมที่ตอนแรกกลัวนั้นกลับถูกปกคลุมไปด้วยควานงุนงงว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมา แล้วไหนจะยังไอ้ความรู้สึกแปลกๆกับคำพูดของเจ้านักบวชคนนี้ มันช่างรู้สึกแปลกประหลาดปนสยอง

          นุ่มนวล  วัยแรกแย้ม?  ความยุติธรรม?…..ประโยคแบบนี้มันแปลกๆ ไม่ว่าจะฟังยังไงมันก็ชี้นำไปทางเดียว….ใช่ แต่ว่าโลกแบบนี้ไม่น่าจะ….หรือว่าได้

          “สาวน้อยคือความยุติธรรม!”

          ไม่ทันที่ผมจะได้ข้อสรุป ข้อสรุปมันก็ดันมาหาผมเอง เมื่อเจ้านักบวชตรงหน้าตะโกนประกาศตัวเองออกมาซะดังลั่นโดยไม่เกรงอกเกรงใจยศที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อน

          ใช่ ไม่ผิดแน่ กับเจ้าผีตนนี้ที่บอกว่าสาวน้อยก็คือความยุติธรรม มันต้องไม่เป็นสิ่งอื่นใดนอกจาก……..โลลิคอน!

          นี่ผมไม่ได้มาเจอกับผีนักบวชแต่เป็นผีหมีนี่หว่า!

          “หึ รู้ตัวไว้ซะว่าเด็กสาวที่น่ารักและบริสุทธิ์ไม่มีทางทำอะไรชั่วร้ายแบบนั้นหรอก…จริงไหมสาวน้อย”

          ในเมื่ออีกฝ่ายส่งทางรอดมาให้ผมกับมือเองแบบนี้ หากไม่รับคงเสียมรรยาทและเสียชีวิต เพราะงั้น…

          “ค่ะ เป็นแบบนั้นเลยค่ะ! ด้วยบารมีแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้หนูเห็นท่านและความจริงที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆค่ะ”

          นานๆ ครั้งผมถึงจะขอบคุณเจ้าพระเจ้าที่ให้คำสาปบ้าๆนี่มา เพราะผลของมันทำให้ผลลัพธ์เป็นไปในแนวทางที่ดีจริงๆ

          “เห็นไหมพวกงั่ง สาวน้อยที่พูดจาด้วยจิตใจบริสุทธิ์เช่นนี้จะทำเรื่องที่พวกเจ้ากล่าวหาได้เช่นไร เพราะงั้นสาวน้อยเอ๋ย บอกข้ามาเถอะว่าผู้ใดเป็นผู้ระเบิดบ้านข้าคนนี้”

          ถามมาแบบนี้ ออโรร่าคนนี้ก็พร้อมที่จะปาขี้…..เอ้ยบอกความจริงให้รู้เพื่อช่วยเหลือตัวเอง…เอ้ยท่านนักบวชผู้นี้

          “ค่ะ พวกผีที่ใส่หน้ากากเป็นคนทำค่ะ!”

          “ได้ งั้นลูกน้องข้าทั้งหลาย ไปเตะก้นไอ้พวกชั่วที่ทำลายบ้านข้ากัน”

          ผีลูกน้องรับคำก่อนจะกระจายตัวออกไป ผมที่เห็นแบบนั้นก็แอบแสยะยิ้มอย่างชั่ว….เอ่อ งดงามน่ารักสดใสให้กับความจริงที่ปรากฎ…ละมั้ง

          ว่าแต่ไหนๆผีตัวนี้ก็เป็นผีหมี เพราะงั้นลองใส่ไฟเล่นๆดูดีกว่า

          “คือท่านนักบวชคะ ที่หนูร้องไห้ไม่ใช่เพราะพวกท่านหรอกค่ะแต่เป็นพวกนั้นต่างหากที่มาทำร้ายหนูจนหนูต้องหนีจากพี่ๆอัศวินที่ปกป้องหนูเพราะงั้น….ช่วยหนูด้วยนะคะ”

          นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำอะไรบ้าๆแบบนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยของชีวิตดังนั้นจะเล่นนอกกรอบไปบ้างก็ช่างมันเถอะ ใส่ไฟอีกนิดอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป!

          “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว….ไอ้ลูกสมุน ไปเจี๋ยนพวกมันทุกคนแล้วเอาไปเสียบประจานหน้าบ้านข้ารายตัวซะ”

          จบแล้วกับหนึ่งตอนที่ห่างหายไปนาน หลังกาวขนานหนักก็มาผ่อนปนกับรังสีหมีแสนน่ารักซะหน่อยนะครับ

          ป.ล.จะพยายามลงเรื่อยๆคู่กับเทพแสงนะครับผม