ตอนนี้แหละ! 

เฮ่อเหลียนเวยเวยอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเสียสมาธิบิดแขนของตนออกอย่างคล่องแคล่ว และพยายามดิ้นให้หลุดจากการควบคุมของเขาประหนึ่งว่าตัวเองเป็นปลาไหล เน้นว่า ‘พยายาม’ ชายหนุ่มดูไม่ประหลาดใจกับการกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเลียนแบบกระบวนท่าของนาง แล้วตามมาโอบเอวบางของนางเอาไว้เสียอีก! 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางกำลังรอให้เขาตอบโต้อยู่พอดี! 

ทันใดนั้นนางก็ยกขาขึ้นเตะเข้าที่จุดยุทธศาสตร์กลางลำตัวของเขาเต็มแรง! 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดการกระทำของตนเองเอาไว้เพื่อปกป้อง ‘ส่วนสำคัญ’ ของตน เขาจึงจำต้องยอมปล่อยมือที่จับเฮ่อเหลียนเวยเวยออกชั่วคราว 

แต่มันยังไม่จบแค่นี้! 

เมื่อการเคลื่อนไหวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดลง ใบหน้าน่ามองของเขาก็พลันบึ้งตึง ดวงตาหงส์แผ่กลิ่นอายอันชวนขนลุกออกมา “ในมือของเจ้ามียาพิษอยู่หรือ” 

“ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้วิธีการสกปรกพรรค์นี้หรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกผิดมากทีเดียว แต่ประเด็นคือพี่ชายท่านนี้ต่างหาก นางก็แค่จูบเขา แต่เขากลับคิดที่จะ XXOO นาง นี่ไม่เกินไปหน่อยหรือ “เอ่อ อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ” 

นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรังแกเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาอยู่ไม่มีผิด เฮ่อเหลียนเวยเวยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมา “เอาเงินพวกนี้ไปเป็นค่าทำขวัญเรื่องจูบนั่นก็แล้วกัน!” 

หลังจากเห็นตั๋วเงิน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หรี่ตา อารมณ์อันหลากหลายวิ่งวุ่นอยู่ในดวงตาคู่นั้น คล้ายกับมีสัตว์ร้ายเลือดเย็นกำลังแหวกว่ายอยู่ภายใน 

สายตาของเขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขนลุกซู่ นางสางผมตัวเองเล่นด้วยความประหม่า ก่อนจะหยิบตั๋วเงินออกมาเพิ่ม แล้วยัดใส่มือของเขา “ข้าให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ขนาดโฮสต์ที่โลกยุคปัจจุบันยังค่าตัวไม่แพงเท่าเจ้าเลย” 

แม้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่เคยได้ยินคำว่า ‘โฮสต์’ มาก่อน แต่เขาก็พอจะเดาความหมายของมันออก 

ดี ดียิ่งนัก! 

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “เจ้าควรภาวนาขอให้ข้าอย่าได้เจอเจ้าอีกเลยชั่วชีวิต มิฉะนั้น…” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ และไม่อยู่ฟังคำพูดประโยคถัดไปของเขา นางกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ เส้นผมสีดำสนิทของนางพลิ้วไหวไปตามสายลม จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่ใสราวกับน้ำของนางเอ่ยอย่างชัดเจนว่า “พี่ชายรูปงาม เราคงไม่ได้พบกันอีกหรอก…” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูร่างที่ค่อยๆ ลับสายตาไป เขาค่อยๆ สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุม แล้วก้มหน้าลง ดวงตาของเขาถูกเส้นผมจำนวนหนึ่งบดบังเอาไว้ มีเพียงรอยยิ้มราวกับปีศาจร้ายเท่านั้นที่เผยออกมาให้เห็นใบหน้าด้านข้างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน และทั่วทั้งร่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันยากจะควบคุม 

จากนั้นชายหนุ่มจึงพลิกฝ่ามือขึ้น ข้างหนึ่งหยินข้างหนึ่งหยาง พลังปราณอันเข้มข้นสองแขนงไหลผ่านไปตามเส้นลมปราณของเขา ในไม่ช้าสัมผัสเย็นยะเยือกที่จุดตันเถียนของเขาก็พลันหายไป 

เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ ดวงตาอันร้ายกาจและเย็นชาเปิดขึ้นอีกครั้ง 

มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้น มือข้างซ้ายเล่นอยู่กับหินเหล็กไฟ ส่วนข้างขวาก็ถือ ‘เงินค่าทำขวัญ’ เอาไว้ ดวงตาของเขาเย็นเฉียบ และลึกล้ำน่ากลัว 

หินเหล็กไฟก้อนนี้งดงามยิ่งนัก มันมีสีดำสนิท ให้ความรู้สึกเย็นเยียบยามสัมผัส แต่เมื่อกระทบกันจะกลายเป็นเปลวไฟสีเขียว หากใช้จุดยาสูบคงจะน่าอภิรมย์มิใช่น้อย แต่… เขากลับใช้มันเผาเงินพวกนั้น 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูเปลวเพลิงที่กำลังลามเลียเงินพวกนั้นอยู่ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ยี่สิบตำลึง ช่างเหลือเกินจริงๆ” 

เสียงของชายหนุ่มเย็นเยือกประหนึ่งฤดูหนาว กลิ่นอายแห่งราชันที่แผ่ออกมาทำให้อุณหภูมิภายในสวนลดฮวบลง 

หึ ยี่สิบตำลึง 

องค์ชายสามผู้สง่างามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงเช่นเขาราคาถูกถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น พลางเป่าเศษขี้เถ้าที่อยู่ตรงปลายนิ้ว ในเวลานั้นเขาดูเหมือนกับจอมปีศาจที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากแม่น้ำวั่งชวน [1] ไม่มีผิด บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา 

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหินกระแทกกันดังกึกก้องมาแต่ไกล! 

หนานกงเลี่ยในชุดเสื้อคลุมตัวยาวเดินออกมาจากกองหินที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้บ้าที่ไหนมันตาบอดจนเอาหินมาวางไว้ตรงหน้าประตูกัน ข้าถึงกับต้องลงทุนจัดการมันด้วยตัวเองเชียว เฮ้อ อาเจวี๋ย เจ้ารีบมาดูให้หน่อยสิว่าชุดข้าเปื้อนหรือเปล่า” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตามองเขา 

สายตาของเขานั้นช่างเย็นเยียบดั่งมหาสมุทร! 

ยิ่งกว่านั้น ท่าทางที่เขาเป่าเศษขี้เถ้าพวกนั้นก็ทำให้ผู้คนต่างตัวสั่นงันงก 

หนานกงเลี่ยกลืนน้ำลาย “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ปกติแล้วหากเจ้าปีศาจตนนี้อยู่ในสวน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ามากวนใจเขาเด็ดขาด แต่อาเจวี๋ยกลับปล่อยรังสีอำมหิตออกมา เขาตั้งใจเล็งมันมาที่ใครกัน เขาหรือ 

ทันใดนั้นเงาทมิฬที่ไปเตรียมห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กระโจนเข้ามา แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “นายท่านขอรับ…” 

“ไปตามหานางมาให้ข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนเสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ทิ้ง เส้นผมสีดำสะบัดพลิ้ว ภาพนั้นทำให้หัวใจของผู้พบเห็นแทบจะหยุดเต้น 

เงาทมิฬสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงก้มลงรับคำสั่งทันที ‘ขอรับ’ และไม่กล้าพูดอะไรไร้สาระออกมาอีก 

แต่บางคนก็ไม่กลัวตาย ยกตัวอย่างเช่นชายสิ้นคิดผู้นี้ 

หนานกงเลี่ยวางมือบนไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เอาล่ะ เลิกทำหน้าทุกข์ใจเสียที ให้พี่ชายบอกข่าวดีให้ฟังดีกว่า เจ้าแมวน้อยตัวนั้นก็อยู่ในรายชื่อศิษย์ใหม่ด้วยเช่นกัน” 

เมื่อเงาทมิฬได้ยินคำว่า ‘เจ้าแมวน้อย’ ของหนานกงเลี่ย เขาก็ตัวสั่น 

ท่านมหาปุโรหิต ข้าขอร้องล่ะขอรับ หยุดพูดถึงหญิงผู้นั้นเสียที! นายท่านจะ ‘เผลอ’ ฆ่าท่านเอาได้นะขอรับ! 

แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้าแมวน้อยหรือ” 

“ก็คุณหนูคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนอย่างไรเล่า!” หนานกงเลี่ยตอบด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตอีกฝ่ายให้ดีนัก แต่ตอนนี้เมื่อขยับเข้ามาใกล้ เขาจึงเพิ่งจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า “อาเจวี๋ย เกิดอะไรขึ้นกับริมฝีปากเจ้าหรือ เหมือนโดนใครกัดมาไม่มีผิด ฮ่า ๆ ๆ น่าขันยิ่งนัก! คนที่ไม่เคยปล่อยให้ผู้หญิงคนใดเฉียดเข้ามาใกล้แม้แต่ครึ่งก้าวอย่างเจ้า กลับมีแผลที่ปาก ฮ่า ๆ ๆ” 

หนานกงเลี่ยเอามือกุมท้อง และหัวเราะสุดเสียงจนตัวงอ 

ทว่าในไม่ช้า 

เขาก็ไม่อาจหัวเราะออกมาได้อีก สาเหตุนั้นหาใช่ใดอื่น หากแต่เป็นเพราะมีดสั้นสีทองที่อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาไม่ถึงคืบ 

หนานกงเลี่ยมองเงาทมิฬที่พยายามส่งสัญญาณให้เขาทางสายตาอยู่ตลอดเวลา จากนั้นจึงมองใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูไม่ใช่รอยยิ้มออกมาอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นปากของเขาก็อ้ากว้างขึ้นทันที “อย่าบอกนะว่าข้าเดาถูก! เจ้าถูก…” 

“ถ้าเจ้ากล้าพูดออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าซะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขัดจังหวะเขา แล้วผลักหนานกงเลี่ยออก เขาเงยหน้าขึ้นด้วยท่วงท่าอันน่ามอง แต่ก็เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม 

หนานกงเลี่ยกระแอมออกมาสองครั้งเหมือนลองเสียง “อาเจวี๋ย เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนั้นมาใส่ใจมากจนเกินไปหรือต้องไปบ้วนปากหรอก ในเมื่อการจะเป็นบุรุษนั้นย่อมต้องมีเรื่องแบบนี้แน่ๆ… แต่ ข้าก็ยังคงสงสัยเว่าใครกันที่กล้ามาเอาเปรียบเจ้าได้” ถ้ามีเวลา เขาจะต้องทำความรู้จักคนผู้นี้แน่นอนนางทำได้ดีทีเดียว! 

“เจ้าคิดอะไรอยู่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชักมือกลับ มีดสั้นทองคำเคลื่อนที่จนกลายเป็นเส้นสีทองตามการเคลื่อนไหวของเขา และในที่สุดก็เลือนหายไปในแสงอาทิตย์ยามเย็น 

หนานกงเลี่ยเป็นคนหัวเร็ว ทันทีที่เขาคิดออก ก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าแมวน้อยตัวนั้นอีกแล้วหรือ นางอยู่ไหนล่ะ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน” 

“ไปถามเจ้าพวกนั้นดูสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชี้ไปทางตั๋วเงินที่มอดจนแทบไม่เหลือซากด้วยสีหน้าเย็นชา 

เงินหรือ หนานกงเลี่ยแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ขณะคุกเข่าลง แล้วถามเขาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” 

………………………………………………………………………………. 

[1] แม่น้ำวั่งชวน หรือแม่น้ำลืมเลือน เป็นแม่น้ำในโลกหลังความตาย เชื่อว่าใต้น้ำมีอสุรกายมากมายอาศัยอยู่