“พี่เพ่ยหลิน ฉันคิดว่าเธอดูโง่ไปหน่อย พวกเรากดดันเธอมากเกินไปหรือเปล่า? ” เฉินจื่อโร่วเดินไปบอกสือเพ่ยหลิน “ หรือไม่ก็ให้เวลาหล่อนได้คิดทบทวนสักหน่อย แล้วเราค่อยพูดเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนี้ทุกคนต่างก็เจ็บปวด ไม่อยากให้เรื่องไปถึงทนายความ… ”
“ตกลง เอาตามที่คุณว่า” สือเพ่ยหลินพยักหน้าและเดินไปแก้เชือกของหลานเสี่ยวถาง เมื่อเขาเผชิญหน้ากับหล่อน เขาก็แสดงสีหน้าเฉยชาทันที “ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปซะ คืนนี้โร่วโร่ว จะค้างที่นี่พวกเราไม่อยากเห็นหน้าคุณ!”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าเชือกหลุดออกจากร่างกายของเธอ แล้วเธอก็ร่วงลงไปนอนกับพื้นทันที ภาพที่เธอเห็นในตอนนี้ มีรูปคนสองคนกอดกันต่อหน้าเขา
เพียงอย่างเดียวที่เธอรู้สึกในตอนนี้คือหัวใจของเธอค่อยๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ เธอแทบจะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ไม่อยู่
“มัวทำอะไร!” สือเพ่ยหลินไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขารู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางนิ่งเฉย
เขาเตะไปที่ร่างกายของเธอ ” ออกไป ! ”
แม้ว่าสือเพ่ยหลานจะไม่ได้ออกแรง แต่ว่าในขณะนั้นหลานเสี่ยวถางรู้สึกเหมือนร่างกายของเขากลายเป็นตุ๊กตาเศษผ้าและถูกเตะเป็นชิ้น ๆ
เธอพยายามพยุงตัวขึ้นอย่างยากลำบาก ดึงเสื้อบนไหล่ของเธอลงอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินจากไป
เมื่อเห็นร่างของหลานเสี่ยวถางหายลับไปจากสายตา มันยิ่งทำให้หัวใจของสือเพ่ยหลินลุกเป็นไฟอย่างควบคุมไม่ได้ ทันใดนั้นเขาเตะไปที่พื้นและเดินไปนั่งที่ปลายเตียง
“เฮือก ” น้ำเสียงนี้บ่งบอกว่าเขาหงุดหงิดใจมากแค่ไหน
เฉินจื่อโร่วกอดเอวของเขาและพูดด้วยความเจ็บปวด ” พี่เพ่ยหลิน ทำไมคุณต้องเตะไปที่พื้นแรงขนาดนี้ด้วย บาดเจ็บขึ้นมาจะทำไง ? ”
“ไม่เป็นไร ” เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา ไฟในใจของเขาก็ค่อยๆ ดับลง ในที่สุดก็กลับมาสงบในที่สุด
ในเวลานี้ หลานเสี่ยวถางเดินไปที่ชั้นล่างพร้อมอาการมึน เธอเปิดประตู จู่ๆ ก็มีร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ ทำให้เธอชนเข้ากับเขาคนนั้นอย่างจัง
เธอไม่ได้มองชายคนนั้น แต่กลับมุ่งหน้าเดินตรงไปข้างหน้าเหมือนตุ๊กตาหุ่นเชือกที่กำลังถูกควบคุมยังไงอย่างงั้น
ชายคนนั้นหันกลับมามองหลานเสี่ยวถางที่กำลังเดินไปที่สนามหญ้า เขาเหล่ตามองเธอด้วยความสงสัย ในแววตามีความทะเล้นเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กดกริ่งคฤหาสน์หลังนี้
ในคฤหาสน์ สือเพ่ยหลินได้ยินเสียงกริ่ง เขาคิดว่าหลานเสี่ยวถางกลับมา ดังนั้นเขาจึงทำเฉยและไม่สนใจ
แต่แล้ว เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ยังไม่หยุดดัง เขาจึงต้องลงไปชั้นล่างพร้อมกับเฉินจื่อโร่วในอ้อมแขนและเปิดประตู
เมื่อเขาเห็นชายคนนั้นที่หน้าประตู สือเพ่ยหลินตกใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “คุณอา ?”
เมื่อชายคนนั้นเห็นหญิงสาวคนที่กำลังโอบแขนของเพ่ยหลินมีเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย มุมปากของเขาก็ยกขึ้น “ดูเหมือนฉันจะมารบกวนพวกเธอนะ?”
“ไม่ครับ ไม่ครับ คุณอา เชิญเข้ามาก่อน !” สือเพ่ยหลินพูดพลางเปิดประตู
เมื่อชายคนนั้นเดินเข้ามา เขามองดูเฉินจื่อโร่ว อย่างไม่ตั้งใจ นัยน์ตาเหมือนอยากจะดุเธอยังไงอย่างงั้น
เมื่อเฉินจื่อโร่วหันมามอง ก็เห็นการแสดงออกของเขาในตอนนี้ เธอตกใจและสัมผัสได้ถึงความประหลาดนี้โดยสัญชาตญาณของเธอ
เธอเคยได้ยินสือเพ่ยหลินพูดถึงสองครั้ง โดยบอกว่าเขายังมีอา อยู่หนึ่งคน ชื่อสือมูเฉิน ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องของปู่เขา และเขาเป็นลูกหลง
อย่างไรก็ตาม อาหนุ่มคนนี้มักจะอยู่นอกเมืองเสมอ และเป็นการยากที่จะกลับมาหนิงเฉิง
เฉินจื่อโรวคิดว่าอาเขาอายุมากแล้ว คงจะแก่เหมือนพวกลุงวัยกลางคนแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้
เขาสวมเสื้อเชิ้ตลำลองและกางเกงยีนสีขาว แต่เมื่อเขาขยับตัวหรือยืนนิ่ง มันทำให้เขาน่าดึงดูดและมีเสน่ห์มากไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ที่ใด
ลักษณะใบหน้าของเขาแตกต่างจากสือเพ่ยหลิน ผิวของสือเพ่ยหลินนั้นขาวและดูบอบบางมาก
ผิวของเขาดูคล้ำเล็กน้อย แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาดูแข็งแกร่งโครงหน้ามีมิติ เวลายิ้มกับรอยยิ้มมีความเกียจคร้านที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คนไม่สามารถขยับสายตาได้ ในขณะที่
เมื่อสือเพ่ยหลินเห็นว่าเธอมองอาเขาด้วยสายตาเช่นนี้ เขาหึงขึ้นมาทันที เขาโอบแขนของเฉินจื่อโร่วและเผลอออกแรงเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสือมูเฉินจะไม่ทันสังเกตเห็นอะไร เขาเดินตรงไปที่โซฟานั่งลงเพื่อผ่อนคลายและไขว้ขาของเขาอย่างเมื่อยล้า เขาจ้องไปที่สือเพ่ยหลินด้วยสายตาที่ดุ ” เพ่ยหลิน เมื่อกี้ตอนฉันเข้ามา เหมือนฉันจะเห็นหลานสะใภ้?”
สือเพ่ยหลิน รู้สึกในใจเขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง และความขยะแขยงก็ผุดขึ้นในดวงตาเขา ” ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว !”
“อะไรนะ ?” เสียงสิ้นสุดของสือมูเฉิน เขายิ้มเล็กน้อย “ แบบนี้ก็ดี ”