“เจ้าหนุ่ม มีปัญหาอะไรอัดอกอยู่หรือไม่?” บุคคลที่เพิ่งทะยานขึ้นจากหนองน้ำบัดนี้กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ รัศมีพลันเปลี่ยนเป็นสง่างามดั่งเทพเซียน

“ท่านเทพเซียน ศิลาวิญญาณของข้าพลัดตกลงน้ำไปแล้วขอรับ” ฉินจิ่วเกอพอเห็นว่าอีกฝ่ายทั้งที่เพิ่งดีดตัวออกจากผืนน้ำ เนื้อตัวกลับไม่เปียกปอนเลยแม้แต่น้อย ล่วงรู้ในบัดดลว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นผู้มีฝีมือลึกล้ำพิสดารยากพบพาน จึงรีบเร่งขอความช่วยเหลือ

“ศิลาวิญญาณนับเป็นอะไร ทำหายแล้วก็แล้วไปสิ เราผู้เฒ่าคือเทพแห่งหนองน้ำ ที่นี้ไม่ว่าอะไรล้วนมีพร้อมเสร็จสรรพ กับอีแค่ศิลาวิญญาณจะไปสำคัญอะไร” เทพเซียนเฒ่าไม่ยินดียินร้าย พูดเหมือนเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว

ฉินจิ่วเกอได้แต่ด่าทออยู่ในใจ ตาแก่หัวหงอกนี่ ศิลาวิญญาณข้าร่วงลงถิ่นท่าน รอข้าไปไม่เท่ากับตกเป็นของท่านหรอกหรือ? เป็นอุบายที่ปราดเปรื่องอะไรเช่นนี้

“ไม่รู้ล่ะท่านเทพ หากท่านยังยืนกรานไม่ยอมมอบศิลาวิญญาณคืนมาให้ข้า ข้าจะผูกคอตายกลางหนองน้ำนี่แหละ!” น้ำในบึงทั้งเชี่ยวกรากทั้งมองไม่เห็นก้น ฉินจิ่วเกอที่ตั้งสติได้แล้วย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามเอาชีวิตเข้าแลกง่ายๆ จึงได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือจากเทพเซียนเฒ่าท่านนี้

ฉินจิ่วเกอล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองหญ้า สารรูปของมันยามนี้เรียกได้ว่าน่าเวทนานัก

แต่มันไม่มีทางเลือก เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร วีรบุรุษยังช่วงชิง ยอดฝีมือระดับกลั่นดวงธาตุยังต้องยื้อแย่ง

บนโลกนี้ มีวิธีการฆ่าตัวตายมากมายหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการผูกคอตาย การปาดคอตาย การรัดคอตาย การกินยาพิษตาย หรือการกระโดดลงจากที่สูง มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน

แต่มีวิธีการตายอยู่วิธีหนึ่งที่น่าเวทนาที่สุด กระทั่งเรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนา ซึ่งก็คือยากจนตาย

เทพเซียนเฒ่าเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี พอเห็นฉินจิ่วเกอเกลือกกลิ้งอยู่ในกอหญ้าแล้วก็เกิดความสังเวชจับใจ “ข้าจะยอมช่วยเจ้าหาให้ก็ได้”

ว่าแล้วก็โบกมือ ห้วงความคิดโลดแล่น ไอวิญญาณฟ้าดินในอากาศควบผนึกเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ก่อนจะจมหายไปในน้ำที่ยังคงไหลเชี่ยว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ศิลาวิญญาณสองก้อนก็ลอยขึ้นจากผิวน้ำเข้าสู่อุ้งมือของเทพเซียนเฒ่า

ข้างซ้ายคือศิลาวิญญาณที่หนักราวเจ็ดแปดจิน

ส่วนข้างขวาหนักเพียงสองสามจิน ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ส่วนที่ฉินจิ่วเกอทำตกหายไปในน้ำ

“เลือกเอาเถอะ” เทพเซียนเฒ่าเอ่ยอย่างใจดี ดูเหมือนมันจะไม่ได้โกหก ของที่หล่นหายอยู่ในน้ำทุกปีเรียกได้ว่าอยากได้อะไรก็มีหมด รายได้ของเทพหนองน้ำจึงสูงส่งเทียมฟ้า

ฉินจิ่วเกอหยุดกลิ้งเกลือกทันควัน เทียบกับบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนแล้วหนองน้ำตรงหน้ายังน่ามองยิ่งกว่า

หนองน้ำทองคำ นี่มันหนองน้ำทองคำชัดๆ เพียงควานมือส่งๆ ก็คงได้ศิลาวิญญาณติดไม้ติดมือกลับขึ้นมาด้วย

“ท่านเทพ ศิลาวิญญาณในมือซ้ายนั้นเป็นของข้าเองขอรับ” ฉินจิ่วเกอเอ่ยปากทันควัน ของอย่างนี้ ใครบ้างจะไม่อยากได้?

ผู้ใดคาดฉินจิ่วเกอเพียงเพิ่งกล่าวจบคำ สีหน้าแย้มยิ้มของท่านเทพเซียนพลันแข็งค้าง ฝ่ามือซ้ายโบกสะบัดเบาๆ ศิลาวิญญาณน้ำหนักเจ็ดแปดจินนั้นก็กลับลงสู่กลางแม่น้ำ

“พาร์กินสัน?” คนอดหลุดปากออกไปไม่ได้

“อะไรนะ?” ท่านเทพเซียนแน่นอนว่าฟังไม่เข้าใจความหมาย “เจ้าหนุ่ม เจ้าละโมบนัก”

ฉินจิ่วเกอแค่นหัวร่อสองคำ จากนั้นยกมือตบหน้าผากตนเอง ท่าทางปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง

มือขวาข้างที่ถือศิลาวิญญาณของท่านนั้น มองยังไงก็ชั่งน้ำหนักได้แค่ไม่เกินสามจิน เทียบกับศิลาวิญญาณที่ตนทำตกไปแล้วยังน้อยกว่าอย่างทาบไม่ติด

“เช่นนั้น ชิ้นทางขวามือเล่า?” คำถามหยั่งเชิง แล้วไปเถอะ น้อยกว่าก็น้อยกว่า ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ชายชราเจิดจ้ากระจ่างใต้แสงอาทิตย์โบกสะบัดมืออีกครา ศิลาวิญญาณที่เหลืออีกก้อนนั้นก็พุ่งลงน้ำไป หลงเหลือเพียงระลอกน้ำกระเพื่อมไหว

“ไร้สัตย์ซื่อ บทลงโทษคือ ของที่ร่วงลงน้ำของเจ้าล้วนไม่ได้คืน” เทพเซียนเฒ่าคิดกลับคำก็กลับคำ หันหลังไม่แยแสฉินจิ่วเกออีกต่อไป

“ท่านให้ข้าเลือกเองไม่ใช่เรอะ?” ฉินจิ่วเกอโมโหแล้ว ต้องคำรามออกมา

ตาเฒ่า รังแกคนเกินไปแล้ว มิสู้ฆ่าคนทิ้ง ฝังศพลงก้นแม่น้ำให้แล้วเรื่องไป?

เทพเซียนเฒ่าเหลือกตาขาว มองไม่ออกว่ามีสีหน้าเยี่ยงไร “ข้าให้เจ้าเลือกเจ้าก็เลือกหรือ ดวงอาทิตย์กลางฟ้านั่นก็เป็นของล้ำค่าเหมือนกัน ไฉนเจ้าไม่เกี่ยวลงมาประดับศีรษะด้วยเลยเล่า?”

“หลอกลวง!” คนน้ำตาเอ่อ บุรุษหนุ่มออกปากด้วยความขมขื่น

“ยุทธภพชั่วร้ายอันตรายทุกฝีก้าว เจ้ายังไม่คู่ควรออกท่องยุทธภพ จงกลับเข้าสำนักอย่างว่าง่าย สำหรับศิลาวิญญาณ เราผู้เฒ่าขอรับไว้อย่างเต็มใจก็แล้วกัน”

เซียนเฒ่าพุ่งลงน้ำราวเหยี่ยวโฉบเหยื่อ ยามพุ่งร่างลงยังแนบเนียนปราศจากระลอกกระเพื่อมไหวแม้แต่น้อย กระทั่งบรรดาปลาในหนองน้ำยังเริงร่าราวปราศจากผู้คน

ยอดฝีมือ อา ยอดฝีมือ พลังฝึกปรือของเซียนเฒ่านับว่าบรรลุถึงขั้นสูงส่งเหนือโลก ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใส

แต่หากพูดถึงตัวคน ช่างทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยปากชมจริงๆ

มองดูสะพานไม้ไผ่ มองเลยไปยังเส้นทางลับที่ใช้ย่องดอดออกนอกพรรค แล้วฉินจิ่วเกอก็ถึงกับบางอ้อ นี่มันแผนฉ้อฉลอันแยบยลชัดๆ!

ใครก็ตามที่คิดใช้ทางสายนี้ออกนอกพรรค ยามข้ามสะพาน ของที่พกติดตัวมาจะมีอันต้องพลัดหล่นลงไปอย่างมีเลศนัยไปเสียทุกราย

รอจนคนผู้นั้นบังเกิดความเศร้าโศกาจนหมดอาลัยตายอยาก เทพเซียนเฒ่าก็จะปรากฏตัวขึ้น หยอกล้อกับมันเสียรอบหนึ่ง พฤติการณ์ต่ำช้ายิ่ง

ส่วนของที่ร่วงตกลงไปในน้ำ ก็จะกลายเป็นลาภลอยของสัตว์ประหลาดผีซิว (ปี่เซียะ) อย่างเซียนเฒ่า(สัตว์ประหลาดตามความเชื่อของจีนโบราณ) ไม่แต่กลืนเข้า ไม่มีคายออก

ไม่ยินยอม?

รอจนถึงวันที่ท่านมีพลังพอคลอกบรรพตยึดสมุทรเสียก่อน ค่อยพูดเรื่องความยุติธรรมอันใด

“อาวุโสห้า ท่านมันไม่ใช่คน!” เกิดเสียงตะโกนไล่หลังเทพเซียนเฒ่าที่เพิ่งหายลงน้ำไปได้ไม่นานพร้อมกับเสียงกระทืบเท้าอย่างหัวเสีย มันเพิ่งจะนึกออกถึงฐานะที่แท้จริงของตาเฒ่าต้มตุ๋นนี่

เทพเซียนเฒ่าที่แปลงกายเป็นมัจฉาว่ายลงน้ำไป แท้จริงก็คืออาวุโสห้าพรรคหลิงเซียวผู้เลื่องชื่อ

ต่างจากอาวุโสสองและอาวุโสสี่ อาวุโสห้าเป็นเหมือนมังกรที่มองเห็นแต่หัวแต่มองไม่เห็นหาง แม้ชื่อเสียงจะขจรขจายไปทั่วสำนัก แต่น้อยคนที่จะเคยเห็นมัน

สาเหตุก็เรียบง่าย เพราะมันเป็นคนเสียสติ

ส่วนสาเหตุที่เสียสติ ที่จริงแทบไม่ต่างกับฉินจิ่วเกอคนก่อน ระหว่างฝึกตนพลั้งเผลอชักนำมารในใจจนกำเริบเสิบสาน

มารในใจที่ว่านี้ ราวกับนรกบนดิน ท่องไปในโลกมนุษย์ กระตุ้นให้จิตใจคนบังเกิดเงามืดขึ้น

เทียบกับฉินจิ่วเกอคนก่อนนับว่าเคราะห์ดีกว่ากันนัก ยามที่อาวุโสห้าเกิดธาตุไฟแตก พอดีได้คนช่วยไว้ทันเวลา

เพียงแต่นับแต่นั้น มันก็กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

“ใครว่ามันเป็นคนบ้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นนักต้มตุ๋นเฒ่า!”

หลังได้บทเรียนสอนใจในคราวนี้ ฉินจิ่วเกอก็เข้าใจสัจธรรมอยู่สองข้อ

หนึ่ง คนแกล้งบ้าไม่อาจราวีคนบ้าตัวเป็นๆ สอง หากคนบ้าตัวเป็นๆ ลองได้บ้าขึ้นมาแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจกลายเป็นนักต้มตุ๋นเฒ่าไปในที่สุด

ทุนรอนที่ใช้หนีก็ถูกริบไปหมดแล้ว ฉินจิ่วเกอยามนี้ถังแตกไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงได้แต่ล้มเลิกแผนการหลบหนีออกนอกพรรค จะให้ทำยังไง ในเมื่อชีวิตมีค่าควรเมือง ซ้ำมันเป็นคนมีปณิธานยิ่งใหญ่ หากต้องตายทั้งทีมันไม่ขออดตายเป็นอันขาด

เดินกลับมาถึงประตูของสำนักฝ่ายใน ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉินจิ่วเกอต้องทนทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจเริ่มบังเกิดความคิดตอบโต้สังคมไร้คุณธรรมน้ำใจนี้ขึ้นมา

ในเมื่อทำดีไม่ขึ้น มิสู้ทำชั่วไปเลยจะดีกว่า!

ด้วยเหตุนี้ ฉินจิ่วเกอจึงแอบย่องเข้าห้องครัว ยื่นฝ่ามืออันชั่วร้ายออกไป ยามชักกลับได้มีดติดมือกลับมาเล่มหนึ่ง ขณะเก็บมีดที่ทอประกายคมปลาบไว้ในพกเสื้อ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มชั่วช้า เดินมาถึงที่พำนักของศิษย์น้องสี่หนิวว่านซาน เรียกอีกอย่างคือเจ้าอ้วนน่าตายนั่นเอง

วันนี้ตะวันลาลับไร้แสงสว่าง หุบเขางามแมกไม้สวย

เจ้าอ้วนน่าตายเพิ่งทานมื้อค่ำเสร็จ จึงใช้โอกาสนี้พักผ่อนเอาแรง นั่งรับลมเย็นฉ่ำอยู่หน้าประตูห้องอย่างเกียจคร้าน

เพราะได้รับความชุ่มชื้นจากกระแสลมเย็นฉ่ำ ทำให้ร่างของเจ้าอ้วนน่าตายบวมน้ำ ร่างกายเบียดติดกับประตูจนดูคับแคบไปหมด จวบกระทั่งเห็นฉินจิ่วเกอเดินดุ่มๆ มาแต่ไกลนั่นแหละ

อนิจจา เป็นเพราะมันอวบอ้วนจนเกินไป เจ้าอ้วนน่าตายจึงไม่อาจปิดประตูลงกลอนได้ทันเวลา จนถูกฉินจิ่วเกอจับได้คาหนังคาเขา

“ทะ ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าจริงๆ ด้วย” เจ้าอ้วนน่าตายปากสั่นคอสั่น แม้แต่ขาก็ยังสั่น หากก็พยายามรักษาภาพลักษณ์ดั่งทหารหาญผู้องอาจ แอ่นอกยืดหลังตรงแหน่วดุจพู่กัน

ขณะแอ่นอก พุงของมันก็แอ่นตามไปด้วย ชนเข้ากับฉินจิ่วเกอที่พุ่งตะบึงเข้ามาดุจวัวคลั่งจนอีกฝ่ายต้องซวนเซถดถอยไปสามก้าว

“ทหารฆ่าได้ไม่อาจหยาม!” เจ้าอ้วนโพล่งขึ้นกลางปล้อง

“งั้นก็ตายเสีย” สำหรับฉินจิ่วเกอที่หมดสิ้นแล้วทุกความหวัง ยามมามีดขาว ยามจากมีดอาบเลือด ล้วนไม่ต่างกัน

เห็นสายตาอันเด็ดเดี่ยว เห็นเส้นเลือดบนแขนที่ปูดโปน สภาพดูไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บของฉินจิ่วเกอ เจ้าอ้วนน่าตายก็หวาดกลัวจนหัวโกร๋น “ขะ ข้า ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ท่านจะหยามข้าอย่างไรก็เชิญเลย ข้ากลัวตาย”

พูดจบเจ้าอ้วนน่าตายก็รวบมือไว้ตรงหน้าท้องอย่างสำรวม อากัปกิริยาเหมือนหนึ่งในสี่ยอดพธูซีชือผู้งดงามหากมาในสภาพเจ้าเนื้อ ซ้ำยังส่งสายตาหวาดหยามเยิ้มมาให้ ยามยิ้มชั้นไขมันบริเวณหางตาสามารถขยี้แมลงวันหัวเขียวให้แหลกเหลวได้

ฉินจิ่วเกอถือมีดหันเข้าหาเจ้าอ้วน ขบฟันแน่นด้วยความรังเกียจ “ตอนแรกข้าคิดแค่จะให้มีดเล่มนี้ได้ลิ้มรสชาติโลหิตบ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะใช้มีดขาวสะอาดเล่มนี้แทงใส่ชายโครง ให้มันอาบน้ำดีเจ้าจนเปลี่ยนเป็นสีเขียว!”

เจ้าอ้วนฟังแล้วถึงกับหน้าเขียว รีบร้องวิงวอนขอชีวิต “ศิษย์พี่ใหญ่ เราต่างเป็นสหายร่วมสถาบัน ทุกวันคนที่ด่าท่านลับหลังหาได้มีแต่ข้าคนเดียว หากท่านต้องการคิดบัญชี ท่านจะมาเอาผิดกับข้าคนเดียวไม่ได้”

นี่บอกว่าเจ้าอ้วนน่าตายไม่ใช่พวกที่เห็นความตายแล้วไม่สะทกสะท้าน ทันทีที่เห็นภัยมาเยือนถึงหน้าประตูก็รีบสารภาพจนหมดเปลือก ซ้ำยังลากเอาผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมรับกรรมไปกับตนด้วย

โลกของเจ้าอ้วนแท้จริงแล้วเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน เรียบง่ายถึงขั้นว่า หากตนไม่รอด ผู้อื่นก็อย่าได้คิดรอด เสมอภาคกันทุกฝ่าย

“ยังมีใครอีก รีบบอกข้ามาให้หมด” ในเมื่อคิดจะฆ่า จะหนึ่งจะสองล้วนไม่แตกต่าง ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม

ก่อนหน้าที่ตนจะไปจากโลกอันแสนอัปลักษณ์นี้ มันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะก่อกวนเรื่องราวให้ใหญ่โต ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี

“มีมากทีเดียว” เจ้าอ้วนจารนัยม้วนบัญชีเลือดของสำนักออกมา “มีทั้งศิษย์ฝ่ายนอกเกิ่งเฟิง เจียงฉาง และพวกเหยียนหย่งชางอีกกว่าเจ็ดแปดสิบคน ยังมีท่านลุงจางที่เป็นคนส่งผัก ตาแก่หลิวคนเฝ้าประตู ท่านป้าซุนร้านของชำร่วย รวมถึงสุกรแม่พันธุ์ที่บ้านสกุลฉีเลี้ยงเอาไว้นอกพรรคนั่นด้วย”

“ช้าก่อน” ฉินจิ่วเกอรีบห้ามเจ้าอ้วนที่พูดจนน้ำลายแตกฟองไว้ มีดในมือยกพาดคออีกฝ่ายเค้นเสียงถาม “ไฉนถึงมีสุกรแม่พันธุ์เข้ามาเอี่ยวด้วย เจ้ากะจะให้ข้าสิ้นชื่อเลยหรือ? คงมิใช่เจ้าไปก่อเรื่องเลวร้ายเอาไว้ จากนั้นก็สวมรอยใช้ชื่อข้ากระมัง?”

ตนตัดสินใจแล้ว ก่อนอื่นคิดบัญชีจากเจ้าก้อนอุจจาระนี่ก่อนเลยแล้วกัน ให้มันได้รู้ว่าคนจริงที่แท้เป็นเยี่ยงไร

“ศิษญ์พี่ใหญ่ท่านไฉนหลงลืมแล้ว” เจ้าอ้วนน่าตายเอ่ยด้วยท่าทางน่าสังเวช “ไม่กี่เดือนก่อนท่านเดินผ่านบ้านท่านป้าฉี พอดีมองเห็นแม่พันธุ์สุกรบ้านนางอวบอัดสมบูรณ์ ออกปากต่อรองขอซื้อมาเพื่อย่างกิน ยามนี้แม่พันธุ์สุกรบ้านนั้นมองเห็นท่านแต่ไกลเมื่อไร ต้องอาละวาดคอกแทบแตกเพื่อออกมาเสี่ยงชีวิตกับท่าน”

ฉินจิ่วเกอขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เพราะเหตุใดเจ้าอ้วนน่าตายเมื่อเอ่ยถึงแม่พันธุ์สุกรนั้น กลับใช้คำว่าอวบอัดสมบูรณ์อธิบายออกมา

“แม่พันธุ์สุกรนั้นเรียกว่าอะไร?” ฉินจิ่วเกอจ้องมองเจ้าอ้วนอย่างประสงค์ร้าย

เจ้าอ้วนน่าตายนิ่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยเอ่ยออกมาอย่างรักใคร่ “ฮวาฮวา (บุปผา)”

“แค่กแค่ก” นอกจากเจ้าฮวาฮวาตัวนั้น บรรดาคู่แค้นทั้งหลายที่เจ้าอ้วนน่าตายสาธยายออกมา ฉินจิ่วเกอล้วนปลงตก เกรงว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่าร้อยคน

คนมากมายปานนั้น หากต้องตามเชือดหมดสิ้น ทั่วทั้งพรรคหลิงเซียวคงต้องอาบเลือดชโลมเป็นท้องธารอย่างไม่ต้องสงสัย

ดูท่าตนเองในสายตาของคนในพรรค เป็นตัวกบฏชั่วช้าพาคนชังที่แท้ ไม่อาจใช้กำลังเข้าสะสางได้

ดังนั้น ฉินจิ่วเกอจึงวางมีดลง เรื่องราวไม่อาจคลี่คลายด้วยการเข่นฆ่า ในใจมองทะลุซึ้ง สามชาติที่ผ่านมาส่งผลให้ฉินจิ่วเกอเข้าใจ ที่เรียกว่าเมตตาต่อมวลมนุษย์ มิเพียงแต่ต้องแผ่พระคุณยิบตา ตบหัวแล้วลูบหลังเองก็เป็นหนึ่งในวิธีการ

คนดีถูกรังแก ม้าดีถูกคนขี่

หากคิดเชื่อมสัมพันธ์ที่แตกหักของผู้คน และสร้างเกียรติภูมิของศิษย์พี่ใหญ่ มีเพียงต้องใช้พระคุณท่วมท้นฟ้าพร่างพรมราวพายุฝนฟ้าคะนองสาดใส่แล้ว

ในความมืดมน ฉินจิ่วเกอพบหนทางสว่าง ในที่สุดก็เริ่มมีพัฒนาการจนได้

ฉินจิ่วเกอก้าวเดินด้วยท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวล ตบท้องอวบบวมของเจ้าอ้วนไปทีหนึ่ง “ข้าตัดสินใจแล้ว เรื่องราวสมควรคลี่คลายด้วยสันติวิธี ไม่อาจใช้แต่กำลังได้”

“ประเสริฐยิ่ง!” คางสองชั้นของเจ้าอ้วนกระเพื่อม เห็นพ้องกับวาจานี้ของฉินจิ่วเกอด้วยความกระตือรือร้น

“ฟังจากที่เจ้าว่า ข้าคือตัวน่ารังเกียจของผู้คน เรื่องของเรื่องคือก่อนหน้าฮุบเอาศิลาวิญญาณของผู้อื่นมา ตอนนี้ข้าตัดสินใจกลับเนื้อกลับตัว ก่อนหน้าฉกฉวยเอาของพวกมันไปเท่าใด จะหามาคืนพวกมันให้หมดสิ้น ทั้งยังจะสมทบให้เป็นเท่าทวีคูณ”

นี่ก็คืออำนาจเงินตรา ขอเพียงมิใช่มีความแค้นไม่อาจร่วมฟ้า ล้วนสามารถใช้เงินตราแก้ไขได้