วสันตฤดูของจิงเฉิงเป็นฤดูกาลหนึ่งที่ดอกบ๊วยร่วงโรยดอกท้อผลิแย้ม ดอกหลีและดอกไห่ถังเบ่งบานสะพรั่งประหนึ่งหิมะหนาแน่น
ฤดูกาลเช่นนี้เหมาะสำหรับให้คนออกจากบ้านไปเดินเล่นด้วยกันทั้งครอบครัวหรือไม่ก็จัดงานชมบุปผาที่บ้านสักครั้งเป็นที่สุด
จวนหย่งเฉิงโหว[1]ตั้งอยู่ในเขตเสี่ยวสือยงทางทิศตะวันตกของเมือง ท่านโหวผู้เฒ่าขี่นกกระเรียนไปเยือนแดนสุขาวดีเมื่อสามปีก่อน แม้นผู้รับตำแหน่งท่านโหวคนใหม่จะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ฮ่องเต้มีบัญชาให้ละเว้นการไว้ทุกข์เพื่อดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารส่วนกลางของกองบัญชาการทหารทั้งห้า แต่ทุกคนในจวนตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่างกลับยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ระหว่างที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์นั้นมิต้องกล่าวถึงงานเลี้ยง แม้แต่เทศกาลปีใหม่ยังไม่กล้าจัดอย่างครื้นเครงสักครั้ง เรื่องงานแต่งของคุณหนูที่ถึงวัยออกเรือนหลายท่านในบ้านล้วนต้องผัดผ่อนออกไปก่อน
ตอนนี้มิต้องสวมใส่ชุดไว้ทุกข์แล้ว หย่งเฉิงโหวฮูหยิน[2]จึงครุ่นคิดว่าควรจะจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิที่บ้านสักงานดีหรือไม่ เพื่อให้คุณหนูสองสามคนในบ้านได้อวดโฉมต่อหน้าสตรีชั้นสูงทั้งหลายในเมืองหลวงสักครั้ง และกำหนดเรื่องมงคลสมรสให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
แต่โชคร้ายเหลือเกินที่เมื่อหลายวันก่อนมีหลานสาวจากบ้านเดิมของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ามาเยี่ยมเยียนที่บ้านของพวกเขา ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจเป็นอย่างยิ่งจึงจัดให้คุณหนูต่างสกุลผู้นี้พักอยู่ที่สวนหิมะงามซึ่งเป็นสวนที่ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิงดงามที่สุดในจวนโหว
หย่งเฉิงโหวฮูหยินจำต้องหาสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงใหม่
หมัวมัวที่นางไว้วางใจจึงเสนอความคิดให้นางว่า “เปลี่ยนเป็นสวนดอกไม้ด้านหลังดีหรือไม่เจ้าคะ สถานที่กว้างใหญ่กว่าสวนหิมะงาม ทิวทัศน์ก็ถือได้ว่าสวยงามไม่แพ้กัน”
แต่สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจะเทียบกับสวนหิมะงามที่ตรงกลางมีภูเขาจำลองหินไท่หูหนึ่งลูก ท้ายสวนมีต้นหลี[3]อายุสามร้อยปีสองต้นและสวนดอกหลีตามฤดูกาลอีกหนึ่งผืนนั่นได้อย่างไร
โหวฮูหยินอดถอนหายใจไม่ได้
หมัวมัวผู้นั้นได้แต่กล่าวว่า “ปรึกษาฮูหยินผู้เฒ่าดีหรือไม่ ให้คุณหนูต่างสกุลพักอยู่ที่เรือนหยกวสันต์ของฮูหยินผู้เฒ่าก่อนสักสองสามวัน ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ เรื่องการแต่งงานของคุณหนูทั้งสองสามท่านสำคัญกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่ถึงกับไม่สนใจหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองเพื่อญาติห่างๆ ผู้หนึ่งหรอกกระมัง”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วปรายตามองหมัวมัวอย่างรู้สึกวิงเวียนครั้งหนึ่ง
หมัวมัวเห็นเช่นนั้นแล้วหนังตากระตุก กระซิบถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ข้าพูดสิ่งใดผิดไปใช่หรือไม่”
โหวฮูหยินตรึกตรองครู่หนึ่ง หันไปมองบริเวณโดยรอบทั้งสี่ด้าน เห็นว่าภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้นอกจากพวกนางสองคนแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก ถึงได้ลดเสียงลงและชูสองนิ้วออกมาเงียบๆ
นี่หมายถึงอะไรกัน?
กว่าครู่ใหญ่หมัวมัวก็ยังไม่เข้าใจ
โหวฮูหยินจำต้องกล่าวย้ำเตือนหมัวมัวว่า “กูไหน่ไน[4]รอง!”
ปัจจุบันจวนของพวกเขามีกูไหน่ไนเพียงหนึ่งท่าน แต่งงานไปเป็นฮูหยินซื่อจื่อของจวนเฉิงกั๋วกงที่ไปพิทักษ์เมืองจินหลิง ตอนนี้ได้เป็นเฉิงกั๋วกงฮูหยินแล้ว จะมีกูไหน่ไนรองผู้หนึ่งมาจากที่ใดกัน?
ขณะที่กำลังสับสนมึนงงอยู่นั้นหมัวมัวพลันนึกถึงเรื่องแต่หนหลังของจวนหย่งเฉิงโหวขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
เทศกาลโคมไฟเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน คุณหนูรองของที่จวนตามคุณหนูใหญ่ไปดูโคมไฟที่ถนนฉังอาน ทว่าถูกกลุ่มคนร้ายลักพาตัวไป ท่านโหวผู้เฒ่าแจ้งทางการในทันที แม้นกล่าวว่ากลุ่มคนร้ายลักพาตัวถูกจับได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้วคุณหนูรองกลับกระโดดลงน้ำไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หรือว่าในเรื่องนี้จะมีความผิดปกติอะไรซ่อนอยู่ด้วย?
ฉับพลันนั้นนางก็ใจเต้นตึกตักรู้สึกสับสนไปหมด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาเต็มหน้าผาก “ท่านหมายความว่า?”
หมัวมัวผู้นี้เป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของโหวฮูหยิน มีความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวกับโหวฮูหยินมาหลายสิบปี เรื่องรอบตัวของโหวฮูหยินไม่ว่าเล็กหรือใหญ่โดยมากล้วนเป็นนางที่จัดการให้ โหวฮูหยินเองก็ไม่คิดปิดบังนาง จึงพยักหน้าเบาๆ กดเสียงต่ำลงอีกหลายส่วน ทอดถอนใจกล่าวว่า “เจ้าอยู่ในจวนนี้มาหลายปี บางเรื่องคาดว่าน่าจะได้ยินมาบ้างแล้ว…
…ปีนั้นกูไหน่ไนรองถูกลักพาตัวไป ท่านโหวผู้เฒ่ากลัวนางเสียเกียรติและทำให้จวนโหวเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงมิได้แจ้งทางการ แล้วก็จับกลุ่มคนร้ายลักพาตัวมิได้ด้วย ทำได้เพียงบอกกับคนภายนอกว่าคนเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น”
หมัวมัวตกใจเป็นอย่างมาก หลุดปากออกมาว่า “ท่านโหวผู้เฒ่าจิตใจโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
โหวฮูหยินกลับมิได้ต่อว่านาง ยังทอดถอนใจกล่าวตามน้ำไปด้วยว่า “ผู้ใดว่ามิใช่ ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนให้ท่านโหวผู้เฒ่าไปตามหาคน ท่านโหวผู้เฒ่ากลับหมางเมินไม่แยแส…
…ดวงตาซ้ายของฮูหยินผู้เฒ่าข้างนั้นก็เป็นตอนนั้นเองที่ร้องไห้จนมืดบอดไป…
…กูไหน่ไนรองเองก็ไม่รู้ว่าเผชิญกับความยากลำบากอะไรมาบ้าง ผ่านไปสองสามปีก็หาทางกลับมาได้เอง ท่านโหวผู้เฒ่าปิดประตูไม่ยอมพบหน้า บอกว่าบุตรสาวของตนเสียชีวิตไปนานแล้ว ยังบอกว่ากูไหน่ไนรองแอบอ้างเป็นญาติขุนนาง ลอบส่งคนไปหมายจะจัดการกูไหน่ไนรองเสีย…
…เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ไปขอร้องให้นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเดิมให้ยื่นมือมาช่วย ถึงช่วยชีวิตกูไหน่ไนรองเอาไว้ได้…
…แต่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กูไหน่ไนรองก็ตัดขาดการติดต่อกับที่บ้าน…
…ต่อมาก็ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร กูไหน่ไนรองแต่งเข้าสกุลหวังที่สู่จง เป็นภรรยาคนที่สองของนายท่านใหญ่หวังที่เป็นพ่อม่าย ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนบุตรสาวหนึ่งคน และคุณหนูต่างสกุลท่านนี้ก็คือบุตรสาวคนเดียวของกูไหน่ไนรองท่านนั้นนั่นเอง”
หมัวมัวตกตะลึง กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ว่า ตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าแซ่ซือ ฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเดิมแซ่หวง และฮูหยินของบ้านเดิมก็แซ่ซั่น แล้วจะมีหลานสาวแซ่หวังผุดออกมาจากสู่จงผู้หนึ่งได้อย่างไร”
โหวฮูหยินกล่าว “ตอนนั้นข้าเองก็งุนงงเช่นกัน หากมิใช่เพราะพอกูไหน่ไนใหญ่ได้ยินว่าคุณหนูต่างสกุลผู้นี้มาที่นี่ ก็ส่งหมัวมัวที่ไว้วางใจเดินทางรอนแรมนำเงินทองไข่มุกอัญมณีและของกินของเล่นมาให้ล่ะก็ ข้าเองก็คงคาดเดาไม่ถึงเช่นกัน”
หมัวมัวฟังแล้วสีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ในเมื่อกูไหน่ไนรองตัดขาดการติดต่อกับจวนพวกเราไปแล้ว เช่นนั้นเหตุใดถึงส่งคุณหนูต่างสกุลมาที่นี่อีก หรือว่ามีเรื่องอะไรต้องการขอร้องพวกเรา?”
โหวฮูหยินกล่าว “เจ้าลองตรึกตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนดู!”
หมัวมัวพึมพำกล่าว “ดูจากรูปลักษณ์ของคุณหนูต่างสกุลแล้ว ไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้าปี หรือว่ากูไหน่ไนรองอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าหาคู่ครองดีๆ ให้คุณหนูต่างสกุลสักคน?”
“นับว่าเจ้ายังมิได้เป็นคนแก่เลอะเลือน” โหวฮูหยินพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้าเรียงตามลำดับ แม้นสกุลหวังนั่นจะเป็นคหบดีร่ำรวยของสู่จง แต่หากอยากให้คุณหนูต่างสกุลได้แต่งงานกับตระกูลดีๆ ก็ต้องอาศัยชื่อเสียงของจวนพวกเรา นอกจากนี้ก็ยังมีกูไหน่ไนใหญ่อีกคนอยู่ด้วย”
หมัวมัวฟังแล้วรู้สึกจิตใจว้าวุ่นเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกูไหน่ไนใหญ่หรือว่าท่านโหวของพวกเขาล้วนไม่มีผู้ใดกล่าวโต้แย้งเพื่อน้องสาวต่อหน้าบิดาเลยสักคน คนหายไปจากงานโคมไฟทั้งคน ย่อมต้องมีส่วนให้รู้สึกผิดต่อกูไหน่ไนรอง ตอนที่ท่านโหวผู้เฒ่าจากไป กูไหน่ไนรองไม่แม้แต่จะมาจุดธูปให้ เห็นได้ชัดว่ายังมีความขุ่นแค้นหลงเหลืออยู่ในใจ วันนี้เพื่อคุณหนูต่างสกุลแล้ว กูไหน่ไนรองกลับยอมก้มศีรษะให้พวกเขา
นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “น่าเห็นใจหัวใจของคนเป็นบิดามารดาบนโลกใบนี้ยิ่งนัก!”
โหวฮูหยินเองก็รู้สึกว้าวุ่นไม่น้อยเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “เพราะฉะนั้นแล้ว ภายในจวนนี้จะแตะต้องผู้ใดก็ได้ ยกเว้นคุณหนูต่างสกุลแตะต้องไม่ได้เป็นอันขาด”
“บ่าวเข้าใจแล้ว!” หมัวมัวพยักหน้าหงึกๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนที่บ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวมากระซิบข้างหูนาง บอกว่าคุณหนูต่างสกุลเลือกกิน รังเกียจเหยียดหยามว่าน้ำปรุงรสถั่วเหลืองที่พวกนางใช้ทำอาหารนั้นหมักกลางแดดไม่ครบหกเดือน
นางไม่คล้อยตาม ยังคิดว่าบ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวใช้ประโยชน์จากความอาวุโสของตนละเลยมารยาท และคุณหนูต่างสกุลที่มาเป็นแขกอยู่บ้านของผู้อื่นก็ไม่รู้จักยอมลงให้เช่นกัน ล้วนมิใช่คนที่รับมือด้วยง่ายทั้งสิ้น แต่ขอเพียงไม่ตะกุยข่วนหน้าทะเลาะกันอย่างเปิดเผย นางก็จะทำเสมือนไม่รู้เรื่องเสีย เมื่อเวลาล่วงเลยไป จะเป็นลมตะวันออกโถมทับลมตะวันตกหรือว่าลมตะวันตกโถมทับลมตะวันออก นั่นก็ต้องดูความสามารถของพวกนางแล้ว
ทว่าดูจากตอนนี้กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยเข้าทีนัก
เนื่องจากคุณหนูต่างสกุลมีประวัติความเป็นมาเช่นนี้ เกรงว่าจะมิได้เป็นแก้วตาดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่าเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้แต่กูไหน่ไนใหญ่ที่มีความรู้สึกผิดอยู่ในใจก็น่าจะประคบประหงมเอาอกเอาใจด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าหากบ่าวในบ้านปล่อยข่าวไม่ดีอะไรของคุณหนูต่างสกุลออกไป โหวฮูหยินเป็นคนรับผิดชอบดูแลเรื่องภายในบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าและกูไหน่ไนใหญ่คงคิดเพียงว่าโหวฮูหยินปกครองบ้านเรือนได้ไม่ดี ถึงเวลาคนที่โชคร้ายที่สุดก็คือโหวฮูหยิน
นางเป็นคนของโหวฮูหยิน ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดเผื่อโหวฮูหยิน
หมัวมัวรีบบอกเล่าเรื่องนี้ให้โหวฮูหยินฟัง
โหวฮูหยินตะลึงงัน ตำหนิบ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวว่ามากเรื่อง นึกถึงเมื่อวานที่ร้านขายปลาของตลาดตะวันออกเข้ามาสรุปบัญชีที่บ้าน นำปลาตะลุมพุกสดใหม่สองตัวมาให้ด้วยเป็นพิเศษ จึงสั่งการให้หมัวมัวนำปลาสองตัวนั้นไปส่งให้คุณหนูต่างสกุล “ดูว่านางอยากกินอย่างไร เจ้าช่วยจับตาดูให้บ่าวหญิงสูงวัยประจำเรือนครัวปรุงแล้วยกไปให้ด้วยตัวเอง”
คนในปกครองย่อมกระทำตามท่าทีของผู้บังคับบัญชา เมื่อมีตัวอย่างนี้แล้วคิดว่าคนในจวนคงไม่มีใครกล้าละเลยคุณหนูต่างสกุลผู้นี้อีก
หมัวมัวตบหน้าอกกล่าวให้คำมั่น “ท่านวางใจเถิด ข้าจะจับตาดูเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
โหวฮูหยินพยักหน้า อดถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “น้ำปรุงรสถั่วเหลืองของพวกเราหมักกลางแดดไม่ครบหกเดือนจริงหรือ นางแยกแยะรสชาติได้จริงๆ หรือ”
หมัวมัวหน้าแดง ตอบว่า “ข้าไปสอบถามมาแล้ว วันนั้นน้ำปรุงรสถั่วเหลืองของเรือนครัวที่เรือนชั้นในหมด ที่เรือนครัวก็รอใช้ของอยู่ บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นจึงให้คนไปหยิบจากเรือนครัวของเรือนข้างทิศตะวันตกมาใช้ก่อนหนึ่งไหเจ้าค่ะ”
เรือนข้างทิศตะวันตกเป็นสถานที่พักอาศัยของบ่าวไพร่ในบ้าน เรือนครัวของเรือนข้างทิศตะวันตกก็เอาไว้สำหรับทำอาหารให้บ่าวไพร่ในบ้านโดยเฉพาะ แน่นอนว่าวัตถุดิบที่ใช้ย่อมไม่พิถีพิถันเท่าเรือนครัวของเรือนชั้นใน
โหวฮูหยินเองก็หน้าแดงด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนหารือกันว่าจะควบคุมบ่าวไพร่ในบ้านอย่างไรดี
***
ในสวนหิมะงาม คุณหนูต่างสกุลหวังซีห่มเสื้อคลุมผ้าไหมสีชมพูปักลายดอกชังผู[5] ในมือถือกล้องส่องทางไกลฝังลวดเส้นเล็กสรรค์สร้างเป็นลายสมบัติทั้งแปดและลงยาสีสันสวยงามตามแบบฉบับจิ่งไท่หลาน[6]เอาไว้กระบอกหนึ่ง กำลังพาดตัวอยู่บนขอบหน้าต่างในห้องอุ่นที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาจำลองหินไท่หู สอดส่องป่าไผ่ด้านหลังสวนดอกไม้ของจวนข้างๆ
ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวมรกตนั้น เงาร่างคนสีขาวสายหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างว่องไวและปราดเปรียว
ลำแสงกระบี่สีขาวหิมะนั่นบางคราละมุนราวกับปรอทตกต้องลงบนพื้น บางคราวรุนแรงดั่งสายฟ้าปกคลุมทั่วท้องนภา ก่อคลื่นลมแรงหมุนวนขึ้นมา ใบไม้ปลิดปลิวลอยละล่องอยู่ในอากาศ
ต่อให้อยู่ห่างถึงเพียงนี้ นางยังสัมผัสได้ว่าคนที่ท่วงท่าดูสบายๆ เป็นธรรมชาตินั้น แรงวาดกระบี่กลับสง่าผ่าเผยน่าเกรงขามประหนึ่งขุนเขาก็ไม่ปาน
“ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” หวังซีอดกล่าวชื่นชมไม่ได้ เสียดายที่เห็นเพียงเงาร่างของคนรำกระบี่แต่ไม่อาจเห็นใบหน้าของเขา
นางครุ่นคิด พยายามยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง
บรรดาหญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องอุ่นอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่
แต่ก็กลัวว่าจะทำให้หวังซีตระหนกไปด้วยจึงพากันป้องปากระงับเสียงพร้อมเพรียงกันอย่างรวดเร็ว
หวังซีไม่ทันสังเกตเห็น
กล้องส่องทางไกลเห็นแจ่มชัดกว่าเมื่อครู่หลายส่วน
นางเห็นชัดเจนแล้วว่าคนรำกระบี่เป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ช่วงไหล่กว้างเรียวขายาว รัดผมขึ้นสูง สวมชุดตัวกลางผ้าไหม ยามหมุนตัวโจมตีกลับ อาภรณ์บางเบาแนบอยู่บนเรือนร่างเขา ทำให้เห็นช่วงบ่าแกร่งและเอวบางทว่าแข็งแรงได้รางๆ
อา!
หวังซีอุทานอยู่ในใจ
ดวงหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดกว่านี้ก็คงดี
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปร่างและความสามารถนี้แล้ว ต่อให้เขาหน้าตาธรรมดาสามัญ แต่เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างไรก็ย่อมเป็นคนโดดเด่นตราตรึงใจผู้คน
บุรุษแท้สมควรมีกิริยาท่าทางเช่นนี้!
หวังซีเขย่งเท้าขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ โน้มร่างกายออกไปด้านนอกมากยิ่งขึ้น
ไป๋กั่วสาวใช้ใหญ่ของนางเห็นแล้วเหงื่อซึมทั่วหน้าผาก รีบเดินเข้าไปหาอย่างเบามือเบาเท้า ดึงเอวของนางเอาไว้ในทันใด ถึงระงับความกังวลใจเอาไว้ได้พลางกล่าวยิ้มๆ ด้วยเสียงอบอุ่นว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านระวังจะตกลงไปนะเจ้าคะ”
หวังซีหันศีรษะกลับมา ทำปากยื่นให้ไป๋กั่วอย่างเอาแต่ใจ ทว่าก็ยืนตัวตรงขึ้นมาตามคำแนะนำ
ฉับพลันนั้นก็มีสาวใช้ดวงตาโตคิ้วคมเข้มผู้หนึ่งก้าวออกมา กล่าวด้วยดวงหน้าแย้มยิ้มยินดีว่า “คุณหนูใหญ่ ข้ามิได้หลอกท่านใช่หรือไม่ เช้าวานนี้ข้าค้นพบเข้าโดยบังเอิญก็รีบบอกท่านทันที เมื่อเปรียบเทียบกับกงซุนต้าเหนียงที่นายท่านเชิญมาตอนปีใหม่ผู้นั้นแล้วคนผู้นี้เก่งกาจกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า เปรียบกงซุนต้าเหนียงกับเขาก็เหมือนเปรียบตาปลากับไข่มุก จริงไม่อาจกลายเป็นเท็จ เท็จก็ไม่อาจกลายเป็นจริงได้”
“ฮ่าๆๆ!” หวังซีหัวเราะร่าพลางกล่าวกับสาวใช้ผู้นั้นว่า “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก” จากนั้นบอกไป๋กั่วว่า “ประเดี๋ยวเจ้ามอบก้อนเงินให้หงโฉวหนึ่งถุงเป็นรางวัล”
สาวใช้นามหงโฉวผู้นั้นดีใจยิ้มจนดวงตาหยีเป็นเส้นสายหนึ่ง กล่าวขอบคุณหวังซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หวังซียังคงคิดเรื่องของคนรำกระบี่อยู่ ผู้ใดจะรู้ว่าพอนางหมุนกายกลับไปยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องอีกครั้ง ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้เอง ภายในลานบ้านของจวนข้างๆ ก็ว่างเปล่าไปเสียแล้ว เหลือแต่เพียงใบไม้เขียวเต็มพื้นเท่านั้น
“เฮ้อ!” นางถอนหายใจอย่างผิดหวัง “ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังจะรำกระบี่อยู่หรือไม่ หากได้เห็นหน้าตาของคนผู้นั้นชัดๆ ก็คงจะดี”
……………………………………………………………………….
[1] โหว เป็นหนึ่งในบรรดาศักดิ์ของขุนนางจีนสมัยโบราณ โดยมีอยู่ด้วยกันห้าประเภท กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน เรียงตามลำดับ โดย กง เป็นยศสูงสุด
[2] ฮูหยิน สำหรับเรียกขานภรรยาเอกของขุนนางยศขั้นสามหรือสองขึ้นไปที่ได้รับแต่งตั้งยศตามยศของสามี
[3] ต้นหลี ต้นสาลี่
[4] กูไหน่ไน คำเรียกขานบุตรสาวของตระกูลที่ออกเรือนไปแล้ว
[5] ดอกชังผู ดอกไอริส
[6] จิ่งไท่หลาน เครื่องเคลือบลงยาจีน
ตอนต่อไป
← ตอนก่อน