ตอนที่ 18 อิจฉาหู่จือจริง ๆ
ตอนที่ 18 อิจฉาหู่จือจริง ๆ
หลินเซี่ยชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยืนด้านข้างเฉินเจียเหอในรูปถ่าย ถามหู่จือว่า “คนนี้คือใคร? เธอรู้จักเขาไหม?”
“นี่คือคุณอาจวิ้นเฟิง”
“เธอเคยพบคนในรูปเหล่านี้ทั้งหมดเลยหรือ?”
หู่จือส่ายหัว “ไม่ทั้งหมด ผมไม่เคยเจอสองคนที่อยู่ตรงกลางภาพเลย”
หู่จือชี้ไปยังชายสองคนที่นั่งตรงกลางภาพ ก่อนหันไปถามเฉินเจียเหอว่า “พ่อ ทำไมคุณอาสองคนนี้ถึงไม่เคยมาบ้านของเราเลยล่ะ?”
“พวกเขาค่อนข้างยุ่งน่ะ”
หลินเซี่ยมองบุคคลในภาพถ่าย จากนั้นมองหู่จือ คล้ายกับเธอรับรู้อะไรบางอย่าง จึงพลิกอัลบั้มและพูดว่า “เอาเถอะ เรามาดูรูปที่เหลือกันดีกว่า”
ทั้งสองพลิกดูหน้าต่าง ๆ อีกครั้ง ซึ่งมีรูปถ่ายของเฉินเจียเหอและเพื่อนของเขาทั้งหมด
พวกเขาล้วนอยู่ในช่วงโตเต็มวัย แต่ละคนดูรูปร่างสูงใหญ่และหล่อเหลา ทั้งยังดูมีพลังมาก
แม้จะเห็นได้ว่าสภาพแวดล้อมการทำงานบนทางรถไฟนั้นยากลำบาก แต่รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของพวกเขาราวกับติดต่อถึงกันและกันได้
คนกลุ่มนี้เคยอุทิศความเยาว์วัยและหยาดเหงื่อให้กับทางรถไฟ และบางคนถึงกับอุทิศชีวิตของพวกเขาด้วยซ้ำ
“หู่จือ เธอมีพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรการรถไฟถือว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจมากเลย เธอควรเรียนรู้จากพ่อและมีส่วนร่วมในการสร้างมาตุภูมิเมื่อเธอโตขึ้นนะ”
“แน่นอน ผมตั้งใจไว้แล้ว พอโตขึ้น ผมอยากเป็นวิศวกรการรถไฟและช่วยสร้างทางรถไฟด้วย”
เฉินเจียเหอซึ่งกำลังหันหลังอ่านหนังสือพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ไม่มีวิศวกรการรถไฟอีกต่อไปแล้ว มีเพียงคนงานการรถไฟเท่านั้น”
หู่จือเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นคนงานการรถไฟ หลังจากสร้างทางรถไฟแล้ว ผมจะสร้างรถไฟให้ได้เหมือนพ่อ”
หู่จือพูดอย่างฮึกเหิม ขณะที่บรรยากาศในกระท่อมหลังน้อยมีชีวิตชีวาและอบอุ่น
เด็กน้อยมักหลับเร็ว หนึ่งวินาทีที่แล้วพวกเขายังคิดถึงอนาคตอย่างตื่นเต้น แต่วินาทีต่อมาพวกเขากลับผล็อยหลับไปแล้ว
หลังจากหู่จือหลับไป ทั้งสองก็นิ่งเงียบตลอดเวลา หลินเซี่ยปิดอัลบั้มรูปแล้วส่งคืนให้เฉินเจียเหอ
เธอมองดูชายหนุ่มที่ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นมานอนบนเตียงเตา ด้วยกลัวว่าเขาจะออกไปนอนที่อื่นเหมือนเมื่อสองคืนที่ผ่านมา เธอจึงอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า
“เอ่อ… คุณเองก็ควรเข้านอนเร็วเหมือนกัน”
“ก่อนหน้าฉันจุกจิกเกินไป และจิตใจยังไม่พร้อมหลังจากแต่งงาน อย่าถือสาฉันเลยนะ จากนี้มานอนเตียงเตาด้วยกันเถอะ ฉันปูผ้าไว้ให้แล้ว”
เฉินเจียเหอมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าและมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายสดใส ลูกกระเดือกของเขาขยับเล็กน้อยขณะพยักหน้ารับ “อืม คุณไปนอนก่อนเถอะ ผมจะเข้านอนหลังจากอ่านเสร็จแล้ว”
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่ามีพิมพ์เขียวและหนังสืออยู่บนโต๊ะที่เธอไม่เข้าใจ
เธอขึ้นไปบนเตียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเจียเหอก็บิดขี้เกียจ ถอดเสื้อผ้าออก และขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา เขามองดูผ้าห่มที่หลินเซี่ยเตรียมไว้ให้ รอยยิ้มบางพลันปรากฏที่มุมปาก
หลังจากปิดไฟ เขานอนหนุนแขนตัวเองขณะที่ไม่รู้สึกง่วงนอน ในค่ำคืนที่มืดมิด เสียงลมหายใจทั้งสองดังมาจากด้านข้าง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างท่วมท้นจากภายใน
หลินเซี่ยกำลังนอนหลับสบาย ผ้าห่มนวมอุ่น ๆ ช่างเหมาะกับฤดูหนาวมากที่สุด
เธอกำลังพลิกตัว จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงศีรษะเล็กซุกอยู่ตรงหน้าอก พร้อมมือเล็กที่กอดเอวเธอไว้
เธอยังคงมึนงงเล็กน้อย หลังขยี้ตาและลืมตามองดูก็เห็นเด็กน้อยนอนทับอกตนไว้ จนสมองของเธอใช้เวลาสักครู่ในการประมวลผลความจริงที่ว่าเธอกลับมาเกิดใหม่
เจ้าเด็กตัวร้ายปฏิบัติต่อเธอเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายยามเมื่อตื่น แต่เขากลับกอดเธอไว้แน่นยามหลับใหล
รอยยิ้มเล็กจึงปรากฏบนริมฝีปากของเธอ
เธอไม่ได้ผลักเขาออกไป แต่กลับตบหลังเขาเบา ๆ และกลับไปนอนต่อโดยโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
ในเวลานี้เป็นช่วงเช้าตรู่ แสงแดดอ่อนส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ภายในห้องสว่างไสว
เฉินเจียเหอตื่นขึ้นมาเมื่อหลินเซี่ยขยับตัว เขาจึงได้เห็นท่านอนของหู่จืออย่างชัดเจน
เจ้าเด็กคนนี้มักนอนดิ้นตอนที่หลับ
เด็กน้อยชอบเผลอเอาเท้าพาดหัวเขาขณะหลับ
บางครั้งก็กระโจนเข้าใส่และนอนกอดเขา
เมื่อคืนที่เขานอนหลับสบาย ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เขากลัวว่าหลินเซี่ยจะโกรธ ดังนั้นจึงอยากดึงหู่จือออกมา
ทว่าหลินเซี่ยกลับไม่มีท่าทางโกรธเลย เธอโอบอุ้มหู่จือไว้ในอ้อมแขนพลางตบหลังเขาเบา ๆ
หัวใจของเฉินเจียเหอยามนี้อ่อนยวบลงเช่นเดียวกัน
เป็นความโล่งใจ และยังมีความอิจฉาอยู่ด้วย
เขาอิจฉาหู่จือจริง ๆ
ปกติเขาจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปตักน้ำ แต่หากเขาไม่ไป คุณปู่จะไปแทน
แม้จะรู้สึกโลภในช่วงเวลาที่มีความสุขและแสนอบอุ่นนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นมา
เขากลัวจะรบกวนพวกเขา จึงลงจากเตียงเตาเงียบงันและแต่งตัว
ก่อนออกไปข้างนอก เขาหยิบหนังสติ๊กของหู่จือออกจากกระเป๋ากางเกง และค่อย ๆ วางลงด้านข้างหมอนของหลินเซี่ย
“แม่…”
หลินเซี่ยกอดหู่จือกระทั่งเผลอหลับไปอีกครั้ง ขณะกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอได้ยินเสียงคนที่อยู่ในอ้อมแขนพึมพำอะไรบางอย่าง
เธอลืมตาขึ้นมอง ก่อนที่คนในอ้อมแขนจะพูดต่อขณะยังหลับอยู่ “กอดของแม่อบอุ่นมากเลย”
เด็กคนนี้ฝันถึงแม่ของเขาหรือเปล่า? แล้วก็คิดว่าเธอเป็นแม่ของเขา?
หลินเซี่ยรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงปีศาจที่เธอเลี้ยงมาในชีวิตที่แล้ว
หลินเจียชอบนอนกอดเธอแบบนี้เหมือนกันตอนที่ยังเล็กอยู่
หล่อนมักจะพูดว่า อ้อมแขนของแม่อบอุ่นและอ่อนนุ่มมาก
แต่ท้ายที่สุด เด็กคนนั้นกลับถอดหน้ากากออกซิเจนของเธอออก
หากเธอไม่รู้ว่าหู่จือจะเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่มีเหตุผลและอบอุ่น เธออาจเผลอสร้างบาดแผลในใจของเด็กน้อยไปแล้ว
หู่จือกำลังฝันหวาน แต่แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยการปวดปัสสาวะ
แต่อ้อมกอดของแม่ยังไม่หายไป
เขาขยี้ตาและในที่สุดก็มองเห็น “แม่” ที่โอบกอดเขาอยู่ได้อย่างชัดเจน
“เอ๊ะ…”
เขาผลักเธอออกและกลิ้งไปยังกลางเตียงเตา โดยเว้นระยะห่างกับเธอราวแปดฟุต
ใบหน้าเล็กของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับก้นเด็ก
เขาทำหน้าบูดบึ้งและถามด้วยความโกรธว่า “คุณมากอดผมทำไม?”
หลินเซี่ยผายมือออกและตอบกลับไปว่า “เธอกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนฉันเองไม่ใช่หรือไง? ก็แค่ผลักออกไปไม่ได้ เธอยังเรียกฉันว่าแม่และบอกว่าอ้อมแขนฉันอบอุ่นอยู่เลย”
“ผม…”
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าฝันถึงแม่ พอแม่บอกว่าอยากกอด เขาก็กระโจนเข้าไปหาทันที
หู่จื่อหน้าแดงก่ำ เขาเขินอายเกินกว่าจะต้องเผชิญหน้ากับหลินเซี่ย จึงรีบลุกออกจากเตียง
หลินเซี่ยเห็นว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอกโดยไม่สวมเสื้อผ้ากันหนาว จึงรีบถามว่า “เธอจะไปไหน?”
“ชิ้งฉ่อง”
“ใส่เสื้อไปด้วยสิ”
หลินเซี่ยหยิบเสื้อนวมพาดไว้บนหลังของเขา
หลังจากที่หู่จือปัสสาวะเสร็จ เดิมทีเขาต้องการไปที่ห้องหลัก แต่เนื่องจากไม่ได้สวมกางเกงนวม และกลัวว่าโจวลี่หรงจะดุ เขาจึงเดินกลับไปที่ห้องตะวันตกอย่างไม่เร่งรีบ
หลินเซี่ยสวมเสื้อผ้าของเธอแล้วและกำลังพับผ้าห่ม เมื่อเธอเห็นหู่จือเดินมา ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้างนอกหนาวจะตาย รีบเข้ามาสิ”
หู่จือหลบสายตา เขาอายเกินกว่าจะมองเธอ
“เจ้าเด็กนี่ มัวเขินอายอะไรอยู่?”
ถ้าไม่เอ่ยถึงก็คงไม่เป็นไร แต่พอได้ยินแบบนั้น หูทั้งสองของหู่จือก็กลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอาย
“เธอดูสิว่านี่คืออะไร?” ทันใดนั้นหลินเซี่ยหยิบหนังสติ๊กของเขาออกมาและนำมันยื่นให้ตรงหน้า
“นี่มัน!”
ดวงตาของหู่จือพลันเปล่งประกาย “คุณเอาหนังสติ๊กคืนมาจากพ่อแล้วจริง ๆ เหรอ?”
ดวงตาหลินเซี่ยวูบไหว เธอเอียงคอพลางกล่าวคำ “ใช่แล้ว ฉันเก่งมากใช่ไหมล่ะ? ฉันทำตามที่พูดแล้วนะ”
หู่จือรับหนังสติ๊กกลับมาและลืมความเขินอายก่อนหน้าทันที เขาดึงหนังสติ๊กด้วยความสนุกจนวางไม่ลง “ข้างนอกหิมะตก ผมจะไปล่ากระต่ายกับลุงเอ้อร์เลิ่ง เขาบอกว่าถ้าหิมะตกจะทำให้จับกระต่ายได้ง่ายขึ้น”
“หยุดวิ่งตามเอ้อร์เลิ่งแล้วขึ้นไปบนเตียงเร็วเข้า”
หลินเซี่ยไม่ปล่อยเขาไป แต่เด็กก็ไม่สามารถอยู่บนเตียงเตาได้ตลอดเวลา
หูจื่อรีบสวมเสื้อผ้าและกำลังตั้งท่าจะวิ่งออกไป
“รอตอนเที่ยงที่อากาศอุ่นก่อนค่อยออกไป” หลินเซี่ยจับเขาไว้ เทน้ำร้อนจากกระติกน้ำ ล้างหน้าและหวีผม จากนั้นจึงตรงไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร
เมื่อมาถึงลานบ้าน เธอเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับโถปัสสาวะในมือ
ช้าก่อน ทำไมโถปัสสาวะในมืออันนั้นถึงดูคุ้นตานัก?
เมื่อหลินเซี่ยสังเกตเห็นตัวอักษรมงคลสีแดงบนอ่าง อารมณ์ของเธอพลันขุ่นมัวทันที
นี่… มันอ่างล้างหน้าสินสอดของเธอไม่ใช่หรือไง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ็นดูน้องจังเลย เวลาน้องเผลอก็น่ารักดีนะ
ยัยคนแซ่เสิ่นจะหาเรื่องอะไรอีก อยากผมหลุดอีกกระจุกเหรอคะ
ไหหม่า(海馬)