ตอนที่ 19 เซียนดอกท้อ

คนที่ตะโกนว่ารถม้าถูกขโมยตกใจจนทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราบกับลูกแกะที่รอโดนเชือด

แม่ทัพที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นกลืนน้ำลายมองลูกน้องซ้ายขวาที่ถอยไปหลบด้านหลังตน เขาเองก็อยากถอยเช่นกัน แต่เขารู้ว่าบนป้อมประตูเมืองมีคนคอยสังเกตการณ์อยู่ หากว่าเขาหวาดหวั่นจนถอยหนี เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีอนาคตที่ดีเช่นกัน

“เผาซะ!” ซางเฉาจงกระโดดลงมาจากรถม้าพลางตะโกนบอก ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมือ พลันมีคนโยนดาบง้าวให้ในทันใด

เมื่อดาบอยู่ในมือ ซางเฉาจงเอี้ยวตัวสะบั้นดาบออกไป โลหิตสดๆ สายหนึ่งกระฉูดออกมา เปรอะเปื้อนใบหน้าและเนื้อตัวของเขา

แม่ทัพผู้นั้นเบิกตากว้าง ไม่คิดไม่ฝันว่าซางเฉาจงจะกล้าสังหารตนในเขตอำนาจขององค์จักรพรรดิ ไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ศีรษะศีรษะหนึ่งกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นสู่พื้นอีกครั้ง ร่างกายชักกระตุกล้มลงบนพื้น

“อ๊า…” พลทหารที่อยู่นอกประตูเมืองหวาดกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าว

หลานรั่วถิงที่ลงมาจากรถได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า เรียกได้ว่าพูดไม่ออกไปทันที ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะสังหารแม่ทัพที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองของเมืองหลวงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้!

เถาซิ่นฟันดาบตัดบังเหียนรถม้า กระโดดขึ้นหลังม้า ควบม้าพุ่งไปที่ประตูเมือง ทหารยามพากันหลีกทางให้ ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ปล่อยให้เถาซิ่นพุ่งไปถึงประตูเมืองแล้วหยิบคบเพลิงกลับมา เถาซิ่นจุดคบเพลิง โยนเข้าไปในรถม้าผ่านทางหน้าต่าง

เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ควันโขมงคละคลุ้งออกมาจากด้านในรถม้า

ซางเฉาจงที่กระโดดขึ้นม้าศึกตัวหนึ่งพลันเหลียวกลับมา ใบหน้าอาบชโลมไปด้วยโลหิต มองขึ้นไปยังหน้าต่างสองบานบนป้อมประตูเมืองที่เปิดอ้าอยู่ มองเห็นก่าเหมี่ยวสุ่ยและซ่งจิ่วหมิง จากนั้นหันหน้ากลับมาพลางส่งเสียงตะโกนว่า “ไป!”

เขาควบม้านำหน้าไป เหล่าทหารวกม้ากลับก่อนควบตามไป!

“บิดาเป็นพยัคฆ์บุตรย่อมมิเป็นสุนัข!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยเบาๆ คราหนึ่ง แววตาอึมครึม

ซ่งจิ่วหมิงที่จ้องมองขบวนม้าค่อยๆ จากไปไกลกลับถอนใจออกมา “กลัวก็แต่อิทธิพลของหนิงอ๋องจะยังอยู่ หวังว่าจะมิใช่การปล่อยพยัคฆ์คืนหุบเขา!”

สักพักหนึ่ง รองแม่ทัพทหารยามรีบวิ่งเข้ามาในป้อม ประสานมือเอ่ยเสียงเศร้าหมอง “กงกง ซางเฉาจงสังหารแม่ทัพหลี่ ขอกงกงโปรดมอบความเป็นธรรมให้แม่ทัพหลี่ด้วยขอรับ!”

“ถึงอย่างไรก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เลือดขัตติยะไหนเลยจะยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่นได้ ตายก็ตายไปเถอะ!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยอย่างเฉยชา สะบัดเสื้อคลุมสีดำ หันหลังก้าวเดินออกมาจากริมหน้าต่าง ยามเดินเฉียดร่างรองแม่ทัพ พลังที่ไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งไหลทะลักออกมา กระแทกรองแม่ทัพคนนั้นจนขาสั่นโซเซถอยเปิดทาง ก่อนจะพลาดท่าสะดุดล้ม ขณะที่ก้าวเท้าจากไปยังแค่นเสียงเหอะออกมาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าทหารหลายพันจะถูกทหารม้าเพียงห้าร้อยข่มขวัญได้ ไอ้พวกไร้ประโยชน์!”

ซ่งจิ่วหมิงมองรองแม่ทัพที่มึนงงเพราะสะดุดล้มแวบหนึ่ง มิได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา เดินจากไปอย่างไม่เร่งร้อน ไม่ยอมพูดอะไรอีก

ในใจเขาทราบดี หลังเหตุการณ์ที่ประตูเมืองทิศบูรพาถ่ายทอดไปถึงในวัง ท่านที่อยู่ในวังผู้นั้นจะต้องพิโรธแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างหรือเหตุผลอันใดก็ล้วนกลายเป็นเท็จทั้งสิ้น ทหารที่ทำหน้าเฝ้ายามประตูทิศบูรพาของเมืองหลวงอันเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์กลับถูกทหารม้าเพียงไม่กี่ร้อยคนทำให้หวาดกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้ หากมีทัพศัตรูบุกมาโจมตีจริงๆ จะทำอย่างไร? จะหวังพึ่งพาให้คนเหล่านี้ปกป้องความปลอดภัยของเมืองหลวงได้อีกหรือ? เกรงว่าศีรษะของรองแม่ทัพคนนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่เช่นกัน เกรงว่าคงจะมีทหารยามรักษาเมืองอีกกลุ่มใหญ่ที่จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย…

……

ดอกท้อหอมอวล วสันตฤดูสดใส สายลมแผ่วรำเพย

หนิวโหย่วเต้านั่งเอนกายใต้ต้นไม้ พลิกอ่านบันทึกภาพสมุนไพรอย่างดื่มด่ำมีอรรถรส กลีบดอกท้อที่ซุกซนสองสามกลีบโปรยปรายลงมารบกวนเป็นครั้งคราว

จู่ๆ พลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับแว่วมาจากตีนเขา เขาคว่ำบันทึกภาพไว้บนอก เหลียวหน้ามองไป มองเห็นขบวนม้ากลุ่มหนึ่งหยุดอยู่ที่ด้านล่างหน้าผาฝั่งตรงข้าม ดูแล้วมิคล้ายคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีคนนำทางคณะทหารม้าเดินขึ้นบันไดศิลาที่คดเคี้ยวขึ้นมา

เพียงแค่มองก็พอแล้ว หลายปีมานี้เขาได้รับข้อคิดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะมีคนมาเยือนมากน้อยแค่ไหนก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น จึงอ่านตำราของตนต่อไป การอ่านตำราภายใต้ทิวทัศน์เช่นนี้ก็นับเป็นความสำราญอย่างหนึ่งเช่นกัน เมื่อชีวิตที่แล้วเขาก็ยังไม่เคยได้อ่านหนังสือในทิวทัศน์ที่ดีขนาดนี้เลย

อ่านไปอ่านมาก็ชักจะง่วง ไม่ทราบว่าผล็อยหลับไปนานแค่ไหน งัวเงียตื่นขึ้นมา พลิกกายด้วยความเกียจคร้าน พลางพรรณนาแสดงความเกียจคร้านที่อยู่ภายในตัวออกมา

“อารามท้องามงดในดงท้อ เซียนดอกท้อพักกายมิใฝ่ฝัน

หวังเพียงได้เร้นกายใต้แสงจันทร์ ทุกคืนวันเก็บดอกท้อแลกสุรา

ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา

ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี

ใจเฝ้าหวังเมาสิ้นกลางหมู่ไม้ มิขอโค้งโน้มกายหน้าเสฎฐี

ไม่มุ่งหมายควบอาชาฝ่าธุลี ขอเพียงมีจอกสุรากิ่งบุปผาก็เพียงพอ

หากคิดเปรียบผู้มั่งมีกับคนยาก เสมือนดั่งเหล่าฝูงกามองฝูงหงส์

หากคิดเปรียบอาชาแลบุษบง อาชาวิ่งบุษบงว่างทุกคืนวัน

ท่านหัวร่อมองข้าบ้าลอบขบขัน ข้าหัวร่อมองว่าท่านช่างตื้นเขิน

ฤาไม่เห็นห้าสุสานคนหมางเมิน เกิดเป็นนาเพราะไร้เหล้าและมาลี…”

น้ำเสียงเกียจคร้านเอื่อยเฉื่อย ร่ายเรื่อยเบิกบาน ยืดตัวบิดขี้เกียจตาหรี่ปรือ ยามเอียงศีรษะเปิดตาขึ้น เขาพลันทึ่มทื่อไปทันที

ข้างกายเขามีคนยืนอยู่สามคน คนที่ยืนอยู่ข้างหน้านับว่าเป็นทั้งคนแปลกหน้าและคนคุ้นเคย ยังคงงดงาม มิใช่ใครอื่น คือถังอี๋ผู้เป็นภรรยาของเขา

มิใช่เพราะเป็นภรรยาจึงคิดว่านางงดงาม ภรรยาผู้นี้เป็นอย่างไรเขารู้แก่ใจดี นางงดงามมากจริงๆ สง่างามเยือกเย็น ผิวพรรณขาวลออดุจกระเบื้องเคลือบ ปทุมถันอวบอิ่ม เรือนร่างเย้ายวน สวมชุดกระโปรงใยไหมสีดำ มือเรียวผสานทับวางบนหน้าท้อง บุคลิกหลุดพ้นดั่งนางเซียน ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา หากมองเป็นทิวทัศน์ก็นับเป็นภาพที่มองแล้วเพลินตาเจริญใจ

ผู้ที่อยู่ด้านหลังนางคือถูฮั่นตาเดียวขาเป๋ ข้างกายถูฮั่นยังมีสตรีรูปร่างอรชรที่แต่งกายด้วยชุดเขียวทะมัดทะแมงเยี่ยงนักรบอยู่ผู้หนึ่ง เขาไม่รู้จักคนผู้นี้ เดิมทีเขาก็รู้จักคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มากอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับสตรีนางนี้ที่สวมหมวกม่านแพร ทำให้ยิ่งมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน

ตามปกติแล้วพอถึงช่วงปลายปีของทุกปีถังอี๋ถึงจะมาเยือนสักครั้ง แล้วเหตุใดนางถึงโผล่มาตอนนี้?

เขาหลงนึกว่าตนยังไม่ตื่นดี ขยี้ตาเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด จึงรีบลุกขึ้นมา พลางปัดผมหางม้าที่ไหลมาพาดไหล่ตอนนอนไปด้านหลัง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?” คำว่าฮูหยินสองคำนี้เขาพูดไม่ออก อีกฝ่ายนอกจากที่ขานเรียกตามมารยาทในงานแต่งวันนั้น นางเองก็ไม่เคยเรียกเขาว่าสามีอีกเลยเช่นกัน ได้แต่ถือเสียว่าตนเป็นสามีอาภัพที่ภรรยาไม่เชื่อฟัง เป็นเพียงสามีที่โชคร้ายเท่านั้น

แต่ภายในใจก็ลอบเหงื่อตกอยู่บ้าง หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตสงบสุขและปลอดภัยเกินไปแล้วจริงๆ กระทั่งความระแวดระวังตัวที่เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานก็หายไปจนหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่ามนุษย์ตัวเป็นๆ สามคนเดินมาถึงตรงหน้าแล้วจะยังจับสัมผัสไม่ได้ นอนหลับเหมือนหมูตายโดยแท้ หากอยู่ในยุทธภพแล้วมีคนคิดปองร้ายตนจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายได้อย่างไร

ทว่าทั้งสามกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถูฮั่นมองเขาด้วยสายตาที่ผิดแปลกไปจากปกติ ราวกับกำลังมองดูตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังเหลือบมองต้นท้อต้นนั้นเป็นครั้งคราวด้วย

แต่สายตาของถังอี๋ที่มองดูเขากลับค่อนข้างซับซ้อน ความคิดยังจมอยู่ในห้วงศิลป์จากบทกวีที่หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเรื่อยเปื่อยออกมาอย่างเกียจคร้านเมื่อครู่นี้ กลอนที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอะไร? เป็นกลอนแบบเดียวกับที่ซ่งเหยี่ยนชิงส่งมาให้เราอ่านหรือ?

นางเองก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองต้นท้อโบราณอายุพันปีที่กิ่งก้านแผ่ปกคลุมดุจช่อฉัตรต้นนั้นอยู่หลายครา

นางสงสัยแต่แรกแล้วว่าบทกวีของซ่งเหยี่ยนชิงจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้เป็นแน่ แต่ก็ไม่เชื่อว่าด้วยอายุของคนผู้นี้จะทำให้เขาสามารถแต่งกลอนรักออกมาได้มากมายขนาดนั้น ทว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าบทกลอนเมื่อครู่มันช่างเข้ากับทิวทัศน์บนนี้ถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงรู้สึกว่าคล้ายจะแต่งขึ้นมาเพื่อสถานการณ์ของตัวเขาในปัจจุบันนี้เลยล่ะ?

นางยากจะเชื่อได้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มยากไร้จากบ้านป่าแดนเขาคนหนึ่งจะสามารถแต่งบทกลอนเช่นนี้ออกมาได้!

สำหรับประวัติความเป็นมาของหนิวโหย่วเต้า นางกระจ่างดี

มาตรว่าตงกัวเฮ่าหรานจะทิ้งหลักฐานยืนยันเอาไว้ ทว่าเมื่อฟังจากสถานการณ์ในตอนนั้น เห็นได้ชัดว่าตงกัวเฮ่าหร่านรับศิษย์ผู้นี้มาอย่างเร่งร้อน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีทางหลับหูหลับตารับคนเข้าสำนักส่งเดช หลังจากสอบถามฐานะตัวตนหนิวโหย่วเต้าจนชัดเจนแล้ว ทางสำนักก็ส่งคนไปตรวจสอบที่หมู่บ้านบนเขาแห่งนั้นทันที เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีความผิดพลาด

ครั้งแรกที่ได้พบหนิวโหย่วเต้า คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงตัวถังอี๋ล้วนแต่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านบนเขาผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้นเสื้อผ้าจะเก่าขาดซอมซ่อ กระทั่งรองเท้าที่สวมใส่ก็ยังขาดจนหัวแม่เท้าโผล่ออกมา ทว่าประกายความเฉียบแหลมในสายตาคู่นั้นยากจะซ่อนเร้นเอาไว้ได้ ทั้งยังมีวาทศิลป์ในการสนทนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่คล้ายเป็นสิ่งที่เด็กบ้านป่าคนหนึ่งสมควรมีเลย

แม้นในจุดนี้จะพออธิบายได้ว่าเป็นเพราะเด็กจากครอบครัวยากจนจะต้องดูแลรับผิดชอบครอบครัวเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน แต่หากบอกว่ามีความสามารถถึงขนาดแต่งบทกวีระดับนี้ออกมาได้ นางยังคงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี

แม้จะสืบพบว่าเคยมีบัณฑิตตกยากคนหนึ่งมาสอนหนังสือให้แก่หนิวโหย่วเต้าในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยว ทว่าบัณฑิตคนนั้นสอนหนิวโหย่วเต้าไปถึงขั้นไหนก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ คนในหมู่บ้านที่พอรู้หนังสือมีไม่มาก ไหนเลยจะแยกแยะสูงต่ำได้ คงเพราะเป็นคนบ้านเดียวกันเลยพูดถึงคนบ้านเดียวกันในแง่ดีเท่านั้น รู้จักพูดแค่ว่าดี แต่หากถามว่าดีอย่างไร พวกชาวบ้านเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

“ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา กลอนดี สมเป็นเซียนดอกท้อ!”

ถังอี๋ไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ ทว่าสตรีที่สวมหมวกม่านแพรนางนั้นกลับอดใจไม่อยู่ กล่าวชมเชยออกมาประโยคหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนหวานงามสง่าเสนาะหู เพียงได้ฟังสำเนียงวาจาก็ทราบว่าเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูในตระกูลดีมีศักดิ์มาตั้งแต่เยาว์วัย นางเชยหมวกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังพินิจดูดอกท้อที่บานสะพรั่งดั่งหมู่เมฆที่อาบแสงอาทิตย์ยามเช้าอยู่เช่นกัน

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าเกาศีรษะ กระทั่งตัวเขาที่ท่องกลอนไปเรื่อยเปื่อยก็ยังไม่ทันสังเกต ทว่ายามนี้พอได้ฟังอีกฝ่ายท่องออกมา จึงได้สติกลับคืนมา หัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนไป “เพียงท่องไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลย!” ท่าทีของเขาได้บ่งบอกไปโดยปริยายแล้วว่าเป็นผลงานตน

ถังอี๋ลองถามหยั่งเชิง “กลอนบทนี้เจ้าแต่งเองหรือ?”

“…..” หนิวโหย่วเต้าผงะไปแวบหนึ่ง หรือว่าตนพูดอะไรผิดไป หรือที่โลกนี้ก็มีบทกลอนนี้เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เท่ากับสร้างเรื่องขายหน้าไปโดยแท้ จึงหัวเราะแหะๆ อีกครั้ง เอ่ยว่า “อยู่ว่างเบื่อหน่ายจึงพูดเรื่อยเปื่อย มีปัญหาอันใดหรือ?”

ถังอี๋จ้องมองเขา หนิวโหย่วเต้ารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองไปทางสตรีผู้สวมหมวกม่านแพร เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าแขกท่านนี้คือ?”

หญิงสาวก้มศีรษะคารวะพลางกล่าว “ซางซูชิง คารวะท่านเซียนดอกท้อ!”

“เซียนดอกท้อหรือ? ฮ่าๆ…” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางโบกไม้โบกมือ ท่าทางคล้ายรับไว้ไม่ไหว

ถังอี๋เบี่ยงกายเล็กน้อย ผายมือเรียวงาม เอ่ยแนะนำอย่างเป็นทางการ “ท่านหญิงซาง ธิดาของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว หนิงอ๋องเป็นสหายเก่าของอาจารย์อาตงกัว”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจเล็กน้อย สตรีในหมวกม่านแพรผู้นี้เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นเยี่ยนเชียวหรือ!

แม้นสถานการณ์ภายนอกเขาจะไม่กระจ่าง แต่รูปการณ์โดยรวมในใต้หล้าเขาพอจะเคยได้ยินได้ฟังจากเฉินกุยซั่วและถูฮั่นตอนเมามายมาคร่าวๆ แล้ว หลังราชวงศ์อู่ล่มสลาย เจ้าเมืองศักดินาชิงอำนาจ เข่นฆ่ากันไปมา แคว้นศักดินาหลายร้อยแคว้นปัจจุบันนี้เหลืออยู่เพียงเจ็ดแคว้นใหญ่ จิ้น หาน จ้าว ซ่ง เว่ย เยี่ยน ฉี แคว้นเหล่านี้ให้ความรู้สึกคล้ายยุคสงครามเจ็ดรณรัฐที่หนิวโหย่วเต้าเคยทราบมา สถานการณ์ก็น่าจะเป็นคล้ายๆ กัน แต่อาณาเขตพื้นที่ของเจ็ดแคว้นในยุครณรัฐที่เขารู้จักกลับไม่อาจเทียบเคียงเจ็ดแคว้นในโลกนี้ได้เลย นี่คือการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนทั้งโลกอย่างแท้จริง มิใช่การยื้อแย่งอำนาจในทวีปทวีปหนึ่ง ราชสกุลแห่งแคว้นเยี่ยนคือซาง ได้ยินว่าเป็นทายาทของซางซ่งผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นอู่ ส่วนหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วคนนี้ดูเหมือนจะเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นสมุหพระกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งขุนนางสูงสุด ตำแหน่งนี้เทียบได้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุดในโลกนั้นของหนิวโหย่วเต้า มีอำนาจบัญชาการพลทัพแคว้นเยี่ยน เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริง

จู่ๆ สตรีที่มีภูมิหลังชาติกำเนิดเป็นธิดาของสมุหพระกลาโหมผู้นี้ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าตน แล้วจะไม่ให้หนิวโหย่วเต้าแปลกใจได้หรือ?

………………………………………………….