ตอนที่ 47 วางท่าสอนเรื่องมารยาท ตอนที่ 48 ฟ้อง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 47 วางท่าสอนเรื่องมารยาท / ตอนที่ 48 ฟ้อง

ตอนที่ 47 วางท่าสอนเรื่องมารยาท

ใช่แล้ว ในสายตาของพวกฉินหมิงเย่ว์แล้ว ฉินหลิวซีที่เติบโตขึ้นมาในบ้านเก่าหลังนี้เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง

พวกนางเคยคิดว่าฉินหลิวซีอยู่ในเมืองเล็กๆ เช่นเมืองหลีนี้ แม้ว่าตอนที่นางยังเล็กจะเคยอยู่ที่เซิ่งจิง[1] แต่นางจะมีเพื่อนสนิทได้สักกี่คนกัน ต่อให้นางมี เพื่อนเหล่านั้นคงเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นเดียวกันกับที่เซิ่งจิงเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนั่นแหละ ไม่เหมือนพวกนางที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองหลวง คบหาผูกมิตรกับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงทั้งนั้น วันปกติธรรมดาก็ร่วมสังสรรค์ในงานเลี้ยงน้ำชางานชุมนุมกวีในหมู่ชนชั้นสูง ส่วนฉินหลิวซีเล่า

แม้ว่าเมืองหลีจะดี แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นแค่เมืองเล็กๆ ไหนเลยจะมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างเมืองหลวง นอกจากนี้นางก็ยังโดดเดี่ยวไม่มีผู้ใหญ่อยู่ข้างกาย จะมีใครคอยอบรมสั่งสอนกัน จริงสิ พวกนางยังได้ยินมาว่านางมีอาจารย์ที่อารามคอยสั่งสอน นางก็คงจะไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับอาราม เด็กสาวที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้จะโตมาเป็นอย่างไรได้ ย่อมโตมาอย่างเด็กที่น่าสงสารอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ใครเล่าที่ดูเหมือนหญิงสาวชาวบ้านมากกว่า

พวกฉินหมิงเย่ว์มองดูเสื้อผ้าทอเนื้อหยาบที่พวกตนสวมใส่แล้วก็ต้องหน้าแดงหูแดงด้วยความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าที่ผุดขึ้นในใจอย่างกะทันหัน

ที่แท้คนที่รับบทตัวตลกก็คือพวกนางเอง!

ในขณะที่พวกนางรู้สึกอับอายและต่ำต้อยนั้นก็ยังมีความรู้สึกอิจฉาและไม่ยุติธรรมปะปนอยู่ด้วย พวกนางต่างก็เป็นคุณหนูตระกูลฉินไม่ต่างกัน ตระกูลฉินตกต่ำ พวกนางต้องสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ แล้วฉินหลิวซีมีสิทธิ์อะไรถึงยังแต่งตัวราวกับคุณหนูได้อยู่อีก?

ความอิจฉาทำให้คนเราหน้าตาอัปลักษณ์ ฉินหลิวซีกวาดตามองพวกนางนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มหยันออกมา

“ตระกูลฉินตกต่ำแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนก็เลยลืมเรื่องมารยาทไปด้วยหรือ เห็นข้าแล้วยังไม่คารวะอีก?”

พวกของฉินหมิงเย่ว์แน่นิ่งไปทันที

“คารวะพี่หญิงใหญ่”

“คารวะพี่หลิวซี”

“อืม” ฉินหลิวซีพยักหน้า “คารวะแล้วก็กลับไปเถิด”

สีหน้าฉินหมิงเย่ว์เปลี่ยนไปทันที นางก้าวเข้าไปก่อนจะย่อตัวลงคารวะอีกครั้ง “พวกเรามาหาพี่หญิงใหญ่เพราะอยากจะพูดคุยด้วย พี่หญิงใหญ่ไม่เชิญพวกเราเข้าไปในห้องสักหน่อยหรือ หรือว่าท่านไม่ต้อนรับพวกเรา?”

“อืม ไม่ค่อยต้อนรับ ข้ามีเรื่องต้องทำด้วย” ฉินหลิวซีสาวเท้าจากไป

“พี่หญิงใหญ่ ไยท่านต้องหาข้ออ้างด้วย แค่ท่านบอกว่าไม่ยินดีมาตรงๆ พวกเราก็ไปแล้ว” ฉินหมิงเย่ว์ยิ่งรู้สึกน้อยใจจนอยากจะร้องไห้

ฉินหลิวซีหันกลับมายิ้มให้ “เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นจะต้องหาข้ออ้างเพื่อไล่พวกเจ้าไปด้วยหรือ”

คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

ฉินหมิงเย่ว์กัดริมฝีปากตนเองด้วยความอับอายเล็กน้อย

“พี่หลิวซี เช่นนั้นแล้วพวกเราสามารถเดินเล่นได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอวี่เยียนเองก็ก้าวเข้าไป

“เรือนหลังเล็กนี้แค่มองปราดเดียวก็ทั่วแล้ว มีอะไรให้น่าเดินเล่น ด้านหลังไปไม่ได้ ที่นั่นมีสวนสมุนไพรที่ข้าปลูกไว้ พวกเจ้าเข้าไปไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “ถ้าพวกเจ้าเบื่อ จะเดินเล่นที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ในเรือนเล็กนี้ ฉีหวง นำพวกนางออกไป”

“เจ้าค่ะ”

“คุณหนู เชิญเจ้าค่ะ”

พวกฉินหมิงเย่ว์ต่างก็ถูกกึ่งเชิญกึ่งไล่ออกจากเรือนหลังนั้น พวกนางยืนอยู่ด้านนอกเรือนด้วยสีหน้าย่ำแย่

“พี่หญิงใหญ่ก็ไร้น้ำใจเกินไป พวกเรามาถึงที่แล้ว ถึงอย่างไรก็น่าจะเชิญพวกเราเข้าไปดื่มชากินขนมบ้างสิ” ฉินหมิงซินเอ่ยขึ้นพลางทำหน้ามุ่ย “คนที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ ไม่รู้จักวิธีการต้อนรับแขก ยังกล้ามาวางท่าสอนเรื่องมารยาทพวกเราอีก”

ฉินหมิงเย่ว์เอ่ยเบาๆ “ใครใช้ให้นางเป็นพี่สาวคนโตเล่า”

“พี่สาวคนโตก็ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ต้องรักและใส่ใจน้องๆ อย่างพวกเราบ้างสิ มิใช่เอ่ยกันว่าพี่สาวคนโตก็เหมือนแม่หรอกหรือ”

“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว พี่หญิงใหญ่อาจไม่เข้าใจเรื่องนี้เพราะไม่มีคนอบรมสั่งสอนก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ใครสักคนมาสอนนางสิ ข้าจะไปเอ่ยกับท่านแม่ของข้า” ฉินหมิงซินวิ่งไปแล้ว

ฉินหมิงเย่ว์เหลือบมองที่เรือนหลังเล็กนั้นอีกที ก่อนจะกัดริมฝีปากของตนแล้วเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ซ่งอวี่ฉิงที่อยู่ข้างพี่หญิงใหญ่ของตนกระซิบว่า “พี่หญิง พวกเราก็ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

พี่หญิงหลิวซีผู้นั้นท่าทางน่าเกรงขาม นางจึงไม่ค่อยกล้ามองหน้าสบตาด้วยนัก

ซ่งอวี่เยียนพยักหน้า เก็บซ่อนความริษยาและความเศร้าโศกในดวงตาของตนไว้ก่อนจะจูงนางไป หากเอ่ยถึงเรื่องสถานการณ์ที่น่าอับอายแล้ว ใครหรือจะสู้พวกนางสามคนแม่ลูกได้เล่า

ตอนที่ 48 ฟ้อง

ตอนที่ฉีหวงกลับเข้ามา ฉินหลิวซีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเรียบง่ายแล้ว และกำลังรินชาให้ตนเองอยู่

“ไปกันหมดแล้วหรือ”

“ท่านแทบจะถือไม้กวาดไล่คนอยู่แล้ว คุณหนูพวกนี้หน้าบางออกจะตายไป พวกนางยังจะกล้าอยู่อีกหรือเจ้าคะ” ฉีหวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่พวกนางมาหาคุณหนูทำไมหรือเจ้าคะ”

“คงไม่ได้มาทำความสนิทสนมกันประสาพี่น้องจริงๆ หรอกกระมัง” ฉินหลิวซีพับแขนเสื้อไปพลาง “สตรีในห้องหออย่างพวกนางวันๆ ถ้าไม่พูดถึงศิลปะต่างๆ ก็เรื่องงานฝีมือ ไม่ก็มีร้านไหนออกเครื่องประดับใหม่ๆ มาบ้าง แล้วก็เปรียบเทียบกันไปต่างๆ นานา พวกนางไม่ได้มาเพื่อเปรียบเทียบ ก็คงมาหาความสบายใจ”

“ความสบายใจหรือเจ้าคะ” ฉีหวงก้าวเข้าไปช่วยนางพับแขนเสื้อ “พวกนางจะมาหาความสบายใจอะไรที่คุณหนู? แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าคุ้นเคยได้กระมังเจ้าคะ”

“เจ้าไม่เข้าใจ ในสายตาของพวกนาง ข้าเป็นเพียงเด็กน่าสงสารที่ถูกเนรเทศกลับบ้านในชนบท แต่พวกนางมาจากในเมืองหลวง ตอนนี้พวกนางตกต่ำ พอได้มาเห็นคนที่น่าสงสารอย่างข้า ถ้าหากข้าน่าเวทนา ขี้ขลาดและต่ำต้อย พวกนางก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นได้มิใช่หรือ”

จิตวิทยาของปุถุชนคนส่วนใหญ่ก็คือ ข้าทุกข์ อา แต่เจ้าทุกข์กว่าข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ได้ทุกข์มากแล้ว!

ฉีหวงหัวเราะเบาๆ “น่าเสียดาย พวกนางไม่เพียงหาความสบายใจไม่ได้ ยังถูกโจมตีกลับไปอีก”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่เอ่ยเรื่องพวกนางแล้ว ไปห้องยากันเถิด ไม่เช่นนั้นคงต้องอดนอนทั้งคืนแน่”

ฉินหมิงซินเอ่ยว่าจะฟ้องก็ฟ้องจริงๆ นางพุ่งเข้าไปกล่าวกับสะใภ้เซี่ยว่า ฉินหลิวซีเป็นพี่สาวคนโตที่ไร้คุณธรรมไม่สมกับตำแหน่ง

“…อย่าว่าแต่จะเชิญพวกเราดื่มชากินขนมเลย แค่เชิญพวกเราเข้าไปในห้องก็ยังไม่ทำ ท่านแม่ นางวางท่าสูงส่งเกินไปมาก ไม่มีน้ำใจเลยแม้แต่น้อย”

สะใภ้เซี่ยหน้าเขียวหน้าแดงทันที “นางไล่พวกเจ้าออกมาจริงๆ หรือ”

ฉินหมิงเย่ว์ถอนใจ “นางอาจจะรังเกียจพวกเรากระมัง”

นางยืดชุดผ้าเนื้อหยาบบนร่าง ไม่เคยต้องสวมใส่ผ้าชนิดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้นางกลับต้องสวมและรู้สึกว่ามันสากระคายมาก หลายวันมานี้นางรู้สึกว่าผิวของนางหยาบกร้านไปเสียแล้ว

ยิ่งฉินหมิงเย่ว์คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากเท่านั้น

สะใภ้เซี่ยเหลือบไปเห็นกิริยาเล็กๆ ของนางและมองไปที่ผ้าเนื้อหยาบบนร่างกายของตนเอง ในใจก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ยากจะเปลี่ยนนิสัยฟุ่มเฟือยให้กลายเป็นประหยัดได้ ตนเองไม่ได้สวมผ้าเนื้อหยาบเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ตนเองยังไม่เคยชินเลย นับประสาอะไรกับเด็กพวกนี้ที่นุ่งห่มเสื้อผ้าดีๆ มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

ไม่ใช่สิ นังเด็กบ้าฉินหลิวซีนั่นยังไม่ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบเหล่านี้เลย นางจะต้องแบ่งให้พวกน้องๆ ได้บ้างสิ?

“พอแล้ว พวกเจ้าเองก็อย่าได้ถือสาอะไรมากมาย พี่หญิงใหญ่ของเจ้าอาศัยอยู่ที่บ้านเก่านี้มาตั้งแต่เล็ก ไหนเลยที่นางจะรู้มารยาท เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับท่านป้าใหญ่ของพวกเจ้าว่าให้สั่งสอนนางเอง” สะใภ้เซี่ยโน้มน้าวอย่างสงบ

ฉินหมิงซินเอนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของนางพลางออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าเห็นว่าพี่หญิงใหญ่มีต่างหูสวยมากคู่หนึ่ง ลูกก็อยากได้ด้วยเจ้าค่ะ”

สะใภ้เซี่ยบีบจมูกนางและเอ่ยอย่างคนรู้นิสัย “เจ้าน่ะอะไรก็อยากได้ไปหมด”

ฉินหมิงเย่ว์เอ่ย “น้องหญิง นั่นมันของของพี่หญิงใหญ่นะ จะเอามาให้เจ้าได้เช่นไร เจ้าอย่าสร้างเรื่อง ถ้าวุ่นวายไปถึงหูท่านป้าใหญ่หรือท่านย่าขึ้นมา เจ้าก็อาจจะถูกตำหนิว่าไม่รู้ความได้”

สะใภ้เซี่ยไม่เห็นด้วย “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่สาวก็ต้องรักและยอมอ่อนให้น้องเจ้าสิ”

คำพูดนี้ท่านแม่เอ่ยให้นางฟังน้อยเสียเมื่อไหร่

ท่านแม่มีใจลำเอียง ลำเอียงเข้าข้างน้องชายก็ช่างเถิด นี่ยังลำเอียงเข้าข้างน้องสาวด้วย

ฉินหมิงเย่ว์หลุบตาลงและเอ่ยเบาๆ “ลูกรู้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ท่านย่าเองก็เคยเตือนไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

สะใภ้เซี่ยเองก็อึดอัดใจ “ใช่แล้ว ซินเอ๋อร์เจ้าทำตัวดีๆ ถึงอย่างไรท่านย่าของเจ้าก็กำลังป่วยอยู่ อย่าไปรบกวนท่านย่าเลย แม่ค่อยไปเอ่ยกับท่านป้าใหญ่…”

[1]เซิ่งจิง (盛京) เป็นเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์ชิง ในช่วงปีค.ศ. 1625-1644 ปัจจุบันคือเมืองเสิ่นหยาง ในมณฑลเหลียวหนิง