ตอนที่ 22 บทที่ 2 คุยท้ายบท

โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร”

บทที่2คุยท้ายบท

ข้าฝัน ฝันสีแดงอันเจิดจรัส แต่ว่าคิดว่ามันไม่ใช่ความฝัน

ที่นี่น่าจะเป็นสถาบันโซลมินาติ อย่างไรก็ตามข้านึกถึงเศษซากอาคารที่พังทลายและบริเวณโดยรอบที่ลุกเป็นไฟในตอนนั้น

「อะ!อึก」

มีแผลทั่วร่างกายของเขา

เศษซากที่ของร่างกายที่ถูกเผาไหม้ กลิ่นของเนื้อไหม้ๆจนติดจมูกและข้าก็คายบางสิ่งออกมา

มีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในขุมนรกแห่งนั้น ลำตัวสีดำมีปีกห้าสี มังกรยักษ์ที่น่าจะอยู่ในตัวข้า มันคือเทียแมท

ปากของมันกำลังขยับ ดูเหมือนว่าจะเคี้ยวบางสิ่งบางอย่างอยู่

「อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก…………」

ข้ารู้สึกแย่กับภาพตรงหน้า สัญชาตญาณบอกตัวข้าว่า “อย่ามอง” แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

「อะอะ……………………อ๊ากกกกกกกกกก!」

มันเป็นผมยาวๆที่ติดอยู่ในปากของข้าเมื่อข้ามองไปยังเจ้าของผมข้าก็ตัวสั่นเทา

ช่วงเวลาต่อมาก็มีเปลวเพลิงสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาทางข้าและก็ถูกเปลวเพลิงแห่งความวุ่นวายนั่นกลืนกินไป

◇◆◇

「อั่ก! แฮ่กแฮ่กแฮ่ก…………」

 

โนโซมุที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาจากความฝัน

 

「อะ!」

 

โนโซมุกุมศีรษะแน่นราวกับภาพในความฝันนั่นมันเป็นความจริง มันเหมือนจริงมากเสียจนเขากลัว

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปโนโซมุก็ค่อยๆสงบลงและเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

(หลังจากการต่อสู้นั่นข้าหมดสติสินะ……)

 

โนโซมุจำได้ว่าตอนนั้นทันทีหลังจากที่ไอริสและโซเมียเดินเข้ามาหาเขา เขาก็รู้สึกโล่งใจและภาพตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำสนิท

 

「ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วกันนะ……」

 

ด้วยเหตุนี้โนโซมุจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีรอยแตกของผนัง ทุกๆอย่างดูปกติมีเตียงและยังมีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ มีเตาผิง ตู้ที่มีลิ้นชักและของอื่นๆ สิ่งของเหล่านี้ไม่มีการตกแต่งมากมายแต่มีความหรูหราเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าโนโซมุจะถูกพามายังห้องๆหนึ่ง

 

โนโซมุมองเห็นสวนขนาดใหญ่จากหน้าต่างในห้อง เห็นได้ชัดว่าอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลฟรานซิส

 

เมื่อโนโซมุมองไปทางประตูก็พบกับหญิงสาวสองคนมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้ม

 

「ในที่สุด ก็ตื่นแล้วสินะคะ……」

「สบายดีไหมคะ?คุณโนโซมุ」

 

ไอริสกับโซเมียเข้ามาพูดกับโนโซมุด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

 

「เอ่อ ข้าหลับไปนานแค่ไหนงั้นเหรอ?」

 

「ประมาณครึ่งวันได้ค่ะ….แต่ว่าก็ดีแล้วล่ะ ฉันกังวลมากเลยล่ะคะที่จู่ๆคุณก็เป็นลมไป」

「ร่างกายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?」

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะปลดปล่อยคิมากจนเกินไปจนเป็นผลกระทบต่อร่างกายทำให้เกิดความเหนื่อยล้าต่อร่างกายอย่างมาก นั่นคือสิ่งที่เข้าใจได้

 

「เอ่อ…แล้วรูกาโต้ละครับ?」

 

โนโซมุถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นรูกาโต้บอกว่าสัญญาของตัวเขาเองถูกทำลายไปแล้วและลูกบอลกับสัญญาระหว่างตระกูลนั่นก็พังทลายไปพร้อมกัน

หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่จักรวรรดิดิซาร์ตเพื่อรายงานต่อนายท่านของเขา

 

 อย่างไรก็ตามดูเหมือนร่างที่โดนฟันขาดไปนั้นจะหายเป็นปกติหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโฒง มันเป็นความสามารถในการฟื้นตัวที่ยอดมากแต่เขาบอกว่า「ก็แบบว่าแผลมันถูกฟันออกมาแบบสวยงามมากจนน่าประทับใจจริงๆครับ เพราะงั้นการฟื้นฟูมันเลยง่ายมาก」เช่นนั้นล่ะ

 

「ทิม่าและมาร์ก็เตรียมตัวไปโรงเรียนค่ะ แต่ว่าหลังเลิกเรียนเขาจะมาที่นี่ มีเรื่องอยากจะคุยเยอะเลยละค่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?」

 

「……อ่า อืม…………」

 

โนโซมุสะดุ้งเล็กน้อยกับคำพูดนั่น

ตอนนั้นเองก็มีเสียง「จ๊อกกกกกกก~~」มาจากท้องของโนโซมุ ดูเหมือนว่าเขาอ่อนแรงมากจนหิว

 

ทั้งสองที่ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก โนโซมุที่เขินอายก็ก้มหน้าลง

 

「ฟุฟุ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวจะนำอาหารมาเสิร์ฟให้นะคะ เพราะฉะนั้นรอสักครู่ โซเมียไปช่วยกันหน่อยนะ。」

 

「ค่าพี่สาว! ถ้างั้นคุณโนโซมุรออาหารแสนอร่อยได้เลยนะคะ」

 

น้องสาวของเธอพูดเช่นนั้นและเดินออกไป หลังจากทั้งสองออกไปโนโซมุก็ล้มตัวลงบนเตียงแล้วนอนคิดอีกครั้ง

 

ข้าไม่รู้จะอธิบายเรื่องของตัวเองยังไงดี แต่ตอนนี้ทำได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารออาหารที่กำลังมาเสิร์ฟ

◇◆◇

ในตอนเย็นก่อนพลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดินผู้คนในเหตุการณ์เมื่อวานก็เริ่มที่จะมารวมตัวกันให้ห้องของตระกูลฟรานซิส

ก่อนอื่นไอริสก็เริ่มพูดคุยข้อตกลงระหว่างตระกูลฟรานซิสกับตระกูลอูราเซียร์ตที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้

 

ดูเหมือนว่าเมื่อ 300 ปี ก่อนตระกูลฟรานซิสกำลังต่อสู้กับตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ

อย่างไรก็ตามเพราะว่าเกิดความขัดแย้งภายในครอบครัวของตระกูลฟรานซิสก็ทำให้อำนาจด้อยลงจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ในเวลานั้นเองหัวหน้าของตระกูลฟรานซิสได้ไปอาศัยอยู่กับตระกูลวาเซียร์ตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกลบจุดอ่อนของพวกเขา

ตระกูลวาเซียร์ตเป็นตระกูลของแวมไพร์และตระกูลฟรานซิสเองมีกองกำลังจำนวนหนึ่ง แต่ศัตรูดันมีความสามารถอันกล้าแกร่งและเครื่องมือเวทย์ ในทางกลับกันนั้นเองตระกูลฟรานซิสก็ได้จ่ายเงินจำนวนมากให้กับตระกูลวาเซียร์ตเพื่อให้ช่วยเป็นกำลังรบและยืมเครื่องมือเวทย์ของพวกเขามาเป็นเวลา 300 ปี

 

อย่างไรก็ตามสำหรับรูกาโต้ที่รอจนครบ 300 ปีแล้วนั้นก็ยังไม่ได้ของที่ว่าคืนด้วยเหตุนั้นเองจึงส่งผลให้คนๆหนึ่งในตระกูลฟรานซิสโดนคำสาปและต้องสังหารทายาทคนนั้นเพื่อชดเชยค่าตอบแทนที่พวกเขาไม่สามารถรักษาสัญญาได้ ซึ่งเรื่องควรจะเป็นเช่นนั้น

ในช่วงเวลานั้นรูกาโต้ที่เป็นผู้ดูแลสัญญาระหว่างตระกูลทั้งสองฝ่ายนั้นเฝ้ารอมาถึง 300ปี เขาไม่พยายามผูกสัมพันธ์กับครอบครัวไหนเลยเพื่อแสดงความเป็นกลางให้มากที่สุด

 

นอกจากนี้เนื่องจากตระกูลวาเซียร์ตเป็นแวมไพร์ที่มีอายุยืนยาวสำหรับเวลา300ปีก็เหมือนการหลับตื่นหนึ่ง

◇◆◇

「……อย่างที่คิดไว้นี่คือ……」

 

「……อย่าคิดจะหนีนะ」

 

เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้โนโซมุกับมาร์ก็เดือดได้ที่เลย

ทิม่ายังคงนิ่งเงียบและแสดงท่าทางหวาดกลัว

 

「……โดยรวมแล้ว! เหนือสิ่งอื่นใดฉันไม่ชอบความคิดนั่นเลย พวกเราสองต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน」

 

「จริงๆ ฉันเองก็โกรธและไม่สามารถให้อภัยเรื่องนี้ได้」

 

ทั้งไอริสและโซเมียต่างก็ไม่คิดจะซ่อนความโกรธของพวกเขาได้

 

「นอกจากนี้เตาหลอมวิญญาณนั่นยังหลอมรวมเข้ากับวิญญาณของโซเมีย……」

 

「ฮะฮะ คนๆนั้น…บอกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจิตวิญญาณของโซเมียที่หลอมรวมในเตาหลอมได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกเอามาใช้ในลักษณะนี้เลย….ฉันองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมวิญญาณของโซเมียถึงได้ไปหลอมรวมกับสิ่งนั้น……」

 

นั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตพวกเราต่างนิ่งเงียบ

 

「……ไอริสเธอพอใจที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังรึเปล่า?」

 

โนโซมุกำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของโซเมียในอนาคตจึงได้ถามเธอเช่นนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เผยแพร่ไม่ได้ของตระกูลฟรานซิสเลย

 

ยังไงก็ตามไอริสตอบโนโซมุด้วยความจริงใจ

 

「อืมไม่เป็นไรหรอกค่ะ คราวนี้ฉันเองก็ได้นายช่วยเอาไว้เพราะฉะนั้นนายก็เข้ามาพัวพันกับเรื่องของพวกเราแล้ว ฉันไม่อยากจะปิดบังพวกนายอีกต่อไป แต่ถึงอย่างงั้นก็อย่าให้คนภายในบ้านรู้เรื่องนี้เด็ดขาดคะ」

 

ไอริสเธอบอกปัดว่าไม่สนใจ และเริ่มเล่าเรื่องราว

 

「ให้ฉันได้ขอบคุณพวกนายอีกครั้งเถอะนะ ขอบคุณที่ช่วยพวกเราในครั้งนี้ ต้องขอบคุณนายมากๆฉันจึงไม่เสียโซเมียไป ขอบคุณจริงๆ……ขอบคุณนะ」

 

「ขอบคุณค่ะ……………ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันเอาไว้คะ!」  

◇◆◇

พี่น้องตระกูลฟรานซิสก้มหัวให้พวกเรา โนโซมุรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย มาร์เองก็ดูมีความสุขคงเพราะรู้สึกแบบเดียวกันละมั้ง

 

「เอ่อ แต่ว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังสงสัย……」

 

「ไม่ใช่แบบนั้นสินะคะ!มันโครตของโครตเท่เลยที่โผล่มาช่วยในตอนนั้นค่ะ!」

 

「ฟุฟุ ใช่เลยค่ะอย่างที่โซเมียพูด」

 

โซเมียชูมือมาด้านหน้าและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ไอริสเองก็ชมโนโซมุ

 

「เอ่อข้าไม่อยากจะโดนชมมากนักหรอก………นอกจากนั้นข้ายัง…………」

 

โนโซมุที่สลบไปหลังสู้เสร็จไม่รู้จะทำตัวยังไงให้เป็นธรรมชาติ

 มาร์จ้องมองมาทางโนโซมุอย่างจริงจัง น่าจะเป็นเรื่องที่เขาอยากได้ยินจากปากของข้า…………。

◇◆◇

「…………โนโซมุบอกหน่อยได้ไหม? ว่าตอนท้ายของการต่อสู้นั่นน่ะแกทำอะไรลงไปกันแน่?」

 

「………………」

 

ไอริสและคนอื่นๆต่างเงียบกับคำถามของมาร์ บางทีพวกเธอเองก็สนใจเช่นกันทุกคนต่างจ้องมองเขา

 

「ก็รู้หรอกนะว่าแกน่ะแกร่งกว่าที่คนอื่นๆเขาเคยดูถูกแกเอาไว้ แต่ตอนนั้นตัวแกมันแปลกไป ราวกับหลุดไปคนละโลกกับพวกเราเลย?」

 

ในขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำ โนโซมุเริ่มพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

「นั่นคือ………ตัวข้าที่ปลด “พันธนาการ”ออก……」

 

「ปลดปล่อยพันธนาการเหรอคะ?」

 

โซเมียเอียงศีรษะให้กับคำพูดของโนโซมุ โนโซมุยังคงอธิบายต่อไป

 

「เอ่อทุกคนก็น่าจะรู้เกี่ยวกับความสามารถของข้า ความสามารถในการ “พันธนาการ”ใช่ไหมล่ะ?」

 

「แน่นอนว่าความสามารถนั่นจะกดพลังของผู้ที่ครอบครองมันให้ต่ำลงในระดับหนึ่งสินะคะ」

 

「ใช่แล้วล่ะ เพราะแบบนั้นทำให้ตัวข้ามีข้อจำกัดด้านพลังกายและพลังเวทย์ก่อขึ้นมา」

 

ในขณะที่ยืนยันคำพูดของไอริส โนโซมุก็อธิบายถึงความสามารถของเขา

 

「เรื่องนี้แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าในช่วงปลายปีของปี 2 นั้น ความสามารถนี้ก็ถูกปลดออกมา」

 

「……บางที อาจจะเป็นเพราะบาดแผลในตอนนั้นสินะ……」

 

「อืม ตอนนั้นมีหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายและข้าก็สามารถปลดพันธนาการของตัวเองได้ แต่ว่าอาการบาดเจ็บของข้านั้นหนักมากในช่วงการสอบปฏิบัติเลยทำให้ผลการเรียนออกมาแย่…………」

 

「แล้วทำไมถึงไม่ใช้มันมาจนถึงตอนนี้ล่ะ?」

 

「ก็เพราะว่า…………」

 

 

 

ฉากนั่นย้อนเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง กลิ่นของเมืองอาร์คาซัมที่ลุกไหม้และผู้คนที่ถูกเผาไหม้ และตัวเธอที่ถูก “หมอนั่น”กลืนกินเข้าไป

 

「อั่กก!」

 

 

 

「…………โนโซมุคุง?」

 

「อะ…ขอโทษนะครับ……เอ่อเหตุผลที่เก็บเงียบ……เพราะเมื่อใดที่ข้าปลดปล่อย “พันธนาการ” หากปลดปล่อยมันนานมากเกินไปจะควบคุมพลังของมันไม่อยู่ สามารถใช้งานได้เต็มที่เพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น。」

 

 โนโซมุตอบพร้อมกับซ่อนความกังวลในตัวเขา เขาไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดออกไป

 

「เพราะว่าแค่ปลดปล่อยพลังนั่น เพียงแค่ข้าสัมผัสหินมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามไม่ใช้กับผู้อื่น」

 

「…………แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้สินะ……………แต่ว่านั่นก็เป็นความสามารถของนาย」

 

「……เพราะว่าข้ากลัว」

 

 

 

ท้ายที่สุดแล้วโนโซมุก็ไม่ได้บอกเรื่องที่เขาเป็นดราก้อนสเลเยอร์

 

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปค่ำคืนก็มาเยือนท้องฟ้า โนโซมุและคนอื่นๆตัดสินใจกลับบ้านไอริสเองก็มาส่งพวกเขาทางหน้าประตูของคฤหาสน์

 

「ถ้างั้นขอตัวกลับก่อนนะ」

 

「ไว้เจอกันนะ」

 

「อืม ไว้เจอกันที่สถาบันนะ……」

 

「อืม ไว้เจอกัน」

 

โนโซมุบอกลาพวกเขา ทันใดนั้นโซเมียที่อยู่ข้างๆไอริสก็มากุมมือเขาไว้

 

「เป็นไรไปงั้นเหรอ?โซเมียจัง」

 

「คุณโนโซมุคะ! ขอบคุณที่ช่วยหนูไว้นะคะ! ตอนนั้นฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวอีกแล้วค่ะ…ตอนนี้หนูดีใจเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่กับพี่สาวต่อไปได้!」

 

โซเมียขอบคุณโนโวมุอีกครั้ง ไอริสเองก็เข้ามาขอบคุณเขาอีกครั้งเช่นกัน

 

「อ่า นั่นสินะถ้าตอนนั้นนายไม่มาช่วยพวกเราละก็ พวกเราคงได้แยกจากกันแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้….เพราะฉะนั้นขอบคุณจริงๆนะคะ」

 

โนโซมุรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของทั้งสองคนที่พูดกับเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ความวิตกกังวลมากมายอยู่ในหัวของข้า แต่อย่างน้อยตอนนี้การปลดปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ก็คงจะไม่แย่เสียเท่าไร

◇◆◇

「……ยังไงซะก็ยังไม่ได้ให้สิ่งนี้กับโซเมียจังเลย」

 

「???」

 

โซเมียเอียงศีรษะของเธอด้วยความสงสัย โนโซมุหยิบมันออกมาและยื่นให้เธอในอีกเช้าวันหนึ่ง

 

「แม้ว่าจะสายไปแล้ว แต่ก็สุขสันต์วันเกิดนะโซเมียจัง」

 

ข้าหยิบของขวัญที่คิดจะมอบให้เธอออกมา

เป็นเชือกสีขาวดำที่ถูกถักทอเป็นวงแหวนและมีกระดิ่งข้องไว้ด้วย

มันเป็นสิ่งที่ไว้ใส่คู่กับเครื่องประดับแขนของเธอ

 

「คือว่าข้าพยายามทำออกมาโดยใช้สิ่งนั้นอ้างอิงและคิดว่าคงจะดีถ้าทำด้วยมือของตัวเอง แต่ว่าตัวข้าดันไม่เอาไหนด้านนี้ซะเลย……」

 

「เอะ! มีความสุขมากเลยล่ะคะ! ขอบคุณมากนะคะคุณโนโซมุ!」

 

โซเมียพูดเช่นนั้นและใส่ประดับแขนที่มีกระดิ่งที่ข้าทำขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยสมส่วนกับเธอมากเท่าไรนัก แม้ว่าจะไม่ใช่ของที่ดีเลิศอะไรแต่มันก็ทำให้โซเมียจังมีความสุข

ไอริสยังคงมองน้องสาวของเธอด้วยรอยยิ้ม

ทั้งทิม่าและมาร์ก็ต่างมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

 

วันวานที่แสนวุ่นวาย รอยยิ้มที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นอีกเลยในช่วงชีวิตนี้ แน่นอนว่าทุกคนอยากปกป้องรอยยิ้มนั่นเอาไว้

 

 

ดีเลย์ 1 บทจากนายท่าน