ตอนที่ 16 วิวาห์ในฝัน

ฉินโจวเข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์เพลงมาก หลินเยวียนสำรองเพลงไว้กับบริษัทก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอะไรอีก

วันต่อมา หลินเยวียนกลับมาใช้ชีวิตในรั้ววิทยาลัยดังเดิม

ทว่าช่วงเช้าวันนี้สาขาการประพันธ์เพลงมีเรียนเพียงวิชาเดียว เลิกเรียนแล้วก็ยังเช้าอยู่ เพื่อนในคลาสก็ล้วนทยอยกันกลับหอไปเล่นเกม

หลินเยวียนยังไม่คิดจะกลับ

เมื่อไม่มีแรงกดดันจากการสอบ ถึงแม้เขาจะยังตั้งใจเรียนดังเคย แต่ในช่วงเวลาว่างจากการเรียนเขาก็ผ่อนคลายลงแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยเวลาอันมีค่าทิ้งไปในหอพัก

แล้วช่วงเวลาว่างควรทำอะไรดีล่ะ

หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะส่งข้อความถามเจี่ยนอี้และซย่าฝานว่าพวกเขามีเวลาออกมาไหม ผลก็คือถูกปฏิเสธ

ทั้งสองยังมีเรียน

แม้ว่าจะเรียนวิทยาลัยเดียวกัน หลินเยวียน เจี่ยนอี้ และซย่าฝานตัวติดกันเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะทั้งสามนั้นเรียนคนละสาขากัน เวลาส่วนมากจึงมักไม่เจอหน้ากัน

หลินเยวียนก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด

เพราะว่าเขานึกเรื่องที่จะไปทำออกแล้ว

นั่นก็คือไปเล่นเปียโนที่ห้องเปียโน

ระบบให้ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญเป็นรางวัลกับหลินเยวียน เขายังไม่ได้ลองเลย

พอดีกับที่เพลง ‘ปลายักษ์’ ใช้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีหลักในการเรียบเรียง ฉะนั้นหลินเยวียนจึงอยากลองฝีมือเปียโนในตอนนี้ของตนเองสักหน่อย ถ้าเข้าที เขาคิดถึงขั้นว่าจะเรียบเรียงเพลงส่วนที่เป็นเปียโนด้วยตนเอง

……

สิบนาทีให้หลัง

หลินเยวียนก็มาถึงห้องเปียโน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะผู้เป็นเลิศด้านดนตรี ดังนั้นจึงมีห้องเปียโนสาธารณะมากมายซึ่งเปิดให้นักศึกษาใช้ในระยะยาว ถึงขั้นที่แต่ละห้องจะมีเปียโนซึ่งยี่ห้อแตกต่างกัน มีทั้งอัปไรต์เปียโนและแกรนด์เปียโนพร้อมสรรพ เพื่อให้นักศึกษาได้เลือกใช้กันตามสบาย

และนี่นับว่าสะดวกสบายมากสำหรับหลินเยวียน

เพราะในเวลานี้นักศึกษาส่วนใหญ่กำลังมีเรียน ห้องเปียโนจึงว่างอยู่ไม่น้อย เขาจึงมีตัวเลือกถมเถไป

เดินไปตามระเบียงทางเดินยาวหน้าห้องเปียโน

หลินเยวียนพบเป้าหมายที่ตนต้องการที่ห้องเปียโนสุดทางเดิน

นี่เป็นอัปไรต์เปียโนคลาสสิกตัวหนึ่ง คีย์บอร์ดเปียโนทำจากวัสดุคุณภาพดีราคาแพง กระเบื้องเคลือบสวยโดดเด่น โครงสร้างประณีตโฉบเฉี่ยว เห็นได้ชัดว่าเหนือระดับกว่าเปียโนในห้องอื่นๆ!

ที่นี่แหละ

หลินเยวียนเข้าไปในห้อง นั่งลงหน้าเปียโน ลงมือบรรเลงบทเพลงคลาสสิกในความทรงจำของเจ้าของร่าง ‘ใจปรารถนา’

ที่เล่นเพลงนี้ได้ จุดสำคัญก็เพราะเขาหวนคิดถึงมัน

นี่เป็นเพลงเปียโนเพลงแรกที่แม่สอนเขาเล่น เขาเคยถูกโน้ตเพลงทรมานจนแทบเป็นบ้า

ทว่าวันนี้ที่กลับมาเล่นอีกครั้ง หลินเยวียนรู้สึกคุ้นเคยทีเดียว

น่าจะเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่าง

แต่ก็เป็นความรู้สึกของหลินเยวียนในตอนนี้ด้วย

และนอกเหนือจากความคุ้นเคย ความรู้สึกที่หลินเยวียนสัมผัสได้มากที่สุดก็คือ เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!

ทุกครั้งที่กดลงบนคีย์บอร์ดเปียโนในตอนนี้ เขารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นตามจังหวะเพลงหรือเทคนิคต่างๆ ก็ล้วนออกมาจากใจของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

ในความทรงจำ

ปัญหาในการบรรเลงเพลงมากมายที่เจ้าของร่างไม่เข้าใจ ก็ล้วนกระจ่างอย่างง่ายดาย ต้องเข้าใจว่าเมื่อก่อนหลินเยวียนรู้สึกว่าการเล่นเพลงนี้ตามโน้ตเพลงนั้นแสนยากเย็น

แต่ในตอนนี้

เขาไม่เพียงเล่นทั้งเพลงนี้ได้อย่างแคล่วคล่อง ถึงกับพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงเพลงได้เล็กน้อยด้วย

นอกจากนั้นก็ยังรวมไปถึงรายละเอียดในการใช้คันเหยียบด้วย ทั้งความตื้นลึกของคันเหยียบ การประยุกต์ใช้ทำนอง รวมไปถึงคุณภาพเสียงซึ่งพัฒนาขึ้นหลังจากเก็บรายละเอียดเหล่านี้แล้ว เขาล้วนสังเกตเห็น

ทั้งยังมีจุดที่ยากในการใช้เทคนิคคั่นคู่เสียงในเพลง ในตอนนี้เขาสามารถขยับนิ้วได้คล่องแคล่ว บรรเลงออกมา

ได้ดังใจต้องการ

เมื่อบรรเลงทั้งเพลงออกไป หลินเยวียนก็แทบตกหลุมรักความรู้สึกยามเล่นเปียโนทันที

ผ่านไปห้านาที

ในที่สุดเพลง ‘ใจปรารถนา’ ก็ดำเนินมาถึงท่อนจบ ระดับความสามารถในการเล่นเปียโนที่รุดหน้าดังติดปีกบินทำให้หลินเยวียนมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม!

เขาตัดสินใจลองเล่นเพลง ‘วิวาห์ในฝัน’

ทว่าชั่วขณะที่หลินเยวียนกำลังจะกดเล่นโน้ตเพลงแรก ก็กลับมีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นขัดจังหวะ “ใครให้นายเข้ามา”

หลินเยวียนเงยหน้าขึ้น

ผู้หญิงผมยาวสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู แสงแดดอาบลงบนแผ่นหลังของเธอ ขับให้เห็นรูปร่างสูงสะโอดสะอง แต่กลับกลบกลิ่นอายเย็นเฉียบของเธอไม่ได้ ดวงตาสวยแต่เยียบเย็นกำลังจ้องตาหลินเยวียน

“ที่นี่ไม่ใช่เขตสาธารณะเหรอครับ”

หลินเยวียนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ออกจะดูลึกลับอยู่สักหน่อย

หญิงสาวผุดรอยยิ้มเย็น “นายไม่รู้จักฉัน?”

หลินเยวียนเริ่มสับสน “พวกเราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”

หญิงสาวถลึงตาใส่หลินเยวียน ก่อนที่สีหน้าจะค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ “เปียโนหลังนี้เป็นของฉัน ส่วนห้องเปียโนนี้ วิทยาลัยอนุญาตให้ฉันใช้ได้คนเดียว ดังนั้นอย่ามาใช้สกิลเปียโนอ่อนหัดของนายทรมานเปียโนของฉันอีก”

หลินเยวียนทำได้แค่หยัดกายลุกขึ้น พูดว่า “ผมลุกให้คุณแล้ว”

หญิงสาวแก้คำอย่างจริงจัง “ไม่ใช้ลุกให้ แต่คืนให้ เพราะว่าเดิมทีนี่ก็เป็นเปียโนของฉัน”

“อืม คืนให้คุณ”

หลินเยวียนเดินไปทางประตู ขณะที่สวนกับหญิงสาว จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นว่า “คนที่อยากเรียกร้องความสนใจจากฉันน่ะมีเยอะแยะ แต่นายเลือกใช้วิธีที่น่าเกลียดที่สุด แถมวิธีแกล้งโง่พรรค์นี้ทำให้ฉันหงุดหงิดจริงๆ”

“อะไรนะ”

หลินเยวียนงงไปหมดแล้ว

เด็กสาวหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋า ก้มหน้าลงเช็ดคีย์บอร์ดเปียโนที่หลินเยวียนเพิ่งใช้เมื่อครู่นี้อย่าง

เอาจริงเอาจัง พลางใช้น้ำเสียงเย็นชาแดกดันมาว่า “เพลง ‘ใจปรารถนา’ ของอบิเกลเป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครเล่นเพลงนี้แล้วฉันจะชอบไปทั้งหมด ฝีมือนายดีกว่าแฟนคลับคนอื่นๆ แต่ก็ยังแตะไม่ถึงระดับที่จะทำให้ฉันประทับใจ อีกอย่าง ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ โยนทิ้งถังขยะข้างล่างไปแล้ว”

“โอ้”

หลินเยวียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจอะไรผิด แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ และไม่คิดจะอธิบายด้วย แต่ก็จะโดนต่อว่าให้เสียหายก็คงไม่ได้ เขาจึงแค่เอ่ยเตือนไปหนึ่งประโยค

“ก่อนเล่นเปียโนผมล้างมือแล้ว”

คนที่รักเปียโนบางคนใส่ใจความสะอาดเป็นพิเศษ กลัวว่าคีย์บอร์ดเปียโนจะเปื้อนรอยนิ้วชัดเกินไป หลินเยวียนคิดว่าที่นี่ก็เป็นห้องเปียโนส่วนรวม จึงพึงระลึกจิตสาธารณะ ล้างมือด้วยสบู่ก่อนจะเล่นเปียโน

เด็กสาวไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าก้มตาเช็ดต่อไป

ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวเปียโนที่หลินเยวียนไม่ได้แตะก็ไม่เว้น

หลินเยวียนทำได้เพียงเปลี่ยนห้อง

เขานั่งหน้าเปียโนในห้องใหม่

ขณะที่กำลังจะลงมือเล่น จู่ๆ ก็นึกถึงคำวิจารณ์ที่หญิงสาวคนเมื่อกี้พูดว่าสกิลเปียโนของตนอ่อนหัด เขาจึงถามระบบซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานานอย่างอดไม่ได้ “ระดับของฉันอ่อนหัดจริงๆ เหรอ”

“ไม่เลย”

“งั้นก็ดี”

หลินเยวียนผ่อนลมหายใจ และได้ยินระบบตอบว่า “สำหรับคนที่มีความสามารถระดับที่สูงกว่าแล้ว คนที่ระดับต่ำกว่าพวกเขาก็จัดอยู่ในระดับอ่อนหัดทั้งนั้น”

“…”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าระดับความสามารถของเด็กสาวคนเมื่อครู่จะถึงกับดีกว่าตน เพราะว่าตนอยู่ระดับเชี่ยวชาญที่ระบบมอบให้เชียวนะ

เธอคนนั้นน่าจะจัดอยู่ในระดับมีพรสวรรค์ทางเปียโนทำนองนั้นสินะ

เขาไม่ได้คิดมาก และเริ่มบรรเลงเพลง ‘วิวาห์ในฝัน’ ที่ตนได้มาจากกล่องสมบัติเงิน

……

เช็ดเปียโนเสร็จซะที

กู้ซีนั่งลงหน้าเปียโนด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยว

เปียโนหลังนี้เป็นของขวัญที่คุณพ่อให้ มันอยู่เคียงข้างกู้ซีมาตั้งแต่เจ็ดขวบ

หลังจากเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว เธอก็ถึงขั้นขอร้องกับทางวิทยาลัยว่าให้ตนนำเปียโนที่ผูกพันมากหลังนี้เข้ามาไว้ในวิทยาลัย

เรียกได้ว่า นับตั้งแต่วินาทีที่เปียโนหลังนี้กลายเป็นสมบัติของกู้ซี ก็ไม่มีใครได้แตะต้องมันอีกเลย

และเป็นเพราะเมื่อคืนตนฝึกซ้อมเปียโนจนดึกไปหน่อย ตอนกลับไปเลยลืมล็อกประตู วันนี้ถึงกับมีคนแปลกหน้าเข้ามาใช้เปียโนหลังนี้

นั่นทำให้กู้ซีไม่สบายใจเอาซะเลย ก็เหมือนกับแปรงสีฟันของตนถูกคนแปลกหน้าหยิบไปใช้

และทำให้วันนี้กู้ซีไม่มีอารมณ์จะเล่นเปียโนแล้ว

ในขณะที่เธอกำลังหงุดหงิดอยู่นั้น หูก็พลันได้ยินเสียงเปียโนอันไม่คุ้นเคย เสียงนี้ถึงกับทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของกู้ซีบรรเทาลงได้

คีย์ G ไมเนอร์ทั่วไป

กู้ซีเงี่ยหูฟังอย่างเงียบเชียบ

เพลงนี้กู้ซีเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เธอไม่รู้ว่าเป็นผลงานใหม่ของศิลปินท่านไหน รู้สึกเพียงว่าแต่ละท่วงทำนองทำให้รู้สึกดื่มด่ำในห้วงมหรรณพของเสียงเพลงอย่างอดใจไม่อยู่

บ้างก็อบอุ่นดุจสายลม

บ้างก็อ่อนโยนดุจสายรุ้ง

ครั้นบรรยากาศโรแมนติกเริ่มโหมโรง เสียงเปียโนหวานหยดเยิ้มก็ปานประหนึ่งน้ำผึ้งหลอมละลายในหัวใจ กู้ซีแทบรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในโบสถ์แต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์อย่างไรอย่างนั้น…

ไม่สิ

ไม่ใช่อย่างนั้น

บทเพลงนี้ไม่ได้ให้เพียงความรู้สึกหอมหวานโรแมนติก ในท่วงทำนองคล้ายกับระคนไปด้วยความรักอันสิ้นหวังเสียมากกว่า ชายหนุ่มผู้โหยหาความรักทำได้เพียงพเนจรในห้วงความฝัน ปรารถนาจะครอบครองแต่ก็กลัวว่าจะสูญเสียไปเฉกเช่นการตื่นจากฝัน จนกระทั่งได้เห็นผู้หญิงที่เขารักสวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์เต้นรำอยู่ท่ามกลางงานวิวาห์ที่ไม่มีอยู่จริง

นักดนตรีตีความความรู้สึก

ทำนองเปียโนเร่งบ้างผ่อนบ้าง

เสียงเปียโนสูงบ้างต่ำบ้าง

เมื่อบทเพลงนี้จบลง กู้ซีงงงันไปชั่วขณะ ถึงกับรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นจากความฝัน เธอจ้องมองเปียโนเบื้องหน้าอย่างสับสน ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นสาวเท้าวิ่งออกไป!

“ใครน่ะ”

เธอพยายามวิ่งตามหาต้นเสียงไปทั่วทุกห้องเปียโน แต่อย่างไรก็หาผู้บรรเลงบทเพลงเมื่อครู่ไม่เจอ แต่กลับต้องเจอกับสายตาประหลาดใจหรือสงสัยอีกหลายคู่

“ใครน่ะ!”

แววตาของเธอสว่างวาบ

เธออยากรู้เหลือเกินว่าใครบรรเลงบทเพลงไม่คุ้นหูนั้นเมื่อกี้ เธออยากรู้เหลือเกินว่าเพลงนั้นชื่ออะไร!

ในตอนนั้นเอง

ผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างด้วยสีหน้าประหม่า “คนสวย ถ้าไม่ชอบดอกกุหลาบ โยนทิ้งไปแล้วก็ไม่เป็นไร แต่บอกผมได้มั้ยว่าชอบดอกไม้อะไร ครั้งหน้าผมจะ…”

“ดอกกุหลาบ?”

ยามที่กู้ซีกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังที่หาผู้บรรเลงเพลงนั้นไม่พบ จิตใจของเธอกำลังปั่นป่วน จู่ๆ ก็ถูกคนขัดจังหวะ จนเธอขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “สรุปแล้วดอกไม้ก่อนหน้านี้ นายเป็นคนส่งมา?”

ชายหนุ่มตอบกระตุกกระตัก “ผะ…ผมเองครับ”

กู้ซีอ้าปากค้าง ในสมองนึกถึงใบหน้าเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้ สีหน้าก็ยิ่งเย็นชา “ฉันแพ้เกสรดอกไม้”

อากาศหนาวเหน็บขึ้นมาทันตา

ชายหนุ่มพลันล่าถอยไป

…………………………………