บทที่ 18 หนานกงหลี อ๋องเจ้าสำราญ (รีไรท์)
บทที่ 18 หนานกงหลี อ๋องเจ้าสำราญ (รีไรท์)
หนานกงหลีอยากจะเข้าไปกอดเจ้าก้อนแป้ง แต่เมื่อเห็นอาการของเด็กน้อย เขาก็ต้องพยายามสร้างความเชื่อใจต่อไป
“อย่ากลัวไปเลย เสี่ยวเป่า ข้าคือหนานกงหลี เป็นอาเจ็ดของเจ้า”
เกือบจะทันทีที่เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวเป่า อ๋องเจ็ดก็แทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งมาหาหนานกงสือเยวียนในวันนี้
องค์หญิงน้อยตรงหน้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในราชวงศ์ของพวกเขาจนถึงตอนนี้
บุตรของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ แปดคนแรกล้วนเป็นโอรสทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีเชื้อพระวงศ์อีกสิบห้าคนและยังมีเด็กชายอีกสิบสามคนในตำหนักเจิ้นเป่ย
เสด็จพี่อาจไม่รู้ แต่เขาอยากได้ลูกสาวแทบคลั่ง!
แม้เสี่ยวเป่าจะไม่ใช่ลูกสาวของเขา แต่หลานสาวก็ถือว่าเป็นลูกสาวได้เหมือนกันนั่นแล
อ๋องเจ็ดคิดในใจอย่างร้อนรน เมื่อเห็นเด็กหญิงผู้มีผิวสีขาวราวหิมะวิ่งเข้าไปกอดเสด็จพี่ พร้อมเรียกหาว่าท่านพ่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาแทบจะร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
แต่เขายังไม่มีความกล้าหาญปานนั้นต่อหน้าหนานกงสือเยวียน
เด็กน้อยเชื่อฟังมาก อ่อนโยนมาก ตัวเล็กมาก ทว่าฮ่องเต้ของเขาไม่แม้แต่จะกอดองค์หญิงน้อยที่นุ่มนิ่มคนนี้เลย เช่นนั้น…เหตุใดหนูน้อยไม่มากอดข้าแทนล่ะ!
ในที่สุดตอนนี้หนานกงหลีก็มีโอกาสจะได้พูดคุยกับเสี่ยวเป่า มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองกำลังตื่นเต้นแค่ไหน
“เสี่ยวเป่า ข้าเป็นน้องชายของเสด็จพ่อเจ้า นอกจากพ่อของเจ้าแล้ว เจ้าควรสนิทกับข้าให้มากที่สุด พอรู้ว่าเจ้ากลับมาแล้วข้าก็รีบมาที่นี่เพื่อตามหาเจ้า”
แต่หนานกงสือเยวียนกลับเพิกเฉยต่อน้องชายที่ยังมีชีวิตอยู่ของตนเองอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ท่านพ่อ ดวงตาใสกระจ่างรอคอยคำอนุญาตจากท่านพ่ออย่างใจจดใจจ่อ
แววตาหนานกงสือเยวียนอ่อนลงหลังเห็นสายตาที่อยากพึ่งพาและไว้วางใจโดยไม่มีเงื่อนไขของธิดา
“อืม”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้ายืนยันว่าสิ่งที่อ๋องเจ็ดพูดนั้นเป็นความจริง
หัวใจของหนานกงหลีพองโตทันทีเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะเป็นคนที่เสี่ยวเป่าสามารถเชื่อใจได้ในขณะนี้!
“สวัสดีเพคะ ท่านอาเจ็ด~”
เสี่ยวเป่าเรียกท่านอาเจ็ดด้วยเสียงเบา ๆ แค่นี้เขาก็ใจละลาย
จะมีลูกที่น่ารักและนุ่มนิ่มเช่นนี้ได้อย่างไรนะ ทำไมถึงไม่มาเกิดในครอบครัวของข้านะ ถ้าเสี่ยวเป่าเป็นบุตรสาวของข้าละก็…
อ๋องเจ้าสำราญกำลังเพ้อฝัน เห็นภาพที่เขาพาบุตรสาวไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ไม่ทราบว่าทำไมยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงหลีผู้ร่าเริง เสี่ยวเป่าก็ได้แต่มองหน้าเขาด้วยความสงสัย
แปลกตาไปอีกแบบ
แล้วนางก็มองหน้าท่านพ่ออีกครั้ง ทำไมหน้าท่านพ่อไม่มีอารมณ์หลากหลายแบบนั้นบ้างล่ะ?
เมื่อเห็นว่านางกำลังคิดอะไร หนานกงสือเยวียนถึงกับพูดไม่ออก “…”
“อย่าจ้องมองผู้อื่นตามใจชอบ”
เสี่ยวเป่ารับคำอย่างเชื่อฟัง จับมือท่านพ่อด้วยมือเล็ก ๆ แล้วเดินตามเขาไปทีละก้าวด้วยขาสั้น ๆ
แค่ได้อยู่เคียงข้างท่านพ่อก็ทำให้เสี่ยวเป่ามีความสุขแล้ว ดวงตาขับประกาย ปากเอ่ยเจื้อยเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่นางทำตอนที่ท่านพ่อไม่อยู่
หนานกงหลียืนอยู่อีกด้านหนึ่งของเสี่ยวเป่า เขามองไปที่เด็กหญิงด้วยสายตาราวกับว่าแค่จ้องก็ยังไม่พอ
“องค์หญิงน้อยเหนื่อยหรือไม่? ทำไมไม่ให้อาเจ็ดอุ้มเจ้าไปล่ะ?”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่หนานกงสือเยวียนอีกครั้งพร้อมฉีกรอยยิ้มประจบสอพลอบนใบหน้า
“หากฝ่าบาทไม่ว่าอะไร ขอกระหม่อมกอดหลานตัวน้อยสักหน่อยได้หรือไม่”
เอาใหญ่เชียว!
เมื่อเห็นท่าทางประจบสอพลอของเขา หนานกงสือเยวียนก็อดมุมปากกระตุกขึ้นมาไม่ได้
“ถามนางเองเถิด”
หนานกงหลีหัวเราะเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้น หลานสาวตัวน้อยของข้าก็คงไม่ขัดข้องใช่หรือไม่”
อ๋องเจ็ดขยิบตาให้เสี่ยวเป่าขณะที่พูด เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แม้ว่าตอนนี้จะอายุสามสิบแล้ว แต่เขาดูเหมือนคนในวัยยี่สิบ ไม่เพียงใบหน้าไม่เปลี่ยน แม้แต่อารมณ์ก็ยังเหมือนเดิม เรียกได้ว่ากาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของหนานกงหลี เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“เสี่ยวเป่าเหนื่อยมากแล้วเพคะ ท่านอาเจ็ด~”
เสี่ยวเป่ารู้สึกเวียนหัวตาลายกับท่าทางสุภาพของท่านอา อ๋องเจ้าสำราญรีบสวมกอดเด็กหญิงตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋ ทำไมเจ้าถึงตัวเล็กจัง ฝ่าบาท โปรดให้เสี่ยวเป่ากินเยอะ ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หัวใจอ๋องเจ็ดเจ็บแปลบ ๆ
ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นพ่อที่แท้จริงของเสี่ยวเป่าแน่ ๆ
ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนเคร่งขรึมขึ้นมาหลายเท่า
“ท่านพ่อมีของอร่อยให้เสี่ยวเป่าทานตลอดเลยนะเพคะ”
คนตัวเล็กยังคงปกป้องท่านพ่อเป็นอย่างดี สีหน้าของหนานกงสือเยวียนจึงดูดีขึ้น
หนานกงหลีพูดอย่างรวดเร็วว่า “ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เสี่ยวเป่ารักเสด็จพ่อมากเลยสินะ”
แน่นอนว่าเขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อพูดเช่นนี้
“แล้วเจ้าก็ไม่ควรเรียกเสด็จพ่อว่าท่านพ่อเฉย ๆ ด้วย”
หนานกงหลีรีบทักท้วงต่อไปทันที
หนานกงสือเยวียนก็ตกตะลึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยแก้ไขปัญหาเรื่องการเรียกชื่อของเสี่ยวเป่ามาก่อน ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาชอบถูกเรียกว่า ‘ท่านพ่อ’ มากกว่า ‘เสด็จพ่อ’ อย่างอธิบายไม่ถูก
เสี่ยวเป่ายังจ้องเขม็งไปที่ท่านพ่อและอ๋องเจ็ด ก่อนจะเบิกตากว้าง
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนเรียกท่านพ่อว่าอะไรหรือเพคะ?”
เสี่ยวเปาไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร นางรู้แค่ว่าตอนที่นางอยู่ในหมู่บ้าน เด็ก ๆ ทุกคนเรียกพ่อของตนเองว่าท่านพ่อกันทั้งนั้น
หนานกงหลีตอบว่า “นั่นมันคนอื่น แต่บิดาของเจ้าต่างออกไป”
เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย “ท่านพ่อไม่ใช่ท่านพ่อหรือ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ แค่ชื่อต่างหาก”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเสี่ยวเป่า “งั้นก็ต้องเรียกว่าท่านพ่อ~”
หนานกงหลีเลิกคิ้วแล้วมองไปที่หนานกงสือเยวียน เมื่อเห็นว่าเสด็จพี่ไม่ได้คัดค้าน เขาก็ยิ้ม
“ก็ได้ ท่านพ่อก็ท่านพ่อ”
หนานกงหลีไม่ได้พยายามแก้ไขอีกแล้ว
นอกจากนี้ เขายังคิดกับตนเองอีกด้วยว่าถ้ามีลูกสาวที่หน้าตาเหมือนเสี่ยวเป่า เขาก็คงอยากจะได้ยินนางเรียกท่านพ่ออย่างเชื่อฟัง แทนที่จะเรียกว่าเสด็จพ่อเหมือนกัน
สองพี่น้องพาเสี่ยวเป่าไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉินเจิ้ง หนานกงหลีไม่อยากปล่อยคนตัวเล็กในมือไปแต่อย่างใด
เขาหยิบของขวัญที่เตรียมไว้เป็นพิเศษออกมา
“มาดูสิเสี่ยวเป่า นี่คือของเล่นที่อาเจ็ดขอมอบให้เจ้า เจ้าควรเก็บเครื่องรางทองคำนี้ไว้กับตัวเสมอ เสี่ยวเป่าจะได้ปลอดภัยและแข็งแรง ส่วนนี่คือของเล่นที่อาไปเจอมาจากข้างนอก ดูกลไกนี้สิ มันทำเลียนแบบกระต่ายตัวจริงได้เหมือนมาก…”
เพื่อให้เสี่ยวเป่าพอใจ หนานกงหลีไม่ได้ใช้ความพยายามมากนักในการค้นหาของเล่นสนุก ๆ มาจากเหล่าบุตรชายของตนเอง
เสี่ยวเป่ายังรักษาหน้าอีกฝ่ายไว้ได้อย่างดี ตะโกนอย่างมีความสุขว่า “ยอดเยี่ยมที่สุดเลยเพคะ”
“ขอบคุณท่านอาเจ็ดมากเพคะ~”
อ๋องเจ็ดดีใจจนเหมือนกับตัวจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสี่ยวเป่าเล่นกับของเล่นเหล่านั้นอย่างสดใสอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานนางก็เริ่มมองหาท่านพ่ออีกครั้ง
เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อมาก พยายามดิ้นลงเพื่อไปหาท่านพ่อ
“ท่านอา ท่านอาปล่อยเสี่ยวเป่าลงก่อนได้หรือไม่เพคะ”
แม้แต่การถามยังสุภาพเรียบร้อยขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว
ถึงจะไม่เต็มใจ แต่หนานกงหลียังคงปล่อยให้เสี่ยวเป่าไป
จากนั้นเขาก็ยืนมองดูเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้าไปหาหนานกงสือเยวียน
“ท่านพ่อเหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านพ่อ งานยุ่งอีกแล้วหรือ”
“ท่านพ่อ หิวหรือไม่~”
เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นน้องชาย หนานกงสือเยวียนก็ต้องยอมรับว่าเขามีความสุขมากจนยิ้มมุมปากออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว