ตอนที่ 21 จับฉันไปด้วย

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 21 จับฉันไปด้วย

มู่เถาเยาปลอบโยนก้อนซาลาเปาเล็กๆ หลายก้อนก่อนจะเดินออกไป เธอลากผู้หญิงที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูออกไปอีกฝั่งและลงมือสกัดจุดพวกเขาเพิ่มอีกหลายจุด

ทั้งสามคนเหงื่อออกท่วมตัว สีหน้าแสดงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือร้องออกมาได้ มีเพียงนัยน์ตาของพวกเขาที่ขยายกว้างขึ้นจากความทุกข์ทรมานที่ราวกับกระดูกถูกเลาะออกทั้งเป็น มันเป็นความเจ็บปวดที่มากกว่าการทรมานผ่านเนื้อหนังเป็นร้อยเป็นพันเท่า!

มู่เถาเยาตวัดสายตากวาดมองเศษเดนทั้งสามคนอย่างเย็นชา ไม่จำเป็นต้องลงประชาทัณฑ์ เธอก็สามารถทำให้พวกมันมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายได้โดยไม่มีบาดแผลภายนอกให้เห็นสักนิด

ตามความเห็นของเธอ ขยะประเภทนี้รังแต่จะสร้างมลพิษให้กับโลก แม้ว่าจะส่งพวกมันไปลงนรก หรือกระทั่งส่งพวกมันไปเกิดใหม่เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วฝังพวกมันไว้ใต้ดิน เธอยังสงสารพื้นดิน กลัวว่าจะเป็นการสร้างมลทินสร้างมลพิษให้กับผืนดินนั้น!

พวกมันไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้!

หลังจากชื่นชมกับสีหน้าที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานของทั้งสามคนแล้ว มู่เถาเยาก็เดินตามเสียงลงมาจากชั้นสองเพื่อค้นหาพวกเขาทีละคน

พบคนทั้งหมดสิบห้าคนในทั้งสามชั้น

ทุกคนจ้องมองมู่เถาเยาราวกับกำลังเห็นผี

พวกเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ เพียงสัมผัสพวกเขาเบาๆ สองสามครั้งจะทำให้พวกเขาขยับเขยื้อนหรือพูดไม่ได้ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นมันยังสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสจนพวกเขาอยากจะฆ่าตัวตาย

เธอปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไรตอนไหนไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าท่ามกลางพวกเขาหลายสิบคน ไม่มีใครเลยที่ทันได้ออกกระบวนท่าตอบโต้ แม้แต่การตอบสนองพื้นฐานก็ยังทำไม่ได้!

ชายวัยกลางคนผู้ฝึกยุทธโบราณที่ดูเหมือนกับจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม นอกจากความเจ็บปวดที่แสดงออกทางสีหน้าแล้ว ดวงตาของเขายังมีความหวาดกลัวมหาศาล

มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าทักษะวรยุทธของสาวน้อยคนนี้ยากเกินจะหยั่งถึงแค่ไหน!

เขาผู้ซึ่งเรียนรู้วรยุทธมานานหลายทศวรรษ ยังไม่รู้สึกถึงความผันผวนของกำลังภายในของเธอหรือแม้กระทั่งออร่าที่ผู้ฝึกยุทธโบราณควรมี

เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องวรยุทธเลย หรือไม่ก็มีระดับกำลังภายในที่สูงกว่าเขามาก!

เห็นได้ชัดว่ามู่เถาเยาเป็นอย่างหลัง ดังนั้นแม้เธอจะไม่ได้สกัดจุดใบ้ของเขา แต่เพราะยังสับสนอยู่เขาจึงไม่ได้ร้องตะโกนออกมาในคราแรก จนกระทั่งความเจ็บปวดที่รุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมใส่เขา เขาจึงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่

เขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้คนที่นี่ เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเขา สีหน้าของทุกคนก็ซีดเผือดราวกับซอมบี้ที่ได้แต่ลิ้มรสความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ราวกับวิญญาณถูกฉีกกระชาก

ไม่เพียงวิญญาณถูกฉีกกระชากหรอก แต่วิญญาณของพวกเขาตอนนี้แทบจะหลุดออกจากร่างแล้ว

มู่เถาเยาพ่นคำสามคำออกไปอย่างเย็นชา “อย่าเสียงดัง”

น้ำเสียงไม่ต่างกับตอนที่พวกเขาข่มขู่ซาลาเปาน้อยๆ ว่า ‘ห้ามร้องไห้’ ด้วยความรำคาญใจ

“ยัยเด็ก…สารเลว…แก…”

มู่เถาเยาตวัดฝ่ามือตบไปที่จุดตันเถียนแหล่งกำเนิดกำลังภายในของอีกฝ่ายและทำลายมันลงในชั่วพริบตา

เฝ้าดูความพยายามอย่างหนักตลอดหลายสิบปีของตัวเองค่อยๆ ถูกทำลายลงในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวอึดใจ จากกำลังภายในที่เอ่อล้นบัดนี้กลายเป็นความว่างเปล่า ในที่สุดชายคนนั้นก็ทนรับกับความสะเทือนใจนี้ไม่ไหวและเป็นลมไปเพราะความโกรธ

มู่เถาเยาขยับฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเถ้าแก่ผู้ซึ่งมีบุคลิกดูภูมิฐานอย่างช้าๆ

“หลินเฮ่าหมิง ผู้ประกอบการใจบุญผู้มีชื่อเสียงที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยสองมือ? ที่แท้เบื้องหลังก็ทำงานสกปรกอย่างการค้ามนุษย์นี่เอง ไหนบอกฉันมาสิว่าแกสมควรตายสักกี่ครั้ง เด็กสาวมัธยมพวกนั้นที่แกรับอุปการะและให้ทุนการศึกษา ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน”

รับแต่นักเรียนหญิง ไม่มีนักเรียนชาย

มู่เถาเยาสาธยายความชั่วทั้งหมดที่เขาเคยทำมาทีละเรื่องๆ ให้เขาฟังอีกรอบ

หลินเฮ่าหมิงถึงกับลืมความเจ็บปวดทางกาย เหลือเพียงความหวาดกลัวที่กัดกินไปทั้งหัวใจเหมือน ทะเลที่กำลังมีคลื่นพายุโหมซัดกระหน่ำ

นี่เขาไปยั่วยุใครเข้า? สาวน้อยคนนี้เป็นใครกันแน่? หลังจากถูกจับเข้ามาเพียงแค่คืนเดียว เธอก็ทำการกวาดล้างธุรกิจทั้งหมดที่เขาลักลอบทำมากว่าสิบกว่าปีจนสิ้นซาก!

อยากจะสบถด้วยความโกรธทั้งอยากอ้อนวอนร้องขอความเมตตา แต่…เขาพูดไม่ได้

มู่เถาเยาไม่อยากได้ยินเสียงที่น่าขยะแขยงของเขา เธอทิ้งฝูงซอมบี้ตัวแข็งทื่อทั้งหมดไว้เบื้องหลัง และหยิบถุงผ้าของเธอจากบนโซฟาและตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ข้างใน

อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเธอไม่มีเวลาจัดการกับมัน จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างในกระเป๋าของเธอ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือของเธอด้วย

กลับมาที่ชั้นสอง ซาลาเปาน้อยๆ ที่ไม่รู้อะไรกำลังกินอย่างมีความสุข แต่พวกเขาก็หยุดกินเมื่อเห็นเธอกลับมา

เสิ่นเจียวหยางผลักชามใบเล็กข้างเขาซึ่งมีซาลาเปาวางอยู่หลายลูกไปทางมู่เถาเยา “พี่สาวครับ นี่ของพี่สาว”

จยาเย่ว์ร้องขึ้นว่า “หนูก็ให้ด้วย”

นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่ซาลาเปาส่วนของตัวเองอย่างน่ารัก

“ใช่แล้วๆ” ลั่วปู้อวี๋กับหลิ่นหรานก็พยักหน้าอย่างเร่งรีบไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน

ซาลาเปาสี่ลูกจากเด็กๆ ทั้งสี่คนวางอยู่ในชามสำหรับอาหารเช้าของมู่เถาเยา

มู่เถาเยาลูบผมนุ่มๆ ของเด็กๆ พวกนี้ทีละคน

เด็กๆ ยังอายุน้อยมากแต่พวกเขาก็รู้จักการแบ่งปัน พ่อแม่ของพวกเขาสอนพวกเขามาได้ดีมากจริงๆ

“เด็กดีๆ ! กินข้าวเสร็จแล้วเรากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่กันนะคะ”

“อื้มๆ กลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่โง่ๆ ของเรา”

ซาลาเปาลูกอื่นๆ ส่งเสียงร้องเชียร์

พวกเขาคิดถึงพ่อกับแม่! ไม่ต้องการเล่นซ่อนหาอีกแล้ว!

มู่เถาเยารู้สึกได้ถึงความสุขของเหล่าเด็กน้อย และมุมปากของเธอก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย

หนึ่งผู้ใหญ่สี่เด็กเล็กรับประทานอาหารเช้าร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่นานเสียงไซเรนจากรถตำรวจก็ดังเข้ามาจากที่ไกลๆ

มู่เถาเยาเดินลงไปที่ชั้นล่างพร้อมกับเหล่าลูกเจี๊ยบตัวอ้วนๆ จำนวนหนึ่งและนั่งรออยู่ที่โซฟา

เด็กหลายคนจ้องมองผู้คนในอิริยาบถต่างๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น

จยาเย่ว์ถาม “พี่สาวคะ คุณลุงกับคุณป้ากำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ”

“อ้อ พวกเขากำลังเล่นเป็นมนุษย์ไม้”

เสิ่นเจียวหยางเอียงศีรษะและถามว่า “มนุษย์ไม้คืออะไร”

“เอ่อ…ก็คือคนที่ขยับตัวไม่ได้”

อนิจจาเด็กเมืองหลวงอย่างพวกเขาไม่เคยเห็นการเล่นแบบนี้มาก่อน

ซาลาเปาน้อยๆ พูดจ้อไม่หยุด และไม่ต้องรอให้มู่เถาเยาตอบคำถามพวกเขา พวกเขาก็เริ่มถามและตอบกันเอง

ขมับของมู่เถาเยารู้สึกปวดตุบ

โชคดีที่ตำรวจกำลังจะมาถึง

ซาลาเปาก้อนเล็กๆ หลิ่นหรานวิ่งปรื๋อเข้าไปหาผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนแรก “พ่อครับๆ พ่อหาผมเจอได้ยังไง”

“หลิ่นหราน!” ดวงตาของซังชั่วแดงก่ำ เขาก้มลงกอดลูกชายที่หายตัวไปแน่น

“พ่อครับ คราวหน้าเราจะไม่เล่นซ่อนหากันอีกแล้ว”

ซังชั่ว “…ตกลง”

ปล่อยลูกชายของตัวเองลงแล้วทยอยกอดซาลาเปาก้อนเล็กๆ ทีละคน

จยาเย่ว์ “คุณลุง หนูเองก็ไม่อยากเล่นซ่อนหาแล้ว พ่อแม่ของหนูโง่มากและพวกเขาก็หาจยาเย่ว์ไม่เจอสักที”

“ได้ๆ เราไม่เล่นแล้ว”

“หัวหน้าซัง คุณดูพวกเขาสิครับ” ทุกคนไม่สามารถขยับตัวได้และพวกเขาทั้งหมดก็มีสีหน้าสิ้นหวัง แม้แต่เสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

“ฉันสกัดจุดชีพจรและจุดทรมานของพวกเขาเอาไว้” มู่เถาเยากล่าวอย่างใจเย็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมาก

“เธอคือ?”

“มู่เถาเยา ฉันถูกจับมาพร้อมกับซังหลิ่นหรานเมื่อคืนนี้”

“เธอแสร้งทำเป็นถูกจับ?” หัวหน้าซังชั่วจับประเด็นสำคัญได้ในทันที

สามารถจัดการคนนับสิบได้อย่างไม่คณามือเช่นนี้ จะถูกจับตัวมาง่ายๆ ได้อย่างไร!

“อืม…ฉันเห็นสองคนนี้อุ้มเด็กคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าหลวมโครกออกมาจากห้องน้ำสาธารณะด้านหลังถนนคนเดิน เด็กไม่ได้สวมรองเท้าถุงเท้า แถมบนตัวของชายหญิงคู่นี้ยังมีกลิ่นยาฉุนกึก ฉันก็เลยจงใจเปิดเผยตัวตนของพวกเขา บีบให้พวกเขาจับตัวฉันมาด้วย”

มู่เถาเยาชี้ไปที่ชายและหญิงที่เข้าห้องน้ำสาธารณะเมื่อวานนี้

หัวหน้าซังชั่วและพวกตำรวจสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“…สาวน้อย เธอจะใจกล้าเกินไปแล้ว! คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก ดูความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อนแล้วค่อยมาแจ้งตำรวจรู้ไหม”

“…ค่ะ”

หัวหน้าซังชั่วเอ่ยถาม “เธอบอกว่าสามารถได้กลิ่นยาจากตัวพวกเขาเหรอ”

“ฉันเรียนหมอ จมูกเลยไวมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

“เรียนหมอเหรอ สาวน้อย อายุเธอน่าจะอยู่สักมัธยมต้นกำลังจะเข้ามัธยมปลายใช่ไหม”

“ฉันอายุสิบแปดปีแล้วค่ะ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู”

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้หรือเปล่า หัวหน้าซังชั่วได้สติ จึงหันกลับไปและรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เสี่ยวมู่ พวกเขา…”

“อ้อ ฉันสามารถคลายการสกัดจุดให้พวกเขาได้ทุกเมื่อ แต่ให้เด็กๆ ขึ้นรถก่อน พวกเขาจะได้ไม่ตกใจกลัว”

ขืนปล่อยให้พวกเขาขยับได้ตอนนี้ สิ่งแรกที่จะออกจากปากพวกเขาก็คือเสียงกรีดร้องน่าอนาถ

ความเจ็บปวดรุนแรงที่แม้แต่ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษยังไม่อาจทานทนได้ จินตนาการได้เลยว่ามันจะเป็นเสียงร้องที่น่าสังเวชขนาดไหน

แม้ว่าจะสามารถกรีดร้องออกมาได้ แต่มันก็เป็นเพียงสัญชาตญาณส่วนหนึ่ง ไม่อาจลดทอนความเจ็บปวดลงได้