บทที่ 23 ดาบนั้น

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 23 ดาบนั้น

เขามองเห็นแสงสีทองออกมาจากรูปปั้นที่เลือนลางบนกำแพงในศาลเจ้า!

พวกมันทุกตน ล้วนเป็นต้นกำเนิดแสงเล็กๆ เมื่อแสงมารวมเข้าด้วยกัน ทำให้ทั้งศาลเจ้ากลายเป็นแสงเจิดจ้า แต่ต้นกำเนิดแสงที่ใหญ่ที่สุดกลับไม่ใช่พวกมัน

แต่เป็น…รูปปั้นหลักที่ถูกสักการะอยู่ใจกลางศาลเจ้า รูปปั้นหินที่ถือดาบอยู่ตนนั้น!

สวี่ชิงจิตวิญญาณสั่นสะเทือนท่ามกลางแสงสีทอง เขายังมองเห็นจุดที่เป็นประตูใหญ่ของศาลเจ้า มีร่างปราณหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ มองรูปร่างไม่ชัด เห็นเป็นเพียงรูปร่างคนที่เลือนราง กำลังบิดเบี้ยวอยู่ท่ามกลางแสงสีทอง

ด้านหลังที่อยู่นอกศาลเจ้า ร่างเงาหมอกดำรูปร่างเหมือนทั้งคนและสัตว์เลือนรางเช่นนี้อัดแน่นกันกันอีกนับร้อย

เวลานี้ขณะที่ไอเย็นทั้งหมดกำลังแผ่ซ่านความหนาวเหน็บอันน่าตกตะลึงออกมาในพริบตานั้น ก็มารวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นความหนาวเย็นขนาดมหึมา คล้ายจะเชื่อมต่อเข้ากับหมอกดำไร้รูปร่างที่เหยียบย่ำเข้ามาในศาลเจ้าอย่างไรอย่างนั้น

ทำให้เงาดำหนึ่งเดียวที่เหยียบเข้ามาในศาลเจ้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นภายใต้การสาดส่องลงมาของแสงสีทอง เปล่งเสียงคำรามที่เหมือนจะสามารถสั่นสะเทือนจิตวิญญาณได้ออกมา เหยียบย่างเข้ามาอีกก้าว

ย่างก้าวนี้ ก็เหมือนกับทำอะไรผิด ราวกับไปแตะต้องสิ่งต้องห้าม!

พริบตาที่เท้าแตะพื้น ในใจสวี่ชิงที่ตะลึงพรึงเพริดก็มองเห็นรูปปั้นหินถือดาบอาบแสงตนนั้น เดินออกจากจุดที่ยืนราวกับมีชีวิตขึ้นมาฉับพลัน

นำเอาความน่าเกรงขามไร้เทียมทาน นำเอาความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจพรรณนา ประดุจเทพยดาจุติยังโลก สาวเท้าก้าวใหญ่เดินตรงไปยังเงาดำ ส่งเสียงครืนครันบนพื้นพสุธา

ยกมือฟาดดาบลง หนึ่งดาบตัดสะบั้น

ดาบนี้เรียบง่ายสามัญ ไม่ฉูดฉาด แต่ในความเรียบง่ายนี้กลับแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองของเทพเจ้าแห่งมหามรรคา ลั่นฟ้าสะเทือนดิน

แม้หูไม่ได้ยิน แต่จิตวิญญาณกลับสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดแหลม แผ่ซ่านออกมาฉับพลันจากร่างเงาดำนั้น

ปราณหมอกเดือดระเหย จนเผยให้เห็นร่างเน่าเปื่อยทั้งตัวด้านใน ร่างกายที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น

มองออกว่านั่นเป็นชายชราคนหนึ่ง เบ้าตากลวงโบ๋

พริบตาต่อมา ร่างของเขาก็บุบสลาย เดือดระเหิดหายไปเช่นเดียวกับปราณหมอก

และเงามืดด้านนอกเหล่านั้นก็ทยอยถูกผลกระทบ หมอกดำภายนอกร่างกายก็เลือนราง ทำให้สวี่ชิงหยิบยืมแสงทองที่แผ่ซ่านมองเข้าไปในกลุ่มเงาเหล่านั้น แล้วมองเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง

นั่นคือ…หัวหน้าเงาโลหิต!

เวลานี้เขาอยู่ในกลุ่มเงาดำนั่น บนใบหน้าผอมซูบไม่มีสีหน้าใด ร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกชำระล้างจนสลายไปจากแสงทองที่แผ่ซ่าน

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในราตรีมืดมิดภายนอก ร่างเงาที่ยังไม่สลายไปเหล่านั้นก็ทยอยถอยออกไป จนท้ายที่สุดก็หายไปทั้งหมด

และแสงทองในศาลเจ้าเองก็ค่อยๆ ลดลง ร่างของเทพประยุทธ์ที่น่าตกตะลึงร่างนั้นหันหลังกลับ นำเอาแสงจ้ากลับไปยังตำแหน่งเดิม เมื่อแสงทั้งหมดสลายหายไปแล้ว เขาก็เหมือนกลับกลายเป็นรูปปั้นหินอีกครั้ง ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น จ้องมองไปทางประตูใหญ่ เหมือนกำลังเฝ้ารอ เหมือนกำลังปกป้อง ไม่ขยับไหวติง

ผ่านไปเนิ่นนาน ทั้งหมดก็กลับสู่ภาวะปกติ มีเพียงสวี่ชิงที่มองเห็นทั้งหมดจากในร่องหินเท่านั้น หายใจหอบถี่ ในดวงตาเผยความไม่อยากเชื่อออกมา

ทั้งหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตที่เห็นว่าสลายหายไปกับตา ตายไปในปราณหมอกเสียงเพลงคนนั้นยังมีตัวตนอยู่

ทั้งศาลเจ้าธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง แต่กลางคืนกลับมีแสงทองเจิดจ้า

รูปปั้นหินที่ไม่ขยับเขยื้อนตนหนึ่ง กลับฟาดดาบใหญ่ที่ไร้เทียมทานลงมาราวกับเทพเจ้าจุติยังโลก

สีท้องฟ้าด้านนอกตอนนี้ ปรากฏแสงตะวัน วันใหม่มาถึงแล้ว

สวี่ชิงใช้เวลาอยู่นานจึงสะกดจิตใจที่สั่นสะเทือนลงได้ คลานออกมาจากในร่องหินเงียบๆ

เขามองไปยังแสงด้านนอก และมองไปยังรูปปั้นที่อยู่บนกำแพงรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่บนรูปปั้นหินถือดาบ

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนแบบใด ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

และไม่รู้ว่าอายุของหมู่ศาลเจ้าเหล่านี้คือเท่าไร และเคยมีความรุ่งโรจน์อย่างไร

แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่หลวงให้แก่เขา

โดยเฉพาะพลังแฝงตอนที่ดาบนั้นฟาดฟันลงมาอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้สวี่ชิงสั่นสะเทือนอยู่ลึกๆ ราวกับสลักลงไปในจิตวิญญาณไม่มีวันลืมเลือน

เขาจินตนาการไม่ออกเลย ว่าในพื้นที่ต้องห้ามที่เต็มไปด้วยความอันตรายและวิกฤตนี้ จะยังมีพื้นที่ที่ความมืดไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้อยู่ผืนหนึ่งด้วย

และเรื่องนี้หัวหน้าเหลยก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน บางที…หัวหน้าเหลยเองก็อาจจะยังไม่เคยได้ยินเช่นกัน

ฉากที่เกิดขึ้นเช่นเมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นบ่อยนัก ขณะเดียวกันคนในฐานที่มั่นที่สามารถอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามได้นานเช่นเขาก็คงจะไม่มีอยู่เช่นกัน

ดังนั้นต่อให้มีคนเคยเห็น ก็คงจะน้อยถึงน้อยมาก และก็ค่อยๆ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ไม่เคยมีการพิสูจน์เรื่องหนึ่งไป

สวี่ชิงนิ่งงัน คารวะไปยังรูปปั้นหินถือดาบและรูปปั้นรอบๆ อย่างลึกซึ้ง

หลังจากคิดๆ เขาก็ล้วงหยิบเอาเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากถุงหนัง วางไว้ด้านหน้ารูปปั้นหิน จัดการจุดแล้วคารวะลงอีกครั้ง

หันหลังเดินออกจากศาลเจ้า

จนเดินออกมาจากกลุ่มศาลเจ้า เขาก็ยังคอยหันกลับไปมองเป็นระยะ เหมือนจะจดจำที่นี่ไว้ในส่วนลึกจิตใจ ขณะเดียวกันในหัวสมองก็มีภาพฟันดาบลงมานั้นปรากฏอยู่เนืองๆ

ภาพนี้แจ่มชัดอยู่ในหัวของเขา ขนาดทำให้สวี่ชิงที่เดินออกมาจากเขตศาลเจ้าแล้ว ขณะเดินอยู่ในป่ายังยกมือขวาขึ้นสูงเพื่อเลียนแบบตามสัญชาตญาณออกมา

และทุกครั้งที่เลียนแบบ ก็ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

ถ้าพูดว่าการฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรเป็นการเลียนแบบภาพของเซียวล่ะก็ เช่นนั้นสวี่ชิงเวลานี้ ก็คือนำภาพของเซียวนั้นเปลี่ยนเป็นภาพการลงดาบที่อยู่ในหัว

พลังบำเพ็ญของเขาก็ทะลวงขั้นไปโดยไม่รู้ตัวในการเลียนแบบนี้ เคล็ดคีรีสมุทรยกระดับขั้นเป็นขั้นที่สี่!

บางทีอาจเพราะเลียนแบบดาบนั่น ดังนั้นการยกระดับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังและความเร็ว แต่ยังมีการทะลวงขั้นด้านจิตวิญญาณอีกด้วย

การทะลวงขั้นเช่นนี้ ทำให้ขณะเดียวกันที่ความคิดของสวี่ชิงเฉียบคมขึ้น เมื่อยกมือขวาแล้วฟาดลง ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงรสชาติของดาบเทพเจ้านั่นอยู่เล็กน้อย

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงยินดีอย่างมาก

สองวันผ่านไป บางทีอาจเพราะอยู่พื้นที่วงนอก หรืออาจเพราะการสั่นสะเทือนของค่ำคืนนั้นที่ศาลเจ้า ในช่วงขากลับเขาจึงไม่พบกับเสียงฝีเท้าของสิ่งประหลาดอีกเลย

และทางด้านอสูรกลายพันธุ์เอง สวี่ชิงก็พบบ้างประปราย

แต่การยกระดับของพลังบำเพ็ญ ทำให้ความสามารถเอาตัวรอดของเขาเพิ่มขึ้น จึงหลบเลี่ยงออกมาอย่างราบรื่นภายใต้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

แม้ดอกลิขิตฟ้ากับหินขจัดแผลเป็นจะหาไม่เจอ แต่เขาก็เก็บหญ้าเจ็ดใบกลับมาไม่น้อย นำกลับไปขาย ก็น่าจะแลกเหรียญวิญญาณได้พอสมควร

ขณะใกล้ถึงช่วงเย็น สวี่ชิงมองเห็นโลกด้านนอกป่าแล้ว ตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป แต่จู่ๆ เท้าก็ชะงักงัน ก้มหน้าไปยังสมุนไพรกอหนึ่งข้างๆ

รูปร่างของสมุนไพรนี้ ดูแล้วคล้ายกับดอกลิขิตฟ้าอยู่บ้าง แต่ต่อให้เขาที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเท่าหางอึ่ง เมื่อมองอย่างละเอียด ก็ยังสามารถแยกแยะออกว่าไม่ใช่ดอกลิขิตฟ้า

แต่ว่าสวี่ชิงก็คิดๆ หลังจากมองไปรอบๆ อย่างใจฝ่อ ก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงเก็บเกี่ยวมันขึ้นมาใส่เข้าไปในถุงหนัง

วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วตลอดทาง เมื่อออกจากป่ากว่าจะกลับไปถึงฐานที่มั่นก็พลบค่ำแล้ว

ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงกลางดึก ในฐานที่มั่นยังคงคึกคักมาก โดยเฉพาะพื้นที่กระโจมที่มีขนนกนั่น ในเสียงสรวลเสเฮฮายังมีเสียงหอบกระเส่าติดมาด้วย

สวี่ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้วเปิดประตูเรือน ก็เห็นร่างของหัวหน้าเหลยเพิ่งเดินออกมาจากในห้องพอดี

หลังจากเห็นสวี่ชิงที่แม้จะดูไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง หัวหน้าเหลยจึงวางใจ

“ทำไมไปนานนัก”

“ไปศาลเจ้ามารอบหนึ่ง” สวี่ชิงมองเห็นเส้นเลือดแดงรวมไปถึงสีหน้าอันเหนื่อยล้าของหัวหน้าเหลยใต้แสงไฟสะท้อนในห้องกับแสงจันทร์

เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้ไม่ได้พักผ่อนดีเท่าไรนัก และเพราะสาเหตุใดนั้น…เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ ในใจจึงรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา

“ศาลเจ้าหรือ” หัวหน้าเหลยประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะไปไกลถึงเพียงนั้น เวลานี้จึงเรียกเขาเข้ามาในห้องครัว เลิกแขนเสื้อขึ้น ระหว่างที่สวี่ชิงกำลังรอ ก็จัดการยกสำรับอาหารที่ทำเสร็จแล้วขึ้นโต๊ะ

อาหารยังร้อนอยู่ และไม่มีร่องรอยการแตะต้อง สวี่ชิงตะลึงงัน

เขาเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าหัวหน้าเหลยไม่รู้ว่าตนเองจะกลับมาเมื่อไร เช่นนั้นจึงอธิบายจุดหนึ่งที่มีอาหารร้อนๆ เมื่อเขาเพิ่งกลับมาถึงได้ชัดเจน

อีกฝ่าย…ทำอาหารเตรียมพร้อมทุกวันรอตนกลับมาอยู่

สวี่ชิงลุกขึ้นไปหยิบชามตะเกียบออกมาสามชุด จัดวางไว้สองด้านเช่นเคย จากนั้นจึงนั่งลงกินข้าว

หอมมาก มีรสชาติพิเศษอย่างหนึ่งที่ต่อมรับรสไม่อาจสัมผัสได้ มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่สัมผัสถึง

หัวหน้าเหลยกินน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่หากไม่ดื่มสุรา ก็จะจ้องมองสวี่ชิง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

“กินเยอะๆ เจ้ายังโตได้อีก ไม่กินให้เยอะอีกหน่อยเดี๋ยวจะสูงอยู่แค่นี้นะ”

ประโยคนี้ ทำให้สวี่ชิงก้มหน้าลง ครู่หนึ่งจึงส่งเสียงอืมกลับมา กินลงไปให้มากอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงเอ่ยเรื่องที่ตนเองพบเจอมาในศาลเจ้ากับหัวหน้าเหลย

หัวหน้าเหลยเดิมทีกำลังดื่มสุราอึกแล้วอึกเล่า แต่ไม่นานก็ถูกสิ่งที่สวีชิงไปเจอมาดึงดูดเข้า จนสวี่ชิงพูดจบ เขาจึงสูดหายใจลึก ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า

“เรื่องนี้ ข้าเคยได้ยินมาก่อน แต่นั่นก็นานมาแล้ว มีคนเคยเห็นเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่ตำนานเหมือนกับเสียงเพลงนั่น

“ตอนนี้พอมาคิดดู ก็เหมือนจะเกิดขึ้นหลังเสียงเพลงปรากฏไม่นานเหมือนกัน” หัวหน้าเหลยงึมงำ จู่ๆ ก็คิดอะไรออก ความทรงจำในดวงตาก็ค่อยๆ เศร้าสร้อยขึ้น

มองหัวหน้าเหลย สวี่ชิงรู้ว่าเขาคิดถึงอะไร จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกต้องรับผิดชอบ เขารู้สึกว่าตนเองไม่ควรพูดเรื่องนี้ จึงเงียบลง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งหัวหน้าเหลยก็สงบสติได้อีกครั้ง เหมือนมองสาเหตุที่สวี่ชิงเงียบงันออก จึงหัวเราะขึ้น

“เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไวต่อความรู้สึกเกินไปแล้ว ข้าน่ะนะ ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดหรอก”

หัวหน้าเหลยพูดพลาง กระดกสุราลงไปอึกใหญ่ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา มาพูดเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นในฐานที่มั่นหลายวันนี้

เขาดื่มไปพูดไปด้วย สวี่ชิงก็กินไปฟังไปด้วย

เหมือนกับ…ครอบครัว

กลางดึก หลังจากที่นั่งดื่มสุรา มองสวี่ชิงเก็บกวาดชามตะเกียบจนเสร็จ หัวหน้าเหลยก็ยิ้มแล้วลุกขึ้น เดินกลับไปในห้อง

สวี่ชิงเองก็กลับไปที่ห้องตัวเอง หลังจากเข้าไปเขาก็เห็นเครื่องนอนถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกปูไว้เรียบร้อยจากสภาพม้วนพับก่อนหน้า ทั้งยังมีกลิ่นไอแดดจากการตากผึ่งไว้อยู่ด้วย

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางห้องหัวหน้าเหลยที่อยู่ข้างๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไป คิดจะนั่งไปด้านบน แต่พอก้มหน้าลงมองรอยสกปรกบนเสื้อผ้ากับมือของตนเอง เขาจึงม้วนเครื่องนอนกลับไปก่อน แล้วนั่งลงบนเตียง หลับตาลงฝึกบำเพ็ญ

เช้าตรู่ สวี่ชิงลืมตาขึ้น

ขณะกำลังจะออกจากห้องนอน แต่เมื่อคิดๆ ดู เขาจึงไปที่ห้องน้ำ แล้วฝืนล้างมืออย่างไม่คุ้นชิน

หลังจากทำให้มือทั้งสองของตนเองสะอาด เขาก็สูดลมหายใจลึก ออกจากเรือนแล้วตรงไปยังกระโจมที่ขบวนรถของหมอจอดอยู่

เขารู้ว่าไปเช้ามากไม่ได้ และไม่อยากจะไปช้ามากด้วยเช่นกัน

ข้อแรกคือปรมาจารย์ไป่อาจจะยังไม่เริ่มสอน ส่วนข้อหลัง…เขากังวลว่าจะพลาดเนื้อหาก่อนหน้าไป

เป็นเช่นนี้ ตามการคำนวณของสวี่ชิง เมื่อเขามาถึงด้านนอกกระโจมของปรมาจารย์ไป่ ก็มีเสียงทดสอบดังลอดออกมาจากด้านในพอดี

สวี่ชิงลิงโลดขึ้นในใจ ยืนเงียบอยู่ตรงนั้น แบ่งสมาธิไปฟัง

“น้ำค้างดอกบัวดำ มีอีกชื่อว่าน้ำค้างบัวดำ เป็นดอกตูมของพืชตระกูลบัวนิทรา น้ำหอมระเหยที่ได้จากการนำไฟไปอุ่นด้วยวิธีพิเศษ มีสรรพคุณทำให้ปอดสงบลง บรรเทาอาการไอเป็นเลือด…”

ในกระโจมยังคงเป็นเสียงเด็กสาวเช่นเดิม สวี่ชิงฟังเคลิบเคลิ้มอย่างช้าๆ เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อตัว เพียงไม่นานก็ผ่านไปหลายชั่วยาม จนกระทั่งกระโจมเปิดออกกะทันหัน ปรมาจารย์ไป่ยืนอยู่ตรงนั้น มองมาทางเขา

“มีธุระอะไร” ปรมาจารย์ไป่สายตาไม่ได้ดุดัน แต่ก็มีความน่าเกรงขาม สวี่ชิงตึงเครียดมาก รีบล้วงสมุนไพรที่ตนเองเด็ดระหว่างทางกลับจากถุงหนังออกมา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ปรมาจารย์ไป่ ข้า…ข้าอยากถามว่า เจ้านี่คือดอกลิขิตฟ้าใช่หรือไม่”

เมื่อเอ่ยออกไป ปรมาจารย์ไป่ก็งงงันอยู่พักหนึ่ง

หลังจากเขากวาดสายตา สีหน้าประหลาดเล็กน้อย จากนั้นก็มองมือที่ดูสะอาดสะอ้านกว่าครั้งที่แล้วของเด็กหนุ่ม ครู่ต่อมาเขาจึงเอ่ยขึ้นแช่มช้าท่ามกลางความตึงเครียดของสวี่ชิง

“สิ่งนี้ ไม่ใช่”

สวี่ชิงรีบร้อนคารวะ จากนั้นจึงรีบเดินออกไป ระหว่างทางก็ถอนหายใจโล่งออกมา แต่ในใจก็เกิดกระสับกระส่าย ดังนั้นจึงหันหน้ากลับไปมองทางกระโจม และพบว่าปรมาจารย์ไป่เองก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น

สังเกตเห็นถึงสายตาของเด็กหนุ่ม ปรมาจารย์ไป่พยักหน้า

สวี่ชิงมองฉากนี้ หยุดฝีเท้าลง จากนั้นจึงคารวะอย่างลึกซึ้งอีกครี้งหนึ่งแล้วจึงจากไป

ส่งสวี่ชิงไปด้วยสายตา ปรมาจารย์ไป่หมุนตัวเดินกลับเข้ามาในกระโจม เวลานี้องครักษ์และเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ควรจะอยู่ในกระโจม กลับแข็งทื่อเป็นหินไม่ขยับเขยื้อน

ตำแหน่งที่ปรมาจารย์ไป่นั่งอยู่ก่อนหน้า ไม่รู้มีโต๊ะตัวหนึ่งมาวางตั้งแต่เมื่อไร บนโต๊ะมีอาหารและสุราเลิศรสเล็กน้อยวางไว้ ด้านข้างมีชายชราในชุดคลุมสีม่วงเพิ่มมาคนหนึ่ง และด้านหลังของเขาก็มีผู้ติดตามชุดเทาอีกคน

เมื่อเห็นปรมาจารย์ไป่เดินเข้ามา ชายชราชุดคลุมม่วงก็หัวเราะร่า

“ปรมาจารย์ไป่ เป็นอย่างไรบ้าง”

“อะไรเป็นอย่างไร”

ปรมาจารย์ไป่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการปรากฏตัวของชายชราชุดคลุมม่วงคนนี้เลยแม้แต่น้อย และไม่กังวลกับคนรอบๆ ที่ไม่ขยับตัวเลยอีกด้วย นั่งลงตรงข้ามชายชราชุดคลุมม่วง หยิบจอกสุราขึ้นมาดื่ม

“ข้าถามว่าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งก่อนก็บอกเจ้าไปแล้ว ว่าตอนที่ข้ากำลังรอเจ้ามา ไปเจอกับต้นกล้ายอดเยี่ยมเข้าให้ต้นหนึ่ง” ชายชราชุดม่วงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ต้นกล้ายอดเยี่ยมหรือ เจ้าเด็กคนนี้ตอนแรกมาแอบฟังก็เรื่องหนึ่ง ครั้งนี้เพื่อจะมาแอบฟัง ยังหาสมุนไพรมาส่งเดชแล้วมาถามข้าว่าใช่ดอกลิขิตฟ้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคิดว่าถัดจากนี้ทุกวันเขาคงจะหยิบเอาสมุนไพรมาสอบถามเพื่อแอบฟังทุกวันเลยกระมัง ถ้าไม่ใช่เจ้าบอกข้าไว้ก่อน ข้าคงไล่เขาไปตั้งนานแล้ว”

ปรมาจารย์ไป่ถลึงตา ร้องเชอะไปทางชายชราชุดคลุมม่วงเสียงหนึ่ง

ชายชราชุดคลุมม่วงหัวเราะร่า

“คนอย่างเจ้ามันปากร้ายใจดี ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของเจ้า ถ้าไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ปั้นได้ล่ะก็ แค่ทักทายก็คงไม่ชายตาแล”

ปรมาจารย์ร้องเชอะ ไม่อธิบายอะไร เพียงถามมาประโยคหนึ่ง

“เจ้าคิดจะพาเขากลับไปเจ็ดเนตรโลหิตหรือ ที่นั่นมันเต็มไปด้วยสิ่งไม่ดี สิ้นเปลืองต้นกล้านักปราชญ์ไปเปล่าๆ!”

“จะสิ้นเปลืองได้อย่างไร พวกนักปราชญ์มีอะไรดีกัน โลกใบนี้พลังบำเพ็ญต่างหากจึงจะเป็นหลักแห่งมรรคา!” ชายชราชุดคลุมม่วงเลิกคิ้วตอบกลับ

“นักปราชญ์ไม่มีอะไรดีหรือ แล้วเจ้าจะมารอคนธรรมดาสามัญอย่างข้าที่นี่ทำไมกัน เอาแต่เชิญให้ไปสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกับเจ้าอยู่นั่น” ปรมาจารย์ไป่เอ่ยขึ้นด้วยโทสะ

“ก็ท่านไม่เหมือนคนอื่น…” ชายชราชุดคลุมม่วงยิ้มเจิดจ้า

“ข้าไม่เหมือนอย่างไร!” ปรมาจารย์ไป่ถลึงตาใส่ชายชราชุดคลุมม่วงด้วยความโมโห

ชายชราชุดคลุมม่วงตบลงบนหน้าผากอย่างจำใจ

“ไอ้หยา ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องหนึ่งยังไม่ได้จัดการ ปรมาจารย์ไป่ข้าขอตัวก่อนล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่ำสุรากับเจ้าใหม่”

พูดจบ ชายชราชุดคลุมม่วงก็ลุกขึ้นแล้วออกไป แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาก็หันหน้ากลับมามองปรมาจารย์ไป่ เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า

“ปรมาจารย์ไป่ ถ้าท่านคิดว่าเด็กคนนั้นปลุกปั้นได้ ก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับเขาเสียหน่อยเถิด ให้เขาได้มีโอกาส ได้กลายเป็นนักปราชญ์ที่มีพลังบำเพ็ญคนหนึ่งในเจ็ดเนตรโลหิต”

พูดจบ ชายชราชุดคลุมม่วงก็พาคนติดตามชราจากไป การหยุดนิ่งทั้งหมดในกระโจมก็กลับสู่ปกติในพริบตา แต่กลับไม่มีคนสังเกตถึงความผิดปกติของตนเองเมื่อครู่นี้เลย

องครักษ์ยังคงยืนเข้าเวร เด็กหนุ่มยังคงดูหงุดหงิด เด็กสาวยังคงดูภูมิอกภูมิใจ

มีเพียงปรมาจารย์ไป่ ที่เงยหน้ามองไปยังตำแหน่งที่สวี่ชิงจากไปก่อนหน้า ในดวงตามีแววครุ่นคิด