ตอนที่ 25 ลูกจ้างชั่วคราว

ตอนที่ 25 ลูกจ้างชั่วคราว

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่อวี๋ไห่เฉาเอ่ย ก็รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้างเล็กน้อย

แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งพนักงานชั่วคราวในโรงงานอาหาร แต่สำหรับชาวบ้านแล้วนี่ถือเป็นงานที่ดีชัดๆ ทั้งมีงานทำในเมือง ทั้งยังซื้อข้าวรับประทานได้เอง ซึ่งผู้ที่ยังอยู่ในชนบทจะไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้เลย

เพียงแต่…

เธอไม่อยากไป การทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในโรงอาหารได้ค่าแรงสูงสุดต่อเดือนเพียงยี่สิบหยวนเท่านั้น นอกจากนี้สวัสดิการอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีมากมาย และที่สำคัญที่สุดคือขาดอิสรภาพในการใช้ชีวิต

อวี๋ไห่เฉาเห็นชัดว่าฉินมู่หลานไม่เห็นด้วย จึงจ้องมองด้วยความสงสัย

นอกจากนี้ ตระกูลเซี่ยเองก็มีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด จึงมองดูอย่างกังวลใจ

เซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือต่างคิดว่าตำแหน่งนี้เป็นงานที่ดี หากเอ่ยบอกให้สะใภ้รองไป ต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน ฝั่งเซี่ยเจ๋อเหว่ยและหลี่เสวี่ยเยี่ยนต่างรู้สึกอิจฉากันนิดหน่อย พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องสะใภ้จะได้งานดีเช่นนี้ ส่วนเซี่ยเจ๋อน่าก็คิดริษยาเป็นอย่างมาก หล่อนใฝ่ฝันอยากจะไปทำงานในเมือง ติดที่ต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากไร้โอกาส แต่สุดท้ายกลับมีคนมาหยิบยื่นตำแหน่งงานให้ฉินมู่หลานเสียอย่างนั้น เป็นไปได้อย่างไรกัน

ขณะนั้นเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เริ่มคิดหนักขึ้น

เดิมทีเขาวางแผนจะกลับไปสมัครห้องครอบครัวในครั้งนี้ แต่ถ้าฉินมู่หลานยอมตกลงไปทำงานในโรงอาหารล่ะ เช่นนั้นแล้วเธอจะไปอยู่ที่ฐานทัพด้วยกันได้หรือเปล่า ที่นั่นมีตำแหน่งงานไม่มากนักสำหรับสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีคนรอเข้าคิวอีกมากมาย

“หมอน้อยฉิน คุณคิดเห็นอย่างไรหรือ?”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานมีท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วย อวี๋ไห่เฉาจึงอดที่จะถามขึ้นอีกครั้งไม่ได้

ฉินมู่หลานพิจารณาเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบว่า “ผอ.อวี๋คะ ฉันขอส่งต่อตำแหน่งงานนี้ให้คนอื่นได้ไหมคะ?”

หลังจากได้ยินดังนั้น อวี๋ไห่เฉาก็รู้สึกตกตะลึง เขาไม่คิดว่าฉินมู่หลานจะปฎิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง พลางเอ่ยพร้อมกับพยักหน้า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว”ด้วยความที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตครอบครัวของพวกเขาทั้งสองคน เรื่องแค่นี้จึงถือว่าเล็กน้อย หากหมอน้อยฉินไม่ต้องการจะทำ เช่นนั้นก็ให้เธอตัดสินใจมอบมันให้คนอื่นแทนแล้วกัน

ตอนนี้เขาจึงคิดหนักมากยิ่งขึ้น หมอน้อยฉินฝีมือการรักษาดีเช่นนี้ หากให้ไปเป็นลูกจ้างชั่วคราว เธอจะยอมตกลงได้อย่างไรกันเล่า โชคดีที่เขาคิดว่าของขวัญที่มอบให้เพื่อแสดงความขอบคุณก่อนหน้านี้ค่อนข้างดี

ส่วนคนอื่นที่ได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน พวกเขาต่างก็จ้องมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป

ในบรรดาแววตาของพวกเขานั้น สายตาของเซี่ยเจ๋อน่าดูร้อนแรงลุกโชนที่สุด หากอวี๋ไห่เฉาและภรรยาของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น หล่อนคงรีบตรงรี่เข้าไปหาฉินมู่หลานและบังคับให้เธอมอบงานนั้นให้ตนเองเสียแล้ว

ส่วนเซี่ยเจ๋อเหว่ยและหลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็มีความหวังอยู่ในแววตาของพวกเขาเช่นกัน ในขณะนี้พวกเขาต่างอยากรู้ว่าฉินมู่หลานอยากจะมอบงานให้กับผู้ใด แต่แล้วทั้งสองคนก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตระกูลฉินเองก็ยังมีคนอีกตั้งมากมาย บางทีอาจไม่ได้จะมอบให้พวกเขาก็เป็นได้

แม้แต่เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็ยังอยากรู้ว่าฉินมู่หลานอยากจะมอบงานนี้ให้กับผู้ใด

ฉินมู่หลานได้ยินอวี๋ไห่เฉาเอ่ยเช่นนั้น จึงหันไปมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันอยากให้งานนี้กับพี่สะใภ้ของฉันค่ะ ไม่ทราบว่าหล่อนต้องเริ่มไปทำงานเมื่อไหร่คะ”

อวี๋ไห่เฉาได้ยินเช่นนั้นก็หันมองหลี่เสวี่ยเยี่ยน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางดูดี รูปลักษณ์ดูเรียบร้อย จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พรุ่งนี้ก็เริ่มไปทำงานได้เลยครับ เมื่อไปถึงแล้วให้ไปที่แผนกจัดสรรทรัพยากรฝ่ายบุคคลเพื่อรายงานตัว หลังจากนั้นจะมีคนพาคุณไปทำความรู้จักกับลักษณะของตัวงานครับ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะผอ.อวี๋”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกตกใจ แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน จนเซี่ยเจ๋อเหว่ยผู้เป็นสามีถึงขั้นสะกิดให้หล่อนรู้สึกตัวหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหล่อนก็ลุกขึ้นยืนในทันที พลางขอบคุณฉินมู่หลาน หลังจากนั้นจึงขอบคุณอวี๋ไห่เฉา

อวี๋ไห่เฉายกยิ้มพลางโบกมือ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ต้องขอบคุณหมอน้อยฉินเสียมากกว่า เพราะงานนี้เดิมทีเป็นของหล่อน”

“ค่ะ น้องสะใภ้ของฉันช่างมีน้ำใจ ฉันจะจำใส่ใจเอาไว้อย่างแน่นอนค่ะ”

เมื่ออวี๋ไห่เฉาและต่งหม่านเฟินได้ส่งมอบของขวัญแสดงความขอบคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวเดินทางกลับ

ใยขณะนั้นเอง เซี่ยเจ๋อน่าก็ระงับอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนจ้องหน้าฉินมู่หลานอย่างโกรธเกรี้ยวพลางเอ่ยถาม “ฉินมู่หลาน ทำไมถึงไม่ให้งานของเธอกับฉัน แต่กลับให้พี่สะใภ้ใหญ่” กล่าวจบหล่อนก็ตวาดใส่ฉินมู่หลานด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ไปบอก ผอ.อวี๋เดี๋ยวนี้เลยว่าจะให้งานกับฉันแทน และไม่ต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เร็วเข้าสิ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเจ๋อน่าเอ่ย ฉินมู่หลานก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

และคนในตระกูลเซี่ยที่เหลือเองก็ต่างเข้ามาช่วยกันโต้ตอบ เหยาจิ้งจือคว้าตัวลูกสาวของตนไว้ ก่อนจะหันไปมองต่งหม่านเฟินแล้วเอ่ยขอโทษ “ขออภัยค่ะ แค่ล้อกันเล่น”

“แม่ ปล่อยหนูนะ”

เซี่ยเจ๋อน่าพยายามดิ้นรนสุดแรงเกิน เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นว่าน้องสาวของตนทำตัวหยาบคายมาก สีหน้าจึงดูเย็นชาขึ้นมา เขาไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ทำเพียงอุ้มเซี่ยเจ๋อน่าแล้วเดินตรงกลับห้อง

ฉินมู่หลานหันกลับไปมองอวี๋ไห่เฉาพลางเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม “ผอ.อวี๋ พรุ่งนี้พี่สะใภ้ของฉันจะไปรายงานตัวที่โรงอาหารนะคะ ขอบคุณสำหรับตำแหน่งงานนี้มากจริง ๆ ค่ะ”

เมื่ออวี๋ไห่เฉาได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “หมอน้อยฉิน พูดเกินไปแล้วครับ พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ” หลังจากเอ่ยจบ อวี๋ไห่เฉาและต่งหม่านเฟินก็จากไปในทันที

หลังจากทั้งสองจากไปแล้ว สีหน้าของเซี่ยเหวินปิงก็หม่นหมองลงในทันที

“จิ้งจือ ไปเรียกตัวเซี่ยเจ๋อน่าออกมา ผมมีอะไรอยากจะถามเสียหน่อยว่าหล่อนทำอะไรลงไป ถึงทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ ไม่อยากจะไว้หน้าแล้วใช่ไหม”

เหยาจิ้งจือเองก็โกรธมากเช่นกัน แต่ไม่ต้องรอให้ใครไปเรียก เซี่ยเจ๋อน่าก็ได้โผล่หน้าออกมาแล้ว

หล่อนมองทุกคนในครอบครัวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ จึงเอ่ยถามอย่างเหนื่อยหน่าย “ทำไมหนูถึงจะไปทำงานที่โรงอาหารบ้างไม่ได้ล่ะ หนูเป็นคนตระกูลเซี่ยนะ คนแรกที่ฉินมู่หลานควรนึกถึงคือหนูไม่ใช่เหรอ พูดไปก็อาจดูไม่ดี แต่หากต่อไปพี่ใหญ่ของหนูแยกทางกับพี่สะใภ้ใหญ่จะเป็นยังไง งานนั้นก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยของพวกเราแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานพลันตกตะลึง ไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยเจ๋อน่าจะคิดไปถึงเหตุการณ์เช่นนั้น

แต่หลี่เสวี่ยเยี่ยนโมโหมากจนใบหน้าเปลี่ยนสี ครั้งนี้หล่อนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จึงก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วตบหน้าเซี่ยเจ๋อน่าไปหนึ่งฉาด

“เซี่ยเจ๋อน่า ตั้งแต่ฉันแต่งเข้ามา ฉันทำไม่ดีกับเธอตรงไหน เธอไม่เพียงแต่ไม่นึกถึงน้ำใจของฉัน แต่ยังแช่งให้ฉันกับพี่ใหญ่ของเธอแยกทางกัน ทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้ ที่บ้านเราก็ไม่มีอะไรให้ พวกเราทุกคนนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้”

ครั้งนี้แม้แต่เซี่ยเจ๋อเหว่ยเองก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน

“เซี่ยเจ๋อน่า ฉันกับพี่ใหญ่ของเธอมีลูกด้วยกันแล้ว และความสัมพันธ์ของพวกเราก็ดีมาก ไม่มีทางหย่าร้างเด็ดขาด เพียงเพราะพี่สะใภ้อย่างฉันได้งาน เธอถึงกับต้องเอ่ยแช่งพวกเราเลยเหรอ เธอนี่มันเหลือเกินจริง ๆ”

เซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือต่างมีสีหน้าตกใจและเศร้าหมองไปตามกัน

เห็นได้ชัดว่าลูกสาวไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน พวกเขาต่างเลี้ยงดูประคบประหงมหล่อนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าลูกสาวจะค่อนข้างจู้จี้เอาแต่ใจ แต่ก็ค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผล แต่เหตุใดตอนนี้จึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้

อันที่จริงหากลองวิเคราะห์ดูแล้ว ก็จะพบว่าเซี่ยเจ๋อน่ารู้สึกว่าคนในครอบครัวไม่มีใครให้ความสนใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไม่แม้แต่ฝากความหวังเอาไว้ที่หล่อนด้วยซ้ำ หล่อนจึงรู้สึกทนไม่ไหว วันนี้ยิ่งรู้สึกทนไม่ไหวหนักขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากสิ่งนี้เป็นงานที่หล่อนใฝ่ฝันแต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้ทำ เห็นได้ชัดว่ามองเห็นมันอยู่ตรงหน้า แต่กลับหลุดลอยออกไปต่อหน้าต่อตา

หล่อนจึงควบคุมตัวเองไม่ได้ พลางเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจนหมด

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ถ้าเราเป็นสะใภ้ใหญ่เราก็โมโหอะ ไม่ได้ดั่งใจแล้วพาลมาแช่งให้เราเลิกกับสามีเฉย จะไม่ทำแค่ตบครั้งเดียวด้วย แต่จะตบให้ปัญญาอ่อนไปเลยนังเด็กเปรตนังสัมภเวสีชิงคนอื่นเกิด /อินค่ะ ต้องขออภัยด้วย/

จะว่าไปก็พ่อแม่รังแกฉันด้วยแหละ เลี้ยงลูกแบบโอ๋เกินตามใจเกิน ยัยเจ๋อน่าถึงกลายเป็นคนแบบนี้

ขอให้ตอนหลังๆ นางเปลี่ยนตัวเองได้ด้วยเถิด ผู้แปลไม่อยากเจอยัยอวิ๋นอวิ๋น2แล้ววว

ไหหม่า(海馬)