“ข้าไม่เห็นด้วยกับคำขอของเคานต์เซลิน!” เคานต์โฟแมนโยนจดหมายและพูดอย่างเย็นชา สีหน้าของเขาดูโมโหอย่างมาก
สีหน้าของเคานต์เตสได้ซีดลง “โฟแมน พี่ชายของเรากำลังประสบปัญหาอยู่ คุณพอจะมีนักเวทย์ประจำการอยู่ในป้อมปราการเรเวนรึเปล่า คุณเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดของที่นี่ คุณน่าจะให้พวกนักเวทย์ไปช่วยเหลือเขาได้ง่าย ๆ ใช่มั้ย?”
เคานต์โฟแมนรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นสีหน้าของภรรยาไม่ค่อยจะสู้ดี เขาจึงต้องอธิบายไปว่า
“เธอก็เห็นแล้วว่าพวกนักเวทย์เหล่านั้นแทบจะไม่ให้ความเคารพฉันเลย ถึงแม้ข้าจะมีอำนาจสูงสุดของที่นี่แต่ก็ไม่มีอำนาจอะไรไปสั่งการนักเวทย์พวกนั้นได้”
เคานต์เตสได้ลุกยืนขึ้นด้วยความโกรธและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “งั้นคุณจะอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้พี่ชายและครอบครัวของเราถูกฆ่าตายงั้นเหรอคะ!”
เคานต์โฟแมนรู้สึกตึงเครียด เขารู้สึกหนักออึ้งราวกับว่าเขาได้แบกโลกไว้บนบ่าของเขา
“ไม่เป็นหากคุณไม่สามารถเรียกใช้พวกนักเวทย์เหล่านั้นได้ งั้นเราก็ขอให้พวกนักดาบธาตุระดับสี่ไปช่วยท่านพี่ แค่นี้ท่านพี่ก็จะรอดชีวิตได้แล้ว” เคานต์เตสเสนอ
เคานต์โฟแมนส่ายหัวอีกครั้ง พวกนักดาบธาตุระดับสี่ขึ้นไปนั้น พวกเป็นผู้บัญชาการที่ประจำการในป้อมปราการเรเวนซึ่งต้องทำหน้าที่รับผิดชอบงานที่สำคัญ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจใช้อำนาจสั่งการพวกเขาให้ทำงานส่วนตัวได้
“ถ้าคุณไม่เต็มใจช่วยอะไรเลย งั้นเราจะไปช่วยท่านพี่ด้วยตัวเอง!!”
เคานต์เตสโกรธมาก เธอตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าและเริ่มเก็บเสื้อผ้าของเธอ
“เดี๋ยวก่อนที่รัก ขอเวลาให้ข้าคิดสักหน่อยนะ”
เคานต์โฟแมนรู้ดีว่าภรรยาของเขาโกรธมาก หากเขาไม่ทำอะไรเลย เขาคงไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้เลย
ทันใดนั้นเคานต์โฟแมนก็นึกบางอย่างออก เขาหันไปมองภรรยาของเขาด้วยความประหลาดใจ
“ข้ารู้แล้ว ว่าจะให้ใครมาช่วยพวกเราในเรื่องนี้”
เคานต์เตสหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ แต่เคานต์โฟแมนไม่อยู่ตรงนั้น เขาได้ออกจากห้องแล้วลงไปชั้นล่างแล้ว
“พ่อมดเมอร์ลิน ข้าต้องขอโทษด้วยที่ล่อยให้ท่านรอ” เคานต์โฟแมนขอโทษเมอร์ลินขณะที่เขาเดินมาที่ห้องโถง
“ข้าได้ลองมาคิด ๆ ดูแล้วเนื่องจากท่านไม่ต้องการอยู่ที่ป้อมปราการเรเวน งั้นข้าจะลองเสนอให้ท่านไปอยู่ที่อื่นล่ะ ข้อเสนอนี้ท่านพอจะรับได้มั้ย?”
เมอร์ลินสังเกตเห็นท่าทีที่กระตือรือร้นมากเกินไปจนทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ก่อนหน้านี้เคานต์โฟแมนยังชักชวนเขาอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับเสนอเขาไปอยู่ที่อื่น
“เป็นที่ไหนเหรอครับ?” เมอร์ลินถามอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะรู้สึกสับสนก็ตาม
เคานต์โฟแมนได้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ที่เมืองปรากาซ! ที่นั่นเหมาะมากสำหรับพ่อมดเมอร์ลินและครอบครัวของท่านจะไปตั้งรกรากที่นั่น ที่เมืองนั้นมีเคานต์เซลินเป็นเจ้าเมือง เขาเป็นพี่ชายของภรรยาของข้า ข้าสามารถเขียนจดหมายแนะนำให้ท่านได้ เขาจะช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาระหว่างปักหลักที่เมืองปรากาซ”
เมอร์ลินได้ลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วแบะโค้งคำนับให้กับเคานต์โฟแมน “ข้าเมอร์ลิน ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน”
เคานต์โฟแมนยิ้มจาง ๆ หลังจากนั้นเขาได้ลังเลชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดออกมาว่า
“เออ…มีอยู่เรื่องหนึ่ง ดูเหมือนตอนนี้เคานต์เซลินจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ข้าไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด เขาได้ขอความช่วยเหลือจากข้าแต่เนื่องจากพวกอัศวินของข้ามีความรับผิดชอบมากมาย ข้าจึงไม่สามารถส่งพวกเขาไปได้…” เคานต์โฟแมนจ้องมองที่จ้องตาของเมอร์ลิน
เมอร์ลินได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาเข้าใจว่าการตั้งรกรากในดินแดนใหม่จะต้องมีปัญหาและอุปสรรคมากมายแน่นอน เขาจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้คนในอาณาจักรนี้เห็นคุณค่าในตัวเขาและยอมให้พวกเขามาปักหลักที่อาณาจักร
ดังนั้นเมอร์ลินจึงพยักหน้า ยอมมรับข้อเสนอของเคานต์โฟแมน
“หากปัญหาไม่หนักเกินไป ผมยินดีที่จะช่วยเหลือครับ”
“ฮ่า ๆ เยี่ยมมาก เอาล่ะ ข้าจะเขียนเริ่มเขียนจดหมายทันที ไว้พ่อมดเมอร์ลินถึงเมืองปรากาซเมื่อไหร่ ท่านช่วยเอาจดหมายนี้ส่งให้ถึงมือเคานต์เซลินด้วยนะ”
เคานต์โฟแมนรู้สึกโล่งใจที่เขาสามารถแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากนี้ได้
…
หลังจากนั้นเมอร์ลินก็ได้ออกจากปราสาท เขาตรงไปยังที่พักที่เคานต์โฟแมนเตรียมไว้ให้พวกเขา
เมื่อเลห์แมนเห็นเมอร์ลิน เขาก็เรียกบารอนเพอร์แมนเข้ามาหารือทันที
“เมอร์ลิน เราไม่สามารถอยู่ในป้อมปราการเรเวนได้ตลอดไป แล้วเราจะไปที่ไหนต่อดี” เลห์แมนถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
ทางด้านบารอนเพอร์แมนก็จ้องไปทางเมอร์ลินอย่างคาดหวังโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เมอร์ลินเป็นดั่งกระดูกสันหลังของกองทหารทั้งหมด
เมอร์ลินได้ใช้เวลาพอสมควรในการย่อยข้อมูลในหัวของเขา
“ท่านพ่อ บารอนเพอร์แมน สิ่งแรกที่เราต้องทำหลังจากที่มายังอาณาจักรแบล็กมูนก็คือการตั้งถิ่นฐานใช่มั้ยครับ”
ทั้งบารอนเพอร์แมนกับเลห์แมนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ
“ป้อมปราการเรเวนนั้นเป็นค่ายทหาร หากพวกเขาจะปักหลักกันที่นี่พวกเขาต้องเข้าร่วมกองทัพของพวกเขา แล้วเคานต์โฟแมนได้เชิญเราให้เข้าร่วมแต่ผมปฏิเสธข้อเสนอของเขาไป
ด้วยสาเหตุนี้เราจึงต้องไปหาเมืองอื่นในการตั้งถิ่นฐาน
โชคดีที่เคานต์โฟแมนได้แนะนำพวกเราไปที่เมืองปรากาซ ที่นั่นมีเจ้าเมืองคือเคานต์เซลินซึ่งเขาเป็นพี่ชายของภรรยาของเขา
ตอนนี้เคานต์เซลินกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่างและต้องการความช่วยเหลือจากเคานต์โฟแมน แต่ทว่าเขาไม่สามารถส่งความช่วยเหลือไปได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอให้ผมไปที่นั่นแทน
ผมได้ยอมรับข้อเสนอนั่นไป เนื่องจากที่เมืองแห่งนั้นเหมาะที่จะตั้งรกราก
หากปัญหาที้เคานต์เซลินเผชิญไม่หนักหนาเกินไปแล้วพวกเราสามารถช่วยเหลือสำเร็จ ทางเคานต์เซลินยินดีที่จะช่วยเหลือพวกเราในการตั้งรกรากในเมืองปรากาซ”
เมื่อเมอร์ลินพูดจบ เลห์แมนกับบารอนเพอ์แมนได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เมอร์ลินรู้สึกว่าความตึงเครียดบนใบหน้าของพวกเขาได้ผ่อนลงเล็กน้อย
“เอาล่ะ เราจะทำตามแผนการที่ลูกบอก เราจะเตรียมการเดินทางไปยังเมืองปรากาซในวันพรุ่งนี้!”
เลห์แมนกัลบารอนเพอร์แมนได้พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเมอร์ลิน
จากนั้นเมอร์ลินก็ได้เข้าไปในห้องพัก ในที่สุดเขาก็ได้พักผ่อนสักทีหลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน เขาได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาได้เข้าไปในจิตใต้สำนึกแล้วตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ทั้งสอง เขาเห็นพลังเวทย์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายใน
ตอนนี้เขารู้สึกว่าการพัฒนาของเขามาถึงทางตัน เนื่องจากพลังจิตของเขาแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ทำให้ไม่สามารถเพิ่มคาถาที่สามได้
สิ่งเดียวที่เขามีในตอนนี้ก็คือรูปแกะสลักทั้งสามที่ได้รับมาจากคีน หัวหน้ากองโจรพายุ
เมอร์ลินได้เปิดใช้งานแหวนมิติอย่างรวดเร็วและใช้พลังจิตหยิบรูปแกะสลักทั้งสามออกมา เขาตั้งใจจะฝึกกระบวนท่าของพวกมันทั้งหมด
หากเขาสามารถฝึกพวกมันได้หมด เขาก็จะมพลังที่เทียบเท่านักดาบธาตุระดับสี่
“เอาล่ะ มาลองดูสักตั้ง!”
เมอร์ลินได้หยิบรูปปั้นแบบสุ่มขึ้นมา เขาได้ตั้งสมาธิเพื่อรวบนรวมพลังจิต จากนั้นก็มีกระบวนท่าแปลก ๆ ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเมอร์ลิน