ตอนที่ 24 ล่อเหยื่อให้ติดกับ

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 24 ล่อเหยื่อให้ติดกับ

ตี้อู๋เปียนปฏิเสธที่จะถอดเสื้อผ้าของเขา ดังนั้นมู่เถาเยาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากลงมือกับเขาอีกครั้ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตอบสนอง ร่างกายท่อนบนของตี้อู๋เปียนก็เปลือยเปล่า

ตี้อู๋เปียนอยากจะกอดหน้าอกของเขาและกรีดร้องเหมือนผู้หญิง แต่เขาทำไม่ได้!

เดิมทีรูปร่างของเขาก็ไม่แมนพออยู่แล้ว หากยังตอบสนองแบบนั้นอีกอาจทำให้ทุกคนรวมถึงแม่ของเขาสงสัยว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย!

“ยัยซาลาเปา เธอนี่มันไม่รู้สึกละอายใจเอาเสียเลย!” ความอับอายที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธทำให้ไฝแดงตรงหว่างคิ้วเขาดูมีสีสันขึ้น

มู่เถาเยาสกัดจุดชีพจรของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มลงมือฝังเข็ม

คนตระกูลตี้มองฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ถอนหายใจ ภาพตรงหน้าก็ทำเอาพวกเขาเกือบหยุดหายใจ

ครั้งที่แล้วตี้อู๋เปียนก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นลิงในสวนสัตว์ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผู้ชมยิ่งเยอะขึ้นไปอีก!

“อาเล็กเจ็บๆ อาเล็กเจ็บๆ พี่สาวอย่าแทงเขา” เจ้าอ้วนตัวจิ๋วเดินเตาะแตะเข้าไปหามู่เถาเยา จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

กู้เนี่ยนแม่ของเขารีบปิดปากเล็กๆ ของเขาแล้วพาเขาออกไป เพราะกลัวว่าเขาจะรบกวนการรักษาของเสี่ยวเถาเยา

หลังจากที่มู่เถาเยาฝังเข็มตี้อู๋เปียนด้วยเข็มทองทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเล่ม ทุกคนในตระกูลตี้ก็มองไปที่เธออย่างกระตือรือร้น

“เสี่ยวเถาเยา น้องชายของฉันเป็นยังไงบ้าง ครั้งที่แล้วพ่อบ้านจงบอกว่ามันได้ผล” ตี้อู๋เสียในวัยยี่สิบหกปีเป็นคนแรกที่อดใจไม่ไหวแล้วถามออกไป

มู่เถาเยาพยักหน้า “มันได้ผลค่ะ แต่เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้นไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ”

ในฐานะมารดา อวิ๋นเหอไม่สนหน้าตาในฐานะภรรยาของราชาแห่งประเทศอีกต่อไป เธอรีบรุดขึ้นไปข้างหน้าและพูดอย่างรวดเร็วว่า “แล้วเราต้องทำยังไงถึงจะสามารถรักษาที่ต้นเหตุได้ ร่างกายของลูกชายฉันป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ทำไมเครื่องมือแพทย์ทันสมัยเหล่านั้นถึงตรวจไม่พบอะไรเลย”

“พลังโดยกำเนิดของเขากำลังแห้งขอดค่ะ ร่างกายของนายน้อยตี้ในปัจจุบันแทบไม่ต่างกับชายชราในวัยเก้าสิบปี ถ้าเราต้องการรักษาที่ต้นตอ จำเป็นต้องค้นหาสมุนไพรในตำนานชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าหญ้าพิษชีวิต”

“แล้วฉันต้องไปหาสมุนไพรวิเศษนี้จากที่ไหน”

ราชาตี้ในฐานะบิดาย่อมมีความกังวลโดยธรรมชาติ แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกต่อไป ท้ายที่สุดเมื่อได้รู้สาเหตุของโรคและตัวยาที่สามารถใช้รักษาได้ มันก็ทำให้เขาเห็นความหวังที่จะได้เห็นลูกชายคนสุดท้องของตัวเองกลับมามีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ

“หญ้าพิษชีวิตหรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อสมุนไพรวิเศษโบราณ จนถึงปัจจุบันก็มีอยู่แค่ในหน้าหนังสือเท่านั้น มันถูกเรียกว่าเป็นสมุนไพรในตำนานเพราะไม่มีใครเคยเห็นมันจริงๆ มานับพันปีแล้ว หนูบังเอิญไปพบมันในหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่งเมื่อตอนหนูยังเด็ก”

ตี้อู๋เว่ย “คุณปู่หยวนเองก็รู้ถึงการมีอยู่ของสมุนไพรวิเศษนี้ด้วยเหรอ มันมีอยู่จริงๆ เหรอ”

“เจ้าสำนักแพทย์โบราณทุกรุ่นล้วนรู้กันทั้งนั้นค่ะ แต่มันก็ผ่านมากว่าหมื่นปีแล้ว ปัจจุบันคนที่ยังเชื่อเรื่องนี้อยู่อีกแทบไม่มีแล้ว อย่างน้อยอาจารย์ใหญ่ของฉันก็ไม่เชื่ออีกต่อไป”

อดีตราชาตี้ “แล้วเสี่ยวเถาเยาล่ะเชื่อไหม”

“หนูเชื่อค่ะ สำหรับสถานที่ที่มันอาจจะเติบโต ไม่สู้ท่านอดีตราชาลองส่งคนไปค้นหามันที่ป่าดึกดำบรรพ์ดู บริเวณใกล้ๆ กับแหล่งเติบโตของสมุนไพรวิเศษโบราณจะมีสัตว์ร้ายคอยปกป้องมันอยู่ด้วย”

ย่าตี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนมีความสามารถในโลกนี้มีถมเถ จะต้องมีหนทางอย่างแน่นอน”

คนตระกูลตี้พยักหน้าพร้อมกันด้วยสีหน้ายินดี

มู่เถาเยารู้สึกว่าพวกเขาดีใจกันเร็วเกินไป

“หญ้าพิษชีวิตเป็นสมุนไพรอัศจรรย์ที่เป็นทั้งพิษและยาอายุวัฒนะในเวลาเดียวกัน เมื่อมันยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายของมันจะหลั่งพิษร้ายแรง และมันจะเปลี่ยนสรรพคุณเป็นยาได้ก็ต่อเมื่อมันยืนต้นตายและเหี่ยวแห้งไปตามธรรมชาติเท่านั้น ผลที่ราวกับเวทมนต์ของมันไม่เพียงแต่ส่งผลกับมนุษย์แต่ยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดด้วย”

คนตระกูลตี้ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของมู่เถาเยาได้อย่างไร

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าคุณจะโชคดีพอได้พบกับหญ้าพิษชีวิต แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเผอิญไปพบต้นที่แห้งตายตามธรรมชาติพอดี และแม้ว่าคุณจะโชคดีเป็นสองต่อและพบมันในสภาพนั้นจริงๆ ปัญหาต่อมาคือจะรับมือกับบรรดาสัตว์ร้ายที่จ้องจะงาบมันทุกขณะได้อย่างไร

ความหวังอันริบหรี่ถูกบังคับให้มอดดับไปอีกครั้ง

คนตระกูลตี้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ

มู่เถาเยาให้ความสำคัญกับเวลามาก ในขณะที่พูดคุยกับคนตระกูลตี้ เธอก็ไม่ลืมสังเกตการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนตัวตี้อู๋เปียน รวมถึงดวงตาของเขาคู่นั้นหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ

ถึงเวลาดึงเข็มออกและจับชีพจรเขาอีกครั้ง

ตี้อู๋เปียนกลอกตามองไปที่เธอ ส่งสัญญาณบอกให้เธอถอนการสกัดจุดชีพจรให้เขา

มู่เถาเยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และหันไปพูดคุยกับคนตระกูลตี้ต่อไป

“จากผลลัพธ์ในตอนนี้ นายน้อยสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกห้าปี”

“ถ้าเราหาสมุนไพรวิเศษตัวนั้นเจอได้ภายในห้าปีนี้ อู๋เปียนจะหายเป็นปกติไหม” คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอยังคงมีความหวัง

มู่เถาเยาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ค่ะ ในทางทฤษฎี”

อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะเชื่อถึงการมีอยู่ของหญ้าพิษชีวิต แต่เธออาจไม่โชคดีพอที่จะเจอมัน เพราะตลอดชีวิตทั้งสองชาติภพของเธอ เธอก็ไม่เคยเจอมันมาก่อน

ย่าตี้มองไปที่หลานชายคนเล็กของเธอที่ดูเหมือนหุ่นไม้หลังถูกสกัดจุดชีพจร จากนั้นก็หันไปกล่าวกับทุกคนในคนตระกูลตี้ว่า “ลองไปค้นหาตามที่เสี่ยวเถาเยาบอกก่อนเถอะ แล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป” ถ้าหาไม่เจอ พูดมากไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์

ราชาตี้ถาม “เสี่ยวเถาเยา หนูมีรูปเหมือนของสมุนไพรตัวนี้หรือเปล่า”

“หนูวาดให้ได้เฉพาะตามที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณเท่านั้นค่ะ ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องนัก”

ราชาตี้ “ตกลง ก่อนอื่นให้มองหาตามรูปภาพที่ได้มาก่อนแล้วค่อยให้ความสนใจกับสมุนไพรที่คล้ายๆ กัน”

พ่อบ้านจงวิ่งไปหยิบกระดาษ ปากกา และสีมาให้ทันที

“ทำไมมันถึงดูเหมือนกล้วยไม้สายพันธุ์ซูกวนเหอติ่งพิกล” ตี้อู๋เสียพูดขณะที่มองไปที่ภาพวาดซึ่งถูกระบุว่าเป็นหญ้าพิษชีวิต

“ใช่แล้วค่ะ ชื่อทางวิชาการของหญ้าพิษชีวิตนี้ก็คือเสวี่ยหลันหรือกล้วยไม้หิมะ มันมีลักษณะคล้ายกับใบของดอกกล้วยไม้ แต่ดอกกลับไม่เหมือนกล้วยไม้ชนิดใดเลยบนโลกใบนี้ มันมีความงดงามชนิดที่ดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลกก็ยังไม่สามารถเทียบกับมันได้ ยังไงก็ตาม กลิ่นของมันเป็นพิษมากที่สุดเช่นกัน ดังนั้นบริเวณรอบๆ ที่มันเติบโตจะถูกห้อมล้อมด้วยพืชมีพิษและสัตว์ที่ทนต่อพิษ”

ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนพึ่งพาอาศัยกัน

คนตระกูลตี้พยักหน้าพร้อมกันแสดงความเข้าใจ

ราชาตี้ “แล้วเราจะป้องกันคนของเราที่ส่งออกไปค้นหามันไม่ให้ถูกพิษได้ยังไง” คงไม่สามารถทำลายชีวิตผู้อื่นเพียงเพื่อเห็นแก่ชีวิตลูกชายของตัวเองใช่ไหม

“รอปิดเทอมก่อนแล้วหนูจะกลับไปที่หมู่บ้านเถาหยวนซานสักรอบ แล้วจะหลอมเม็ดยาถอนพิษมาให้นะคะ”

เมื่อเทียบกับทักษะทางการแพทย์ ความสามารถในด้านพิษของเธอนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าอีก เรื่องนี้แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของเธอก็ยังไม่รู้

จะบอกผู้สูงอายุในบ้านให้เขาเป็นกังวลมากมายไปเพื่ออะไร บางเรื่องที่ไม่สมควรรู้ ไม่บอกดีที่สุดแล้ว

คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอถาม “หลอมที่นี่หรือไม่ก็ที่เมืองหลวงไม่ได้เหรอ” จะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องไปๆ มาๆ

“มีวัตถุดิบและสมุนไพรบางตัวที่ต้องเก็บสดๆ ค่ะ นอกจากนี้ด้านหลังของหมู่บ้านเถาหยวนซานยังอยู่ติดกับป่าดึกดำบรรพ์ซึ่งสมุนไพรที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้นมีฤทธิ์ที่ดีที่สุด” นี่เป็นเหตุผลที่อาจารย์ใหญ่ยืนกรานที่จะอยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น

ย่าตี้ “งั้นฉันคงต้องรบกวนเสี่ยวเถาเยาแล้ว”

“ด้วยความยินดีค่ะ”

คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอ “เสี่ยวเถาเยา หนูกับศิษย์หลานสองคนรออยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันที่นี่ก่อนกลับนะ เชฟที่บ้านเราไปดึงตัวมา ทำอาหารท้องถิ่นอร่อยมากแถมเรายังจ้างเชฟทำขนมฝีมือดีด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว อู๋เปียนชอบของหวานเป็นที่สุด”

เนื่องจากยังขยับเขยื้อนไม่ได้ ตี้อู๋เปียนจึงทำได้เพียงบอกแม่ของเขาดังๆ ในใจว่า ผมไม่ได้ชอบกินของหวาน ผมแค่ต้องการเพิ่มความหวานให้กับชีวิตเท่านั้น!

เขาเกิดมาในตระกูลตี้ มีสถานะที่ยิ่งใหญ่และสูงส่ง แต่เขากลับไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาได้ ความรู้สึกขมขื่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ และเมื่อแสดงออกมาไม่ได้ เขาจึงได้แต่กินขนมกินของหวานแล้วหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าชีวิตนี้ช่างสงบสุขและสวยงาม

หลังจากได้ยินสิ่งที่คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอพูด มู่เถาเยาก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ไอศกรีม เค้กชิ้นเล็ก ฯลฯ อ๊าาา…น่าอร่อยเกินไปแล้ว!

ย่าตี้รู้สึกหัวเราะไม่ออก

สาวน้อยคนนี้ทั้งวันเอาแต่ทำตัวราวกับปรมาจารย์เฒ่าที่เร้นกายจากโลกภายนอก พอได้ยินคำว่าของหวาน ดวงตาเล็กๆ ของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นระยิบระยับราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ …แต่แบบนี้ก็ดูสมวัยของเธอดี

“เสี่ยวเถาเยา เชฟทำขนมหวานบ้านเราทำทีรามิสุได้นุ่มละมุนลิ้นเป็นที่สุด! ยังมีพุดดิ้ง แบล็คฟอเรสต์…” ย่าตี้ล่อเหยื่อเข้าสู่กับดักเสมือนนักล่าผู้ช่ำชอง

มู่เถาเยาฟังรายชื่อขนมแต่ละรายชื่อ หัวใจก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ

มีของอร่อยมากมายในชีวิตนี้ที่เธอไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชาติที่แล้วแม้จะมีตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงจักรพรรดินีก็ตาม

อันที่จริงในชาติที่แล้วเธอเป็นคนชอบกินมาก แต่เธอเบื่อกลอุบายวางยาพิษ เธอจึงต้องหลีกเลี่ยงการกิน นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในชาตินี้ทักษะทางด้านพิษของเธอจึงโดดเด่นกว่าทักษะทางการแพทย์

“ย่าตี้คะ ขอไอศกรีมโยเกิร์ตเพิ่มให้หนูอีกที่ได้ไหมคะ”

“แน่นอน หนูสามารถกินอะไรก็ได้ตราบเท่าที่หนูต้องการ”

ดวงตาลูกกวางของมู่เถาเยาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวงดงามทันที

เฉิงอันนั่วร้องตะโกนในใจว่า…ไม่ดีแล้ว!

อาจารย์อาเล็ก คุณได้เปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองออกไปแล้ว!