ป่าในช่วงกลางฤดูร้อนมีเสียงจักจั่นร้องดังมาเป็นระยะ หากมีคนอยู่ก็อาจมองเห็นภาพ ‘ลมพัดหอบแรงมาระลอกหนึ่ง ลูกหมาป่าสองตัวแบกห่อผ้าและของกินที่ผูกติดอยู่บนหลังของตนเองวิ่งไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางลมพัด เบื้องหน้าพวกมันมีชายชุดดำวิ่งทะยานรวดเร็วอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใดในป่าทึบผืนนี้ ในอ้อมกอดเขายังมีสตรีสวมเสื้อผ้าประหลาดผมเปียยาวแกว่งไปมา’
“นายจะพักสักหน่อยไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองหน้าผากหลินซือเย่าชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อก็ถามขึ้นเบาๆ
หลินซือเย่าได้ยินก็มองนางแวบหนึ่ง แต่กลับไม่มีท่าทีจะหยุดพักแม้แต่น้อย
ซูสุ่ยเลี่ยนกัดริมฝีปาก ไม่รู้ควรพูดอะไรดี ในสายตาเขา ตนไม่รู้วรยุทธ์ แม้แต่เดินก็ยังช้ากว่าคนอื่นหลายเท่า เป็นภาระไหมนะ
หลินซือเย่าเห็นแล้วก็แอบถอนใจ ก่อนจะเลือกหาพื้นที่ว่าง ค่อยๆ วางนางลงบนก้อนหินข้างต้นไม้ใหญ่ “ข้าไปหาน้ำ” เขาหันกายกระโดดหายลับไปจากสายตาของซูสุ่ยเลี่ยน
เขา? นี่โกรธหรือ ซูสุ่ยเลี่ยนนวดแขนที่รู้สึกปวดเมื่อยอยู่บ้าง คำพูดหลินซือเย่าเห็นชัดๆ ว่าแข็งกระด้าง แต่ว่านางเองก็ไม่ได้เพราะกลัวเขาลำบากหรืออย่างไร แม้นางจะไม่หนักมาก แต่อย่างไรก็เป็น…เอิ่ม…สตรีอายุราวสิบห้านะ อุ้มนางวิ่งโจนทะยานด้วยกำลังภายในมาชั่วยามกว่า หรือว่าไม่เหนื่อยกัน?
ซูสุ่ยเลี่ยนก้มลงมองสองขาที่เหน็บชาเล็กน้อยของนางพลางคิดไปเรื่อย
ทันใดนั้น นางก็คิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ พริบตาก็อึ้งนิ่งค้างไปทันที ยกสองมือขึ้นมอง
สวรรค์! ร่างนี้อายุเท่าไรกันแน่ ตนเองอาศัยกระจกทองแดงและดูจากส่วนสูง เดาคร่าวๆ ว่าน่าจะอายุราวสิบห้า แต่ว่า…แต่ว่าทำไมจะสามเดือนแล้ว ยังไม่มีประจำเดือนมา
ซูสุ่ยเลี่ยนอุดปากแน่นอย่างตกใจ นี่มัน…คงไม่ใช่ว่าเป็นร่างกายเด็กที่ไม่ถึงสิบห้ากระมัง นางไหล่ลู่ลงอย่างหมดแรง ซุกหน้าลงกับสองเข่าของตนเอง
หลินซือเย่าประคองใบไม้สดใหม่ที่ใส่น้ำสะอาดกลับมา พอเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้ว กำลังคิดจะเรียกนาง ก็เห็นลูกหมาป่าสองตัววิ่งเหนื่อยหอบเข้าไปหานาง
“เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงหอนโบร๋วของลูกหมาป่าสองตัว ก็รู้ว่าพวกมันมาถึงแล้ว พอเงยหน้าขึ้น ก็พยายามกลบความเศร้าในใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางดังเดิม ลูบขนพวกมันอย่างเอ็นดู กำลังคิดจะชมพวกมันสักหน่อย ก็กวาดตามองไปเห็นหลินซือเย่ากำลังยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรมองตนอยู่
ใต้เงาไม้ ชายชาตรีองอาจรูปงามกำลังยืนนิ่งเงียบ ราวกับรู้สึกได้ถึงความร้อนชื้นรอบกายเขาเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเย็นสบาย
“เจ้ากลับมาแล้ว?” ซูสุ่ยเลี่ยนถามเบาๆ พลางยิ้มละไม
หลินซือเย่าพยักหน้า ส่งน้ำในมือให้นาง วิ่งเหินทะยานมาตลอดทาง ถึงกับไม่มีน้ำเลอะขอบใบไม้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหกออกจากใบไม้
“ขอบคุณ” ซูสุ่ยเลี่ยนรับใบไม้มาจิบไปคำหนึ่ง กำลังคิดถามว่าเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยหิวไหม ก็เห็นลูกหมาป่าสองตัวสบสายตาเย็นเยียบของหลินซือเย่าที่ส่งมา พวกมันก็รู้งาน รีบพากันวิ่งไปที่ลำธารที่ไกลออกไปหลายลี้
ซูสุ่ยเลี่ยนมองหลินซือเย่าอย่างสงสัย “วันนี้พวกมันเป็นอะไรไป เหมือนอยู่ๆ ก็รู้ความขึ้นมามาก”
หลินซือเย่าคิ้วกระตุก ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ชมว่าสองเดรัจฉานรู้ความ มีเพียงสตรีนางนี้เท่านั้นที่จะกล่าวออกมาได้กระมัง จากนั้นก็เขานั่งขัดสมาธิข้างต้นไม้เคลื่อนกำลังภายในพักผ่อน
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหลินซือเย่าหลับตาพัก ก็ไม่คิดรบกวนเขา มองสภาพรอบๆ อย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงสวบสาบของใบไม้แห้งและเสียงจักจั่นร้องไม่หยุด ยังมีเสียงนกเล็กๆ อย่างพวกนกกระจอก นกกระจิบแทรกมาบ้าง รู้สึกไพเราะเสนาะหูดังเสียงเพลง ขณะพิงต้นไม้ก็ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงฝัน
ในความฝันเหมือนนางได้กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลซู นั่งอยู่ในเรือนเล็กงดงามของตน กำลังถือหนังสือนั่งอ่านอยู่กลางแสงแดดอ่อนๆ บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะของสองสาวใช้ประจำข้างกายตน
ทันใดนั้นภาพก็เปลี่ยนไป นางมายังห้องพักนายท่านใหญ่ ประคองผ้าปักซูซิ่วที่ลงแรงไปไม่น้อยอย่างระมัดระวัง ‘ภาพริมฝั่งแม่น้ำในฤดูกาลชิงหมิง’ รออยู่นานก็ไม่เห็นนายท่านใหญ่กับพี่ใหญ่ รอจนแม่รองและสุ่ยเยี่ยนมา พวกนางไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตรงเข้ามาแย่งผ้าปักซูซิ่วที่แม้แต่นางเองปกติยังไม่อาจตัดใจสัมผัสได้ ก่อนจะผลักนางล้มลงอย่างแรง
ทันใดนั้นนางก็เหมือนกับได้ยินแม่รองเสียงดังขึ้นว่า ‘ซูสุ่ยเลี่ยน ช่างมือหนึ่งตระกูลผ้าปักซูซิ่วไม่ใช่สิ่งที่เธอจะครองไว้คนเดียวได้’ ฉันเปล่านะ! ซูสุ่ยเลี่ยนตะโกนดังขึ้นในใจ ร่างกายอยากขยับแต่ไร้เรี่ยวแรง ภาพเบื้องหน้าที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ค่อยๆ เลือนราง จน…
ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วแน่น รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย อิงแอบเข้าซุกไออุ่นข้างกายอย่างไม่รู้ตัว พลางกอดแน่น
หลินซือเย่ามองสตรีตัวน้อยในอ้อมกอดอย่างเสียไม่ได้ กำหนดพลังให้นิ่งดีก่อนจะทะยานกระโดดไปอย่างไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย
สองลูกหมาป่าแบกของกันต่อไป วิ่งทะยานรวดเร็วตามหลังชายผู้นั้นไปอย่างตื่นเต้น หลังจากพักหายใจครู่หนึ่ง พวกมันก็เร่งตามไปติดๆ อย่างสุดชีวิต ไม่ยอมห่างจากชายผู้นั้นไกลนัก ไม่อย่างนั้นไม่แน่เจ้านายอาจจะถูกเขาพาหายไปก็ได้
ซูสุ่ยเลี่ยนตื่นจากความฝัน พบว่าตนเองถูกหลินซือเย่ากอดไว้ในอ้อมกอดโจนทะยานอยู่ในป่า
“โอ๊ะ!” นางอายจนต้องซุกหน้าลง ก่อนจะพบว่าทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ระยะห่างของทั้งสองยิ่งชิดใกล้
เห็นสองมือตนเองกอดคอเขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติก็รู้สึกเขิน คิดแอบหรี่ตาลอบมองหลินซือเย่า เห็นเขาเหมือนไม่ได้รับรู้ว่านางขัดเขินก็แอบเบาใจลง ก่อนจะค่อยๆ คลายสองมือออก นางจะได้ไม่แนบชิดแผ่นอกเขามากนัก
มองสภาพรอบๆ เห็นชัดว่าเป็นพื้นที่ที่นางเองไม่เคยผ่านมา พอเงยหน้ามองไปยังแสงอาทิตย์แรงกล้าบนยอดไม้ที่สาดไปรอบทิศ ดูท่านางคงหลับไปนานจริงๆ
แอบหลุบตาลงอย่างเขินอาย พยายามไม่ให้ใบหูแดง
หลินซือเย่าหลุบตาลงมองซูสุ่ยเลี่ยนหลุบตาเขินอายในอ้อมกอดตน ในใจก็เหมือนมีความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้สึกแค่ในใจเหมือนมีอะไรเติมเต็มอย่างไรอย่างน่าประหลาด
“พักสักครู่ อีกครึ่งชั่วยามก็ออกจากป่าแล้ว ข้าไปก่อไฟ” หลินซือเย่าอารมณ์ดีอย่างไม่ค่อยพบเห็นนัก ยังเอ่ยสิ่งที่ไม่เคยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง พอสบกับสายตาตกใจซูสุ่ยเลี่ยน ก็รีบหันหลังเดินไปทางแหล่งน้ำอย่างเก้กัง
ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจจริงๆ แต่ว่าหลินซือเย่าอย่างนี้ทำให้รู้สึกเข้าใกล้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือ
เห็นลูกหมาป่าวิ่งมาข้างกายนางอย่างรวดเร็ว หอบแฮ่กๆ นางก็ลูบหัวพวกมันอย่างเบามือ ปลดตะกร้าผลไม้และแหเถาวัลย์บนหลังพวกมันลง โยนผลไม้ที่มีน้ำให้พวกมันกินเล่น
ไม่นานหลินซือเย่าก็ใช้ใบไม้สดใบใหญ่ตักน้ำสะอาดกลับมาเหมือนเคย ลูกหมาป่าสองตัวเห็นสายตาที่เขากวาดมองมาก็รู้งานรีบถอยออกไปสองก้าว ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วตามรอยเท้าเขาเพื่อไปดื่มน้ำดับกระหายที่แหล่งน้ำ
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งมองหลินซือเย่า ถามอย่างไม่เข้าใจ “พวกมันฉลาดจริงๆ นะ สายตาเจ้ามองทีเดียวก็รู้ว่าควรทำอะไร เมื่อก่อนไม่เห็นรู้เลย”
หลินซือเย่าลงนั่งขัดสมาธิอย่างไม่รู้จะตอบนางอย่างไรดี ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน วาจานางทำไมฟังแล้วเหมือนว่าตนเองฝึกสัตว์เดรัจฉานเป็น
“ใช่แล้ว ออกจากป่านี้ได้เจ้าจะทำอะไรต่อ” ซูสุ่ยเลี่ยนดื่มน้ำจากใบไม้คำหนึ่ง ก็เม้มปากคิดการดำรงชีวิตต่อจากนี้ อดถามขึ้นมาไม่ได้
หลินซือเย่าสะอึกเล็กน้อย สีหน้ายังคงเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่ไม่เปลี่ยนแปลง นางกำลังขับไล่เขาหรือ ก็จริง ออกจากป่า นางก็ควรกลับบ้าน เขาตัวคนเดียวโดดเดี่ยว จะไปไหนก็คงไม่แตกต่าง
“ข้าไม่รู้ว่าด้านนอกราคาสิ่งของจะเป็นอย่างไร เจ้าว่าซื้อบ้านหลังเล็กหน่อยน่าจะราคาเท่าไร” ซูสุ่ยเลี่ยนเกาคางพูดต่อเบาๆ ราวกับถามหลินซือเย่าข้างๆ แต่ก็เหมือนกับพูดกับตัวเอง คิดถึงก้อนเหรียญเงินห้าเหรียญในห่อผ้า ไม่รู้ว่าเพียงพอกับสิ่งที่ต้องการเพื่อการดำรงชีพพื้นฐานของนางหรือไม่
หลินซือเย่าได้ยินก็ลืมตาที่มีประกายเย็นเยียบอย่างแก้ไม่หายขึ้นทันที เพียงแต่ตอนนี้แววตามีความสงสัยขึ้นมากระแสหนึ่ง
“ไม่กลับบ้าน?” เขาเอ่ยเบาๆ มองท่าทางการนั่งวางมือวางไม้ของนางที่เหมือนกับคุณหนูตระกูลผู้ดี ทำไม เป็นเด็กกำพร้าไร้บ้านหมือนตนเองหรือ
“บ้าน? บ้านฉัน เดาว่ากลับไม่ได้แล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ก้มหน้านิ่งเงียบ สองมือขยำกระโปรงบนหัวเข่าแน่น ดวงตาเลื่อนลอยอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อ
หลินซือเย่าหันไปมองนาง กลับไม่ได้? หมายความว่าอย่างไร แต่ไรมาเขาเป็นคนที่ปฏิบัติภารกิจอย่างไม่เคยนึกสงสัยภารกิจเลยแม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้จึงไม่คิดถามนางต่อ ถูนิ้วมือไปมาก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “บ้านในเมืองห้าสิบตำลึงขึ้นไป บ้านชานเมืองรวมที่นาก็น่าจะราวสิบห้าตำลึง”
ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาอย่างตกตะลึง เขา กำลังบอกให้นางฟัง?
ห้าสิบตำลึง…สิบห้าตำลึง…
เงินในห่อผ้าคิดว่าน่าจะไร้วาสนากับบ้านในเมืองแล้ว เอาละ อย่างนั้นไปนอกเมืองหาดูว่ามีบ้านที่เหมาะตนเองไหมแล้วกัน มีที่นา มีบ้าน โอ ตนเองถึงกับกลายเป็นแม่สาวชาวนาที่นี่หรือนี่ ซูสุ่ยเลี่ยนหลุดหัวเราะออกมา
หลินซือเย่าจ้องมองใบหน้านางครู่หนึ่งก็รีบหันหน้าไปมองพระอาทิตย์ตกดินลับหลังเขาแทนทันที ลุกขึ้นกล่าวว่า “ไปเถอะ”
“แต่ว่าเสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย…” ยังไม่กลับมานะ ซูสุ่ยเลี่ยนกลืนวาจาอีกครึ่งลงไป เพราะนางเห็นเจ้าสองตัวนั่นวิ่งกลับออกมาแล้ว นั่งรอหลินซือเย่ามัดตะกร้ากับแหเถาวัลย์ขึ้นหลังพวกมัน
นี่มันอะไรกัน หมาป่ารู้ความเช่นนี้หรือ ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าไร้ความรู้สึกของหลินซือเย่า ก่อนจะก้มหน้าลงมองลูกหมาป่ากระดิกหาง ไร้วาจาจะกล่าวต่อ
นางไม่รู้เลยว่า เพราะหลินซือเย่าแผ่กระแสพลังภายใน ทำเอาลูกหมาป่าสองตัวตกใจจนไม่กล้าไม่ทำตามคำสั่งเขา ทำอะไรได้ ตอนนี้พวกมันยังเล็ก สู้เขาไม่ได้ ได้แต่ฟังคำสั่ง แน่นอนรอให้โตกว่านี้หน่อย ก็ย่อมดูว่าใครร้ายกาจกว่ากันแล้ว
เดาว่าหนึ่งชั่วยามได้แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนมองเห็นพื้นที่สุดป่าว่างโล่งกว้างใหญ่ตรงหน้า ดีใจกอดคอหลินซือเย่าแน่นอย่างไม่รู้ตัว ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่านางอยู่ในป่านี้มาถึงสามเดือนเต็ม นอกจากต้นไม้ก็มีแต่ต้นไม้ นอกจากลำธารก็มีแต่ลำธาร
ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เห็นความงามที่แตกต่างออกไป แม้ว่ามองออกไปตอนนี้จะเห็นแค่ที่นาสุดลูกหูลูกตากับแสงวิบๆ ผสมปนเป เดาว่าเป็นสระน้ำ ไกลออกไปอีกหน่อย โอ หมู่บ้าน หมู่บ้านที่มีควันไฟทำอาหารลอยโขมง! ซูสุ่ยเลี่ยนดีใจอย่างที่สุด ในที่สุดก็ออกจากป่าแล้ว