บทที่ 26 ยามเย็นของคนผู้หนึ่ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 26 ยามเย็นของคนผู้หนึ่ง

เขตตะวันออกทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

ฤดูกาลย่างเข้าสู่ฤดูร้อน ปริมาณน้ำฝนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น สภาพอากาศจึงเริ่มปรากฏคลื่นความร้อนอบอ้าว

“เดือนห้าแล้ว” ตอนตะวันโด่งวันนี้ เมื่อจบคาบการเรียน สวี่ชิงที่ออกมาจากกระโจมปรมาจารย์ไป่ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม มองไปยังดวงตะวันเจิดจ้า งึมงำเสียงเบา

เขามาที่ฐานที่มั่นได้สองเดือนแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ย้อนคิดไปถึงประสบการณ์ที่ตนเองเคยอยู่ในเมืองฝนเลือดเมื่อสองเดือนก่อน แม้ว่าจะผ่านไปนานแล้ว แต่ในใจสวี่ชิง ก็เหมือนยังคงเห็นอยู่เต็มสองตา

แต่เทียบกับตอนที่ใช้ชีวิตในถ้ำยาจกเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตัวเขามีการเปลี่ยนแปลงไปมากโข

ไม่ว่าจะการยกระดับของพลังฝึกบำเพ็ญ หรือว่าความรู้ด้านยาสมุนไพร ล้วนทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองเติบโตอย่างต่อเนื่อง

และช่วงนี้เขาที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ของหัวหน้าเหลย เนื้อก็กินเข้าไปมาก ดังนั้นร่างกายจากผอมเล็กจึงเปลี่ยนมาดูกระชับขึ้นบ้างแล้ว

และการฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทร ก็ทำให้เลือดลมหยางของเขาเพิ่มพูนมหาศาล กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกทั่วร่างตามสัญชาตญาณ ทำให้รู้สึกเฉียบคมมากขึ้น

บางทีน่าจะเพราะการเลียนแบบกระบวนท่าดาบนั้นในศาลเจ้าเป็นสาเหตุ สองตาของสวี่ชิงจึงเปล่งประกายมากกว่าคนอื่น และยิ่งเลียนแบบ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะการได้ไปเรียนกับปรมาจารย์ไป่ ความรู้ที่สั่งสมก็ทำให้มีเขาท่วงท่านักปราชญ์เพิ่มมาขั้นหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงที่เคยชินกับสองมือที่สะอาดสะอ้าน ต่อให้บนหน้าจะยังคงเปื้อนไม่เคยล้าง แต่ก็ปิดบังความหล่อเหลาของเขาไม่ได้

จุดนี้ การที่เด็กสาวตามกระโจมที่ติดขนนกในฐานที่มั่นเหล่านั้น มักจะยักคิ้วหลิ่วตางามให้เขาอยู่บ่อยๆ ก็พอเข้าใจได้

แต่สวี่ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ อารมณ์ของเขาหลายวันมานี้ดำดิ่งอยู่ตลอด

เรื่องหนึ่งคือเขาหาดอกลิขิตฟ้าไม่เจอ อีกเรื่องหนึ่งคือความชราและความอ่อนแอของหัวหน้าเหลยก็เด่นชัดยิ่งขึ้น

ดังนั้นสวี่ชิงจึงเข้าไปในป่าพื้นที่ต้องห้ามน้อยครั้งลงเรื่อยๆ ทุกวันนี้หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนกับปรมาจารย์ไป่ เขาก็จะมักจะเดินกลับที่พักด้วยความเคยชิน ต่อให้เวลาส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกบำเพ็ญตามลำพัง แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงหัวหน้าเหลยที่อยู่ห้องข้างๆ สวี่ชิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ยิ่งช่วงเวลาทานข้าวมื้อค่ำ ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวงแหน

วันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน สวี่ชิงเดินในฐานที่มั่นเงียบๆ ไม่สนใจคนเก็บกวาดรอบๆ ตรงไปยังร้านขายของชำก่อน

หลังจากเด็กสาวที่กำลังวุ่นวายเห็นเงาของเขา ก็รีบวิ่งตรงไปด้านหลังชั้นวางโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอันใด หยิบเอากาสุราใบหนึ่ง ยื่นให้สวี่ชิง

นางเคยชินกับการมาซื้อสุราของสวี่ชิงในช่วงเวลาเช่นนี้ของวันแล้ว

“ขอบคุณ” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา มองรอยแผลเป็นบนใบหน้าเด็กสาว

แม้จะมีแผลเป็นที่บิดเบี้ยว แต่เด็กสาวก็ยังมองโลกในแง่ดี นางยิ้มให้กับสวี่ชิง ขณะกำลังจะพูดอะไรก็ถูกคนเก็บกวาดคนอื่นเรียกไป

สวี่ชิงไม่ใส่ใจ หยิบเหยือกสุราเตรียมจะจากไป แต่หางตาของเด็กสาวก็เห็นเงาแผ่นหลังของเขา นางรีบร้อนพูดกับคนเก็บกวาดไม่กี่คำ จากนั้นจึงวิ่งไปอยู่ข้างประตูใหญ่ มองสวี่ชิงที่ใกล้จะเดินลับไป ตะโกนขึ้นมาคำหนึ่ง

“พี่เด็กน้อย”

สวี่ชิงหยุดเท้าลง หันหน้ากลับไปมอง เด็กสาวรีบวิ่งเข้ามาหา

หลังจากเข้าใกล้สวี่ชิง นางก็ยื่นมือซ้ายมาด้านหน้าสวี่ชิง ด้านในมีลูกกวาดเม็ดหนึ่ง

“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดช่วงนี้พี่จึงอารมณ์ดำดิ่งนัก แต่ทุกครั้งที่ข้าเสียใจ แม่ของข้าก็จะให้ลูกกวาดข้า พอข้ากินไปก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาแล้ว

“นี่คือลูกกวาดเม็ดสุดท้ายของข้า ข้าให้พี่เจ้าค่ะ”

เด็กสาวพูดก็เกิดกลัวสวี่ชิงจะปฏิเสธ จึงวางลงบนมือเขาแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ร้าน ไปอยู่ข้างประตู จากนั้นจึงหันมามองสวี่ชิง ตะโกนขึ้นเสียงดัง

“พี่เด็กน้อย ร่าเริงเข้าไว้นะเจ้าคะ!”

สวี่ชิงยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น มองร่างเด็กสาวที่เดินเข้าไปในร้าน เขาก้มหน้าลงมองลูกกวาดในมือ ผ่านไปสักพัก…เขาก็เก็บลูกกวาดนี้อย่างระมัดระวัง

ระหว่างทางกลับ ในฐานที่มั่นก็มีเสียงเอะอะดังเซ็งแซ่ออกมา สวี่ชิงมองเห็นว่าด้านนอกฐานที่มั่นมีคาราวานรถสองขบวนเข้ามาตามลำดับ

ขบวนรถด้านหน้าเยี่ยมยอดกว่าขบวนรถที่สวี่ชิงเคยเห็นอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นความใหม่ของรถม้า หรือจะเป็นความกำยำของม้า ด้านในไม่ได้มีเพียงองครักษ์ แต่ยังมีชายกลางคนอีกสี่ห้าคน บนตัวมีคลื่นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาอย่างชัดเจน

แต่พวกเขาไม่ใช่คนสำคัญของขบวนรถอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อมาถึง เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินลงมาจากด้านในขบวนรถ อายุอานามของพวกเขาราวๆ สิบหกสิบเจ็ด ก้าวย่างอย่างองอาจผึ่งผาย สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ในขณะเดียวกันผิวก็ขาวนวล เด็กหนุ่มคือหล่อเหลา เด็กสาวคืองดงาม

เห็นได้ชัดว่าสถานะเบื้องหลังไม่ธรรมดา วางท่าสั่งนั่นโน่นนี่ชัดเจนยิ่ง เวลานี้ก็ดูเหมือนจะรังเกียจความสกปรกในฐานที่มั่น จึงลงหลักปักฐานที่ด้านนอก

ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายทุกคนยังมีผู้ติดตามอยู่อีก คนประมาณหนึ่งร้อยคนคอยรับใช้เด็กหนุ่มเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกเหล่านี้

และขบวนรถที่สองด้านหลังพวกเขา แม้จะดูดีไม่หยอก แต่เทียบกับขบวนหน้าแล้วก็ดูต่ำต้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ขบวนรถที่สองนี้รับรู้ถึงสถานะของเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้นอย่างชัดเจน จึงไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้ขบวนรถด้านหน้าเลย เลี่ยงพวกเขาเข้าไปในฐานที่มั่นตลอดทาง คนที่เดินลงมาส่วนใหญ่ทำตัวไม่กระโตกกระตาก

สวี่ชิงกวาดตามองไปทางพวกเขา

ขบวนรถในฐานที่มั่นมาปรากฏอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ประกาศภารกิจ บ้างก็เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเพียงด้วยตัวคนเดียว ในคาราวานเหล่านี้มีคนอยู่ทุกประเภท

นี่เองก็เป็นพื้นฐานการคงอยู่ของคนเก็บกวาดในฐานที่มั่นอยู่แล้ว สวี่ชิงคุ้ยเคยเป็นอย่างดี

เมื่อกลับมาถึงที่พัก สวี่ชิงมองเห็นหัวหน้าเหลยที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ในเรือน ร่างกายโรยราใต้แสงตะวันยิ่ง ได้เห็นจิตใจก็ยิ่งหมองหม่น

“ซื้อสุรามาให้ข้าอีกแล้วหรือ ไม่เลวๆ” สังเกตเห็นกาสุราในมือสวี่ชิง หัวหน้าเหลยก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ เจ้าไปเก็บกวาดห้องครัว ข้าจะออกไปเดินเล่นด้านนอกแล้วจะซื้อวัตถุดิบกลับมาเสียหน่อย” หัวหน้าเหลยพูดพลางเอามือไพล่หลังเดินจากไป

นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเขากับสวี่ชิง วัตถุดิบทำอาหารเขาจะเป็นคนไปซื้อ สวี่ชิงไม่ปฏิเสธ แต่ก็ให้ค่าเช่าบ้านเพิ่มขึ้น

เหมือนว่านี่ก็คือวิธีการอยู่ร่วมกันของเขากับหัวหน้าเหลย

วันนี้หัวหน้าเหลยกลับมาเร็วกว่าทุกวัน ขณะที่สวี่ชิงเพิ่งจะเก็บกวาดครัวเสร็จ เขาก็หิ้วเนื้อเดินกลับเข้ามาแล้ว ยิ้มให้กับสวี่ชิง เริ่มทำอาหาร

สวี่ชิงก็ทำเหมือนเช่นเคย นั่งเรียนรู้อยู่ข้างๆ แต่เมื่อมองไปมองมา เขาก็รู้สึกว่าผิดปกติ…ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ช่วงเวลากินข้าวของวันนี้ก็จะเร็วขึ้น ไม่ใช่ตอนช่วงค่ำอีกแล้ว

พอตระหนักได้ถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็เข้าใจอะไรขึ้นมาในจิตสำนึก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับหัวหน้าเหลยที่กำลังวุ่น แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบไป

หัวหน้าเหลยกลับเป็นเหมือนวันที่ผ่านๆ มา ทำกับข้าวไปด้วยพูดคุยไปด้วย

ระหว่างทำเรื่องเบ็ดเตล็ดหยุมหยิม ยังไม่ทันตกเย็น อาหารก็ทำเสร็จแล้ว หลังจากจัดสำรับขึ้นโต๊ะ หัวหน้าเหลยจ้องมองสวี่ชิงที่เงียบงัน ลูบไปบนหัวของเขา

“เด็กน้อย ข้าซื้อสิทธิ์เข้าพักในเมืองคลื่นสนไว้แล้ว ค่ำหน่อยข้าจะไปจัดกระเป๋า พรุ่งนี้เช้าข้าก็จะไปแล้ว” หัวหน้าเหลยหยิบสุราที่สวี่ชิงซื้อมาให้ดื่มลงไปอึกใหญ่

สวี่ชิงแข็งทื่อไป นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงก้มหน้าเอ่ยเสียงแผ่ว

“เร็วขนาดนี้เลยหรือ”

หัวหน้าเหลยไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ

“ที่จริงซื้อเอาไว้นานแล้ว แค่ไม่ได้บอกเจ้าเท่านั้น เจ้าน่ะ ก็อย่าอาลัยอาวรณ์นักเลย ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกรา” หัวหน้าเหลยพูดพลางดื่มสุราลงไปอึกใหญ่

“มา กินข้าว”

สวี่ชิงมองหัวหน้าเหลยที่ผ่านโลกมาโชกโชน หยิบตะเกียบขึ้นกินข้าวอย่างเงียบงัน อาหารวันนี้ควรจะอร่อยมาก แต่ในปากของสวี่ชิง กลับไม่มีรสชาติใดเลย

หัวหน้าเหลยมองทั้งหมดนี้ ก็ถอนหายใจเบาๆ แต่บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม พูดเรื่องราวต่างๆ ในฐานที่มั่น จนผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป จู่ๆ สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้น

“ไม่รอกางเขนกับเขี้ยวหงส์ก่อนหรือ พวกเขาน่าจะใกล้กลับมาแล้ว”

“ไม่รอแล้ว กลับมาก็คงจะทำเหมือนเจ้า เพิ่มความโศกเศร้ามากขึ้นเข้าไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ถ้าพวกเจ้ามีเวลา ไปหาข้าบ้างก็ได้”

หัวหน้าเหลยหยิบยาสูบออกมาจากในอก สูบไปหนึ่งที ควันที่พ่นออกมาบดบังสีหน้าของเขา จนทำให้ร่างของเขาดูเลือนลางไป

อาหารมื้อนี้ หัวหน้าเหลยกินเร็วมาก

จนเขาแยกตัวออกไปจัดกระเป๋า สวี่ชิงก็ยังนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น มองอาหารบนโต๊ะแล้วกินไม่ลง ครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นมา เดินไปที่ห้องนอนหัวหน้าเหลย เป็นครั้งแรกที่ไม่ไปล้างชามตะเกียบ

“จะไปจริงหรือ” สวี่ชิงถามขึ้นเสียงแผ่ว

“อย่าเสียใจนักเลย ข้าก็แค่ได้ไปอยู่ในเมืองแล้ว เจ้าควรจะดีใจกับข้าจึงจะถูก”

หัวหน้าเหลยหัวเราะร่า เรียกสวี่ชิงเข้ามาช่วยตนเองพับเสื้อผ้า

สวี่ชิงเงียบงันเดินเข้าไป ล้างมือทั้งสองก่อนจากนั้นจึงช่วยพับอย่างเป็นระเบียบ

เพียงไม่นานกระเป๋าของหัวหน้าเหลยก็จัดเสร็จเรียบร้อยด้วยการช่วยเหลือของเขา ของในนี้ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ต้องการแล้วจึงทิ้งไว้ให้กับสวี่ชิง

“บ้านหลังนี้ก็ให้เจ้านะ”

“ข้าจะให้ค่าเช่า” สวี่ชิงตอบอย่างตั้งใจ

หัวหน้าเหลยพอได้ยินก็ยิ้มๆ ไม่พูดถึงหัวข้อสนทนานี้ต่อ แต่ดึงสวี่ชิงเข้ามานั่ง ในระหว่างเวลาที่ไหลผ่านไปก็บอกเล่าถึงนิสัยคนเก็บกวาดในฐานที่มั่นแก่เขา โดยเน้นหนักไปที่หัวหน้าฐาน

“หัวหน้าฐานที่มั่น ไม่ได้เรียบง่ายนัก เบื้องหลังของเขาคือสำนักวัชระ”

“และสำนักวัชระ คือขั้วอำนาจอันดับหนึ่งในอาณาเขตใหญ่ผืนนี้ เมืองและฐานที่มั่นนับสิบล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา บรรพจารย์ของเขาเป็นถึงผู้สร้างฐานที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง เจ้าอยู่ที่นี่หลังจากนี้ ต้องระมัดระวังเขาอยู่เสมอ”

พูดถึงตอนนี้ สีท้องฟ้าด้านนอกก็มืดมิดแล้ว สวี่ชิงสังเกตว่าใบหน้าหัวหน้าเหลยดูล้ามาก จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากมา

มองดูร่างของเขาอยู่นาน หัวหน้าเหลยจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

และในราตรีนี้ ก็เป็นคืนแรกในช่วงนี้ที่สวี่ชิงไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ

เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นมองเหม่อไปฟ้าราตรีด้านนอก จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีแสงขาว จนกระทั่งมองเห็นแสงตะวันแรกของวัน

“ผ่านไปไวเหลือเกิน” สวี่ชิงงึมงำ ความหดหู่แผ่ซ่านขึ้นในใจ ไม่ได้ออกจากเรือนไปในเวลานี้อย่างที่เคยเป็น แต่รอจนเสียงเปิดประตูของหัวหน้าเหลยดังขึ้น เขาถึงเดินออกไปช้าๆ

ตะวันแรก แสงอรุณสาดส่อง หนึ่งชราหนึ่งเด็กหนุ่มจ้องมองกันและกัน

“เด็กน้อย ข้าไปก่อนนะ” ผ่านไปสักพัก ใบหน้าหัวหน้าเหลยจึงเผยรอยยิ้มออกมา

“ข้าจะไปส่งท่าน”

“ไม่ต้องหรอก เจ้ารีบไปเรียนเถิด”

“ข้าจะไปส่ง”

“เจ้า…”

“ข้าจะไปส่ง” สวี่ชิงมองหัวหน้าเหลย เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

หัวหน้าเหลยมองสวี่ชิงครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าลงอย่างจำใจ

ชายชราและเด็กหนุ่มสองคนจึงเดินออกมาจากฐานที่มั่นในช่วงเช้าตรู่ขณะที่คนเก็บกวาดคนอื่นๆ ยังไม่ตื่นเช่นนี้เมื่อเดินผ่านกระโจมของปรมาจารย์ไป่ สวี่ชิงจึงวิ่งเข้าไป

ปรมาจารย์ไป่ยังมาไม่ถึง เด็กหนุ่มเฉินเฟยหยวนเองก็ไม่อยู่ มีเพียงถิงอวี้ที่ยังท่องตำรายาอยู่ตรงนั้น

“รบกวนเจ้า ลาเรียนให้ข้าวันหนึ่งด้วย” หลังจากมองเห็นถิงอวี้ สวี่ชิงก็รีบเอ่ยขึ้น คารวะแก่นาง หันหลังเดินออกไป

ถิงอวี้ลังเลเล็กน้อย ตอนเดินออกไปก็เห็นเงาสวี่ชิงกับหัวหน้าเหลยเดินห่างออกไป

แสงตะวันแรกสาดส่องลงบนพื้น สะท้อนเบื้องหน้าสวี่ชิงและหัวหน้าเหลย ทั้งยังปกคลุมร่างของพวกเขาที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

สวี่ชิงหยิบสัมภาระของหัวหน้าเหลยมาสะพายไว้บนหลังตนเอง นิ่งเงียบไม่พูดจาตลอดทาง

ในใจหัวหน้าเหลยซับซ้อน จ้องมองเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้น คิดจะพูดเรื่องหยุมหยิมในฐานที่มั่นเหมือนที่เคย แต่พูดไปไม่กี่คำ ก็พูดต่อไม่ได้แล้ว

ระหว่างที่เงียบงัน ทั้งสองคนเดินมาถึงภูเขาใหญ่ จุดที่เคยพักหายใจเมื่อตอนนั้นก็เป็นพวกเขาทั้งสองเช่นกัน หัวหน้าเหลยยืนอยู่ด้านหน้า สวี่ชิงอยู่ด้านหลังอย่างระมัดระวัง

คนหน้าลึกล้ำดั่งกระบี่ ส่วนคนหลังก็โดดเดี่ยวราวหมาป่า

วันนี้สวี่ชิงอยู่ด้านหน้า หัวหน้าเหลยอยู่ด้านหลัง

คนหน้าหลังตรงดุจขุนเขา คนหลังเดินกะเผลกโรยรา

ถึงที่นี่ สวี่ชิงยืนหยัด แบกหัวหน้าเหลยที่โรยราขึ้นหลัง เสมือนตอนที่เดินออกจากป่าต้องห้ามครั้งแรก

หัวหน้าเหลยถอนหายใจเบา มองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มตรงหน้า หลังจากที่เขานิ่งงัน เอ่ยขึ้นเสียงเบา

“หลังจากนี้ในฐานที่มั่น เจ้าต้องคอยระวังคนเก็บกวาดเหล่านั้นด้วย

“ข้ารู้ว่าพลังต่อสู้ของเจ้าตอนนี้แข็งแกร่งมาก แต่เจ้าก็ห้ามดูถูกพวกเขา คนเก็บกวาดน่ะนะ เป็นพวกไม่กลัวตาย สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่เลือกวิธีการก็เหมือนมื้ออาหารในบ้านทั่วไป…

“ตกกลางคืน ก็อย่าลืมให้อาหารสุนัขป่าพวกนั้น เจ้าพวกนี้เชื่อถือได้มากที่สุดในฐานที่มั่นแล้ว

“แล้วเจ้าก็ต้องกินข้าวด้วย อย่ากินเย็นชืด อย่ารังเกียจความยุ่งยาก อุ่นก่อนกินด้วย…เจ้ากำลังโต จะปล่อยปละละเลยไม่ได้

“ไม่เช่นนั้น เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าก็จะรู้ถึงความยากลำบาก อ้อ จริงสิ หลังจากนี้ก็อย่านอนกับเตียงเปล่า เครื่องนอนไม่ต้องกลัวเลอะ เอามาซักก็คอยตากแดดเสียด้วย

“แล้วก็…”

หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ในน้ำเสียงละเมียดละไม แฝงไว้ด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง

สวี่ชิงที่แบกหัวหน้าเหลยอยู่ พยักหน้าเบาๆ จดจำคำพูดของอีกฝ่ายเอาไว้ในใจ

จนกระทั่งหัวหน้าเหลยพูดๆ อยู่ แล้วผล็อยหลับเพราะความอ่อนแอของร่างกาย เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ บนหลัง เท้าของสวี่ชิงก็แผ่วเบาลง

พยายามย่างก้าวนุ่มนวลมากที่สุด ต่อให้เป็นทางเบี่ยงก็ยังรักษาความมั่นคงไว้

เป็นเช่นนี้ เขาแบกหัวหน้าเหลยเดินผ่านที่รกร้าง อ้อมแอ่งกระทะ จนมาถึงช่วงเย็น ตอนที่สีฟ้าเปลี่ยนเป็นแสงโพล้เพล้ แสงตะวันทอดเงายาวๆ ของพวกเขา เมืองแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของสวี่ชิง

ตอนนั้นเอง หัวหน้าเหลยก็ตื่นขึ้นมา มองเห็นเมืองนั้น จ้องมองประตูเมือง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“ถึงแล้วสินะ”

สวี่ชิงตอบรับเสียงเบา หน้าอกมีความรู้สึกตื้อตัน วางตัวหัวหน้าเหลยลงเบาๆ จากการร้องขอของเจ้าตัว

หัวหน้าเหลยคว้าสัมภาระจากมือของสวี่ชิงมาถือ มองประตูเมือง จากนั้นก็มองที่สวี่ชิง นิ่งงันไปสักพักจึงหัวเราะออกมา ยกมือขึ้นลูบหัวสวี่ชิง ขยี้จนมันกระเซอะกระเซิง

“เด็กน้อย เจ้ากลับไปเถอะ หลังจากนี้ถ้าคิดถึงคนแก่อย่างข้าก็แวะมาหาได้เสมอ ข้าอยู่ที่ถนนธารใสหมายเลขสามทางทิศใต้ของเมือง” หัวหน้าเหลยพูดพลางกระชับกระเป๋าเดินทาง เดินไปยังประตูเมือง

สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น มองหัวหน้าเหลยที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในใจมีคำพูดมากมายแต่ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร ทำได้เพียงมองตามไปอย่างเหม่อลอย

จนกระทั่งหัวหน้าเหลยเดินถึงประตูเมือง หลังจากยื่นสิทธิ์เข้าเมืองเรียบร้อย จู่ๆ ก็หันกลับมา

เขามองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง โบกมือไปมา เดินเข้าไปในเมืองแล้วหายไปด้วยทหารคุ้มกันประตูเมืองเร่งรัด

สวี่ชิงสีหน้าเหงาหงอย รออยู่นาน…เมื่อแสงตะวันลับฟ้า วินาทีที่ประตูเมืองปิด ในใจเขาก็วูบโหวงว่างเปล่าขึ้นมา

“ดูแลตัวเองด้วย…” ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงงึมงำ หันหลังกลับอย่างขมขื่น ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวแผ่ซ่านไปทั้งตัวเขาอีกครั้ง

ยามราตรีมาถึง ร่างเงาของเขาค่อยๆ ถูกปกคลุม

คนผู้หนึ่งเดินไปยังที่รกร้าง คนผู้หนึ่งเดินไปทางแอ่งกระทะ คนผู้หนึ่งเดินไปทางเขาลูกใหญ่

ห่างออกไป…ไกลเรื่อยๆ