บทที่ 7 ที่อยู่ใหม่
เจียงหนิงเอ๋อพูดจบ ก็ยิ้มเยาะเจียงหยุนเอ๋อแล้วจึงขึ้นรถ
รถคันนั้นขับออกไปอย่างรวดเร็ว เจียงหยุนเอ๋อยืนอยู่ที่เดิม มองจนรถคันนั้นลับตาไป แล้วจึงละสายตากลับมา หันหน้าไปหาคุณหมอที่เพิ่งจะเดินออกมา
“ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยเป็นธุระแทนฉันนะคะ” เจียงหยุนเอ๋อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
คุณหมอโบกมืออย่างเขินอาย แล้วจะเปิดปากพูด ในใจก็สงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจียงหยุนเอ๋อกับคนเหล่านั้น แต่ก็คิดได้ว่านี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของคนอื่น ไม่ควรเข้าไปยุ่ง จึงเก็บความสงสัยเหล่านั้นกลับไป
สายตาของเขามองไปที่ข้อมือของเจียงหยุนเอ๋อขมวดคิ้วแล้วถามว่า: “คุณหนูเจียง รอยแผลบนมือคุณ……จะเข้าไปจัดการในโรงพยาบาลหน่อยไหม?”
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกตะลึง ความเจ็บปวดบนข้อมือ ย้ำเตือนให้นึกถึงสิ่งที่เจียงเย่เฉิงปฏิบัติต่อเธอเมื่อกี้นี้ เธอกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วหัวเราะพลางพูดว่า: “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
หลังจากบอกลาคุณหมอ เจียงเย่เฉิงก็เดินกลับไปจูงถวนจื่อออกมา
“หยุนเอ๋อ พวกคนที่ทะเลาะกับเธอเมื่อกี้คือใครกัน?” เมื่อกี้ถวนจื่อยืนรอเจียงหยุนเอ๋ออยู่ที่ประตูโรงพยาบาลอย่างเชื่อฟัง และก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพียงแต่ไม่ได้ยินเนื้อหาที่เขาทะเลาะกัน
เจียงหยุนเอ๋อค่อยๆปล่อยมือ แล้วส่ายหัว พร้อมกับบอกว่า: “ไม่มีอะไร เพียงแค่พวกคนที่ไม่มีความสำคัญก็เท่านั้นเอง”
เธอไม่อยากจะลากถวนจื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ดังนั้นจึงไม่ได้คิดที่จะบอกเขา
เห็นเช่นนี้ ถวนจื่อจึงทำปากบูด แล้วบ่นพึมพำ: “ถึงเธอไม่พูด ฉันก็พอจะเดาออก……”
“เธอพูดอะไร?” เจียงหยุนเอ๋อได้ยินไม่ชัดจึงเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรครับ” ถวนจื่อพึมพำ
เจียงหยุนเอ๋อกลับประเทศครั้งนี้ เพียงแค่ตั้งใจมาดูอาการของซูม่านลีแล้วก็จะจากไป แต่ไม่คิดว่าอาการของซูม่านลีจะหนักขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าฝู้ชูเหมยไม่อยากให้ซูม่านลีดีขึ้น เจียงเย่เฉิงเองตอนนี้ก็เข้าข้างฝู้ชูเหมย ถ้าตัวเธอเองไม่อยู่ดูแลแม่ สถานการณ์ต้องยิ่งแย่ลงอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงหยุนเอ๋อก็ยิ่งมีอารมณ์ที่มั่นคงขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้แม่ของเธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยวได้
แต่ว่าถ้ายังอยากอยู่ในประเทศต่อ เรื่องด่วนที่เธอจะต้องทำในตอนนี้คือหาที่อยู่สักที่หนึ่ง เพราะว่า……เธอไม่มีทางที่จะกลับไปตระกูลเจียงได้อีกแล้ว
อีกทั้ง……
เจียงหยุนเอ๋อก้มหน้าลงไปมองถวนจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
ยังต้องหาโรงเรียนให้ถวนจื่ออีก
เจียงหยุนเอ๋อติดต่อกับนายหน้าที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว นายหน้าเองก็ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่นานก็แนะนำชุมชนที่มีการคมนาคมสะดวก และอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่ไกลนักให้ที่หนึ่ง หลังจากที่เจียงหยุนเอ๋อไปดูแล้วก็รู้สึกพอใจมาก จึงไม่ต้องพูดอะไรต่อ ก็สรุปว่าจะเช่าบ้านหลังนี้
เมื่อเซ็นสัญญากับเจ้าของบ้านเสร็จ เจียงหยุนเอ๋อก็เตรียมที่จะสอบถามเธอเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ใกล้ๆ
“คุณน้าเจ้าของบ้านคะ ขอถามหน่อย แถวนี้มีโรงเรียนอนุบาลอะไรบ้างคะ?”
“โรงเรียนอนุบาล แถวนี้มีหลายที่” เมื่อเจ้าของบ้านได้ยินดังนั้น ก็พูดแนะนำให้กับเจียงหยุนเอ๋อแต่เจียงหยุนเอ๋อฟังแล้วก็ยังไม่รู้สึกพอใจเท่าไหร่นัก
เมื่อเจ้าของบ้านพูดจบ ถึงแม้ว่าเจียงหยุนเอ๋อยังไม่ได้รับคำตอบที่เป็นที่น่าพอใจ แต่ก็พูดว่า: “ขอบคุณค่ะ”
เจียงหยุนเอ๋อกลับประเทศครั้งนี้ ก็ไม่ได้นำกระเป๋าเดินทางมามากมายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อย้ายเข้าไปในบ้านเช่าแล้ว จึงพาถวนจื่อไปห้างสรรพสินค้าแล้วเลือกซื้อของกลับมากองโต ทำความสะอาดไปก็รู้สึกโมโหไป
เมื่ออาบน้ำเสร็จในตอนกลางคืน เจียงหยุนเอ๋อก็เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้ในอินเทอร์เน็ต
ต่างกับที่เจ้าของบ้านบอกไว้ไม่มาก โรงเรียนอนุบาลเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เธอพอใจได้เท่าไหร่นัก หลังจากที่ลองเลือกดูอย่างละเอียด เจียงหยุนเอ๋อก็พบเข้ากับโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
โรงเรียนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เลว แถมยังเป็นโรงเรียนที่ได้รับยกย่องให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณธรรมสูงส่ง เพียงแต่ค่าเทอม ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถแบกรับภาระได้
หลายปีมานี้ถึงแม้เจียงหยุนเอ๋อจะสูญเสียที่พักอาศัยไป แต่เพราะสู้ชีวิตอยู่ในต่างแดนอยู่หลายปี จึงพอจะมีเงินออมอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น เธอคิดว่าเพื่อถวนจื่อแล้ว ต่อให้ต้องใช้เงินเยอะขนาดไหนก็คุ้มค่า จึงไม่ลังเลที่จะลงชื่อให้ถวนจื่อ วันต่อมาจึงไปสมัครเรียนให้ถวนจื่อและเสียค่าธรรมเนียมให้แก่โรงเรียนอนุบาลเรียบร้อย
กลับมาบ้านด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า เจียงหยุนเอ๋อเรียกให้ถวนจื่อเข้ามาหา: “ถวนจื่อ แม่สมัครเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลให้ลูกแล้วนะ พรุ่งนี้ลูกต้องไปโรงเรียนแล้ว อยู่ในโรงเรียนต้องรู้จักเชื่อฟังรู้นะ”
ถวนจื่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง: “หยุนเอ๋อ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก แม่ก็เห็นแล้วว่าผมฉลาดขนาดนี้ คิดว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาอย่างนั้นหรือ? “
เมื่อเห็นท่าทีคุยโวโอ้อวดของถวนจื่อ เจียงหยุนเอ๋อก็อดไม่ไหวที่จะขำออกมา ทำให้ความกังวลในใจที่มีต่อถวนจื่อทุเลาลงไม่น้อย
“ช่วงหลังจากนี้ ฉันจะต้องไปคอยอยู่ดูแลคุณยายของเธอ ดังนั้นอาจจะมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเธอไม่มากนัก เมื่อเธอเลิกเรียนแล้ว ก็ให้รอฉันไปรับที่โรงเรียนอนุบาลอย่างเชื่อฟัง ห้ามไปไหนมาไหนเองโดยเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“วางใจเถอะ หยุนเอ๋อ แม่ไปดูแลคุณยายให้ดีเถอะ ผมอยู่คนเดียวได้” ถวนจื่อแสดงสีหน้าจริงจัง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่พยายามเลียนแบบผู้ใหญ่ของเขาแล้ว ในใจของเจียงหยุนเอ๋อรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก
ถวนจื่อเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆแท้ๆ ทำไมจะต้องมาแบกรับภาระมากมายขนาดนี้ด้วยนะ?
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหยุนเอ๋อเตรียมอาหารเช้าไว้ตั้งแต่เช้า แล้วจึงปลุกถวนจื่อ
วันแรกของการเรียน ถวนจื่อไม่ได้รู้สึกขี้เกียจที่จะลุกจากที่นอน หลังจากทานข้าวเช้าพร้อมเจียงหยุนเอ๋อเสร็จก็ไปโรงเรียนอนุบาลพร้อมกัน
ถวนจื่อใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกับเจียงหยุนเอ๋อมาโดยตลอด กลับมาประเทศครั้งนี้ จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่รอบตัวไปเสียหมด หลังจากไปถึงโรงเรียนอนุบาลแล้ว ก็ปล่อยมือเจียงหยุนเอ๋อแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
เห็นด้านหลังของเขา เจียงหยุนเอ๋อก็รู้สึกน่าขันแล้วรีบลากเขากลับมา แล้วจึงตักเตือนอย่างไม่ค่อยวางใจว่า: “ถวนจื่อ เธออยู่ในโรงเรียนอนุบาลต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ และจะต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนนักเรียนให้ได้ เข้าใจไหม?”
ถวนจื่อไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้า อีกทั้งยังตบหน้าอกตัวเองเพื่อเป็นการรับประกัน: “ผมรู้แล้ว!”
เห็นดังนั้น เจียงหยุนเอ๋อจึงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากหน้าอกแล้วยื่นให้เขา: “นี่คือโทรศัพท์ที่ฉันเพิ่งซื้อให้เธอ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาล ให้รีบโทรหาฉันทันที เข้าใจไหม?”
ถวนจื่อไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศมาก่อน เจียงหยุนเอ๋อจึงไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนๆได้ไหม เป็นเพราะกลัวว่าถวนจื่อจะถูกรังแก จึงได้คิดวิธีการนี้ออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น ถวนจื่อชอบเล่นเกมมาก ถ้าหากไม่มีโทรศัพท์ เขาจะต้องรู้สึกเบื่อจนเป็นบ้าแน่ๆ
เจียงหยุนเอ๋อมองเห็นความสามารถพิเศษในการเล่นเกมของถวนจื่อ แต่ไหนแต่ไรจึงไม่ได้คิดที่จะขัดขวาง เพราะเอรู้สึกว่าการเล่นเกมถือเป็นงานอดิเรกทั่วๆไปอย่างหนึ่ง อีกทั้ง……ไม่แน่ว่าถวนจื่ออาจจะเป็นเซียนที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเกมก็ได้
หลังจากตักเตือนเสร็จ เจียงหยุนเอ๋อก็ลูบหัวถวนจื่อ แล้วจึงจากไป