บทที่ 15 ท่านอ๋องหึงหวง

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 15 ท่านอ๋องหึงหวง
ไม่ผิดคาด อาศัยเบาะแสจากเฟิ่งชิงหัว ได้ค้นพบคนจำนวนสี่คนที่เข้าเค้า เมื่อทำการสอบสวน ทุกคนต่างก็มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ของตนเอง ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ แต่ที่จริงแล้วทุกคนต่างก็มีเวลาในการก่อเหตุได้
ยาพิษถูกค้นเจอจากตัวของพ่อครัวในห้องเครื่อง ตรงกับยาพิษที่ซุนผินได้รับ
ส่วนนางกำนัลที่รับผิดชอบเครื่องดื่มก็ค้นจนเจอของใช้ของพระสนม ฮ่องเต้เป็นผู้ยืนยันเองว่าเป็นเครื่องประดับของซุนผิน
นางกำนัลในตำหนักของฮองเฮาได้นัดแนะไปเจอชายคนรักตอนที่ไปส่งของว่าง ส่วนนางกำนัลที่ติดตามซุนผิน อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าตอนนั้นตนเองทำอะไรอยู่
ขณะที่อารมณ์ของฮ่องเต้เซวียนถ่งกำลังจะปะทุขึ้น ก็ได้ยินเสียงของขันทีดังขึ้นด้านนอก ผู้ว่ากรมการพระนครและผู้ตรวจสอบมาถึงแล้ว ตอนนี้ได้ทำการตรวจสอบเสร็จแล้วและกำลังรอรายงานผลอยู่
“ให้เข้ามา”
ผู้ว่ากรมการพระนครตอนนี้ก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว รูปร่างค่อนข้างผอม ตอนที่คุกเข่าคำนับแผ่นหลังของเขายืดตรง ดูก็รู้ว่าเป็นคนหัวแข็งและเป็นธรรม
ส่วนคนที่คุกเข่าอยู่ทางด้านหลังของเขา ก็คือผู้ชันสูตรศพที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุดในศาลาว่าการพระนคร ไป๋จื่อหยาง
คนในตระกูลไป๋สามรุ่นก่อนหน้านี้ต่างก็เป็นผู้ชันสูตรศพ สืบทอดมาจนถึงรุ่นนี้ ซึ่งมีชื่อเสียงมาก ว่ากันว่าเคยช่วยทางศาลาว่าการพระนครไขคดีใหญ่ๆมาแล้วหลายคดี ฉะนั้นจึงได้รับความเชื่อมั่นจากฮ่องเต้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่ไป๋จื่อหยางเข้ามาเฟิ่งชิงหยางก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างวิเคราะห์ เขามีท่าทีของการเป็นนักปราชญ์ มีกลิ่นอายของความรู้ที่หนาแน่นมาก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ชันสูตรศพ
ผู้ชันสูตรศพก็คือแพทย์นิติเวชในยุคปัจจุบัน เช่นนั้นพวกนางสองคนก็นับว่าอยู่ในสายอาชีพเดียวกัน
โดยสัญชาตญาณ ที่มาจากการเป็นคนในอาชีพเดียวกัน เฟิ่งชิงหัวประทับใจในตัวไป๋จื่อหยางไม่น้อย
เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของเฟิ่งชิงหัวคอยจับจ้องอยู่ที่ร่างของไป๋จื่อหยาง จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นจี้ไปที่บริเวณเอวของหญิงสาวหนึ่งที
ความเจ็บปวดสายหนึ่งส่งผ่านมาจากบริเวณเอว เฟิ่งชิงหัวเกือบจะยืนได้ไม่มั่นคง
ไม่ง่ายเลยที่จะประคองโต๊ะที่อยู่ข้างๆเอาไว้และหันมาถลึงตาให้เขา พูดเสียงเย็นว่า “ท่านทำอะไร ข้าไม่ได้หาเรื่องท่านนะ”
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเสียงเย็นว่า “มองชายอื่นต่อหน้าข้า ไม่อยากจะมีดวงตาแล้วหรืออย่างไร”
ก่อนอื่นเฟิ่งชิงหัวรู้สึกอึ้ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โค้งตัวลงไปกระซิบข้างหูของชายหนุ่ม “หรือว่าท่านอ๋องหึงข้า รักข้าเข้าแล้วหรือ”
จ้านเป่ยเซียวยิ้มเย็น “เจ้ายังสามารถฝันหวานได้มากกว่านี้อีกนิด”
ไม่ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้คือพระชายาของเขา ก่อนที่จะกำจัดนางอย่างเป็นทางการ เขาจะไม่ยอมเกิดเรื่องเสียหายต่อจวนอ๋องเจ็ดอย่างเด็ดขาด
เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก ยืนตัวตรงอีกครั้ง ดูละครสนุกๆต่อ
ไป๋จื่อหยางเริ่มรายงานอย่างเป็นระเบียบ บาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ทิศทางของคมมีด รวมไปถึงการสันนิษฐานถึงความสูงของคนร้าย แม้แต่ตำแหน่งตอนที่ลงมือแทงก็พูดออกมาด้วย
เฟิ่งชิงหัวฟังอย่างเพลิดเพลิน อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตามไปด้วย ขณะที่ฟังอย่างรู้สึกสนุกก็เห็นชายหนุ่มหยุดพูดไป
ฮ่องเต้เซวียนถ่งขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “แล้วที่ศพกลายเป็นโครงกระดูกเกิดจากสาเหตุอะไร”
ไป๋จื่อหยางเอ่ยอย่างสุขุมว่า “ที่ซุนผินเหนียงเหนียงมีเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ดเพราะว่าถูกพิษหงอนกระเรียนแดง ส่วนเรื่องที่ทำไมร่างของนางจึงกลายเป็นโครงกระดูก กระหม่อมก็ไม่เคยเห็นตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน ไม่สามารถวินิจฉัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นเพราะว่านางกินยากระตุ้นความขาวมากเกินไป”ทันใดนั้นเฟิ่งชิงหัวก็พูดขึ้นมา
เสียงนี้ทำให้ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้ง หันมามองนางกันหมด
“ของบังอาจถามว่า ยากระตุ้นความขาวคืออะไร”เห็นได้ชัดว่าไป๋จื่อหยางสนใจในสิ่งที่เฟิ่งชิงหัวพูดเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกันเฟิ่งชิงหัวก็ใจกว้างมาก ยกตัวอย่างขึ้นมาว่า “มันก็เหมือนกับ ในใบไม้ใบหนึ่งมีของเหลวสีเขียวอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงกลายเป็นสีเขียวเงาวับดูมีชีวิตชีวา แต่ถ้าหากท่านสูบเอาของเหลวสีเขียวด้านในออกไปจนหมด แล้วทาหินปูนลงไป เช่นนั้นเมื่อหินปูนเหล่านี้มีความร้อนถึงจุดที่แน่นอน ก็จะรวบรวมพลังความร้อนจำนวนมากเอาไว้ เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการที่คล้ายการเผาไหม้ทางวิทยาศาสตร์”
เมื่อเห็นว่าไป๋จื่อหยางเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ เฟิ่งชิงหัวจึงพูดต่อไปว่า “ซุนผินเหนียงเหนียงมีผิวพรรณขาวผ่อง ขาวกว่าคนทั่วไปมาก นั่นเป็นเพราะว่านางได้กินยาที่กระตุ้นความขาวคล้ายๆกับหินปูนเข้าไปเป็นเวลานานปี ไม่เพียงแต่กินเท่านั้น เกรงว่านางจะใช้ทาภายนอกด้วย หลังจากใช้เป็นระยะเวลานานๆ องค์ประกอบในร่างกายของนางก็จะไม่เหมือนคนทั่วไป เมื่อครู่ตอนที่เห็นภาพนั้นข้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ภายใต้แสงแดดที่ส่องลงมาผิวของนางเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วและเนื้อหนังบนร่างก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลีซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ”
“ไม่ทราบว่าเป็นยาอะไร จึงได้มีฤทธิ์เช่นนี้ ”ไป๋จื่อหยางถามขึ้นอย่างอยากรู้
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพลางมองไปทางนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ “เรื่องนี้ ก็ต้องถามนางกำนัลที่รับใช้ใกล้ชิดนางแล้ว”