ตอนที่ 45 ตอนที่ 46 คุณหนูใหญ่เป็นสาวชาวบ้านหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 45 เจ้าฉินห้าน้อย : ข้ารับภาระหนักจริงๆ / ตอนที่ 46 คุณหนูใหญ่เป็นสาวชาวบ้านหรือ

ตอนที่ 45 เจ้าฉินห้าน้อย : ข้ารับภาระหนักจริงๆ

สะใภ้หวังรอให้ฉินหลิวซีออกไปแล้วจึงหันไปมองฉินหมิงฉุนที่คับแค้นใจจนอยากจะร้องไห้ แล้วนางก็เผยยิ้มออกมาอย่างที่หาได้ยาก

“พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเอ่ยถูกแล้ว ตอนเด็กหน้าตาหล่อเหลา โตมาก็ยังไม่แน่ ผู้ชายน่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวิชาความรู้ติดตัวไว้บ้าง” นางลูบหลังศีรษะของฉินหมิงฉุนก่อนจะเอ่ย “ไปตั้งใจเขียนไป ข้าจะไปหาท่านย่าเจ้าหน่อย”

ฉินหมิงฉุนมองส่งนางด้วยความนอบน้อมก่อนจะกลับลงไปนั่งเหมือนเดิม แล้วลูบข้อมือตนเอง เขาเมื่อยมือมากจริงๆ

“ไม่ต้องไปฟังท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่เจ้าหรอก มีที่ไหนโตมาแล้วจะพิการ พวกนางหลอกเจ้าต่างหาก” อนุวั่นเหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ย “เจ้าไม่เหมือนพี่สาวของเจ้า เจ้าเอาความงามของทั้งข้าและท่านพ่อของเจ้าไป ข้างามออกอย่างนี้ เจ้าจะขี้เหร่ได้หรือ”

ฉินหมิงฉุนตาเป็นประกายทันที “แม่รอง นี่ท่านกำลังยุให้ข้าเลิกเขียน ถ้าพี่หญิงใหญ่อัดข้า ท่านต้องปกป้องข้านะ!”

อนุวั่นแสดงท่าทางอ่อนแอทันที “เจ้าเป็นลูกผู้ชาย มีอะไรก็ต้องแบกรับเองสิ จะมาพึ่งแม่รองได้อย่างไร แม่รองอ่อนแอบอบบางนัก”

นางไม่กล้าทำให้ฉินหลิวซีไม่พอใจหรอก ต่อให้นางโง่ แต่สัญชาตญาณหญิงของนางบอกว่า ฉินหลิวซีบุตรสาวของนางผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะยั่วโมโหได้

แสวงหาโชคดีและหลีกเลี่ยงโชคร้ายเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ นางวั่นหว่านโหรวเองก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้

นอกจากนี้ แม้ว่าฉินหลิวซีดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรนาง แต่อาจจะไม่พอใจอยู่ในใจก็ได้

อนุวั่นรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที “เจ้าคัดลายมือไปดีกว่า พี่หญิงของเจ้าท่าทางคาดเดาอารมณ์ไม่ได้อย่างนั้น หากนางจัดการเจ้าจริงๆ ข้าก็ช่วยไม่ได้หรอก อย่างมากก็ได้แต่ทายาให้เจ้า”

ฉินหมิงฉุน “!”

เขาอายุน้อยแค่นี้ แต่ดูเหมือนต้องรับภาระหนักมากจริงๆ!

ที่เรือนหลัก

นางฉินผู้เฒ่าดื่มยาโดยมีสะใภ้หวังคอยประคองพิงหัวเตียง เอ่ย “นางเอ่ยอย่างนั้นจริงๆ หรือ”

“ข้าจะโกหกท่านแม่ได้อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้หวังนั่งลงแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าทอดถอนใจ “เด็กคนนี้มีจิตใจที่งดงามจริงๆ แถมยังสามารถยืนหยัดรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้อย่างสงบนิ่งด้วย”

“นางไม่เหมือนสะใภ้วั่น โชคดีแล้วที่สมองและความคิดของนางไม่เหมือนกันด้วย” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ย

สะใภ้หวังเอ่ย “ดูท่าว่าเจ้าอาวาสอารามชิงผิงจะสั่งสอนนางเหมือนกับบุตรสาวคนหนึ่ง ซีเอ๋อร์บอกว่านางได้เข้าเต๋าอย่างเป็นทางการแล้ว แต่นิกายของนางยังสามารถแต่งงานออกเรือนได้”

หากเอาตามความเห็นของนางแล้ว ไม่มีหญิงสาวคนใดในตระกูลฉินจะมีบุคลิกเทียบกับฉินหลิวซีได้เลย โดยเฉพาะความเฉลียวฉลาด ทั้งที่เติบโตมาข้างนอกแต่กลับโดดเด่นเช่นนี้ พอหันกลับมามองเด็กที่เลี้ยงดูขึ้นมาในบ้านก็ เฮ้อ ไม่สามารถสู้นางได้เลย

นางฉินผู้เฒ่าเอ่ย “หากตระกูลฉินไม่ได้ตกต่ำพ่ายแพ้เช่นนี้ นางเองก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวของเจ้า ยังสามารถแต่งงานไปกับคนดีๆ ได้ แต่ตอนนี้…”

ดวงตาของสะใภ้หวังวาบขึ้นเล็กน้อย “สตรีในตระกูลของเราที่แต่งงานช้าก็มีไม่น้อย นางเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นเองนะเจ้าคะ ยังไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ไม่แน่ท่านพ่อและคนอื่นๆ อาจจะกลับมาก็ได้”

นางฉินผู้เฒ่านิ่ง น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับอดกลั้นไว้ “นางเอ่ยถูกแล้ว ตระกูลฉินยังอยู่ท่ามกลางคลื่นลม จะต้องทำตัวสงบเสงี่ยมไว้จริงๆ เจ้าคอยดูแลควบคุมพวกเขาไว้อย่าให้ออกไปข้างนอกได้”

“เจ้าค่ะ”

“นางเป็นคนมีไหวพริบ แต่ท่าทีของนาง…” นางฉินผู้เฒ่าเม้มปาก และไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่เหลือออกมา

ภายนอกดูแปลกแยก สุภาพ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ในความเป็นจริงฉินหลิวซีและพวกเขาดูเหมือนอยู่กันคนละเส้นทาง ไม่สนิทและมีช่องว่างในใจ

สะใภ้หวังมองสีหน้าอีกฝ่าย “ท่านแม่ เด็กคนนี้อยู่ที่บ้านหลังเก่าตามลำพังตั้งแต่ยังเล็ก จะโทษที่นางไม่พอใจก็ไม่ได้ พวกเราไม่ควรบังคับฝืนใจนางนะเจ้าคะ”

นางฉินผู้เฒ่าหันมามอง นางไม่ได้หลบสายตาไปแต่ก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ต่อ “ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทางซีเป่ยก็น่าจะหนาวแล้ว ไม่รู้ว่าพวกปั๋วหงเดินทางถึงไหน แต่ไม่ว่าจะถึงที่ไหนพวกเขาก็ต้องใช้เงินเบิกทางทั้งนั้น เจ้าให้หลี่ต้ากุ้ยไปที่บ้านตระกูลติงตรงตรอกปาหลี่สักครั้ง บอกพวกเขาว่าข้าอยากจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขา พูดคุยกันตามประสาพี่น้องที่รู้จักกันมานานสักหน่อย”

ตอนที่ 46 คุณหนูใหญ่เป็นสาวชาวบ้านหรือ

“ตำหนักอายุวัฒนะขอให้ข้าปรุงดอกอวี้จี ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังพอมีเวลาทำเสียก่อนดีกว่า เผื่อตอนที่ข้าต้องเดินทางไปหนิงโจวอาจจะล่าช้า พวกเขาต้องมาเร่งทั้งวี่ทั้งวันแน่” ฉินหลิวซีเอ่ยกับฉีหวงที่เดินตามมาข้างหลัง “เดี๋ยวเจ้าไปนำบัวหิมะ เหลิ่งเซียง กับของอื่นๆ ออกมาแช่ไว้ในห้องยาหน่อยเถิด”

“เจ้าค่ะ” ฉีหวงเอ่ย “อวี้เสวี่ยจีซื้อขายกันในเมืองหลวงถึงหมื่นตำลึงแล้ว และมีแต่ราคาไม่มีของ จะหามาสักได้ขวดก็ยังยาก มิน่าเถ้าแก่เฟิงถึงได้ดูร้อนใจถึงเพียงนั้น”

อวี้เสวี่ยจี เป็นน้ำหอมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงสตรีสูงศักดิ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ราคาสูงมาก แต่สำหรับสตรีแล้ว สิ่งนี้ให้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก เมื่อใช้บนร่างจะทำให้ผิวพรรณดุจหิมะ อ่อนนุ่มเรียบลื่นขาวเนียนใสอย่างแท้จริง หากใช้ไปนานๆ ร่างกายก็ยังจะส่งกลิ่นหอมเย็นไม่เหมือนใครออกมาและให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตัว จึงได้ชื่อว่าอวี้เสวี่ยจี[1]

อ้อ หากมีริ้วรอย ก็ยังสามารถทำให้ริ้วรอยจางหายไปได้ด้วย

แต่อวี้เสวี่ยจีที่ให้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์นี้หายากมาก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสูตรลับอะไร แม้แต่ส่วนผสมก็หายากมาก ดอกอวี้จีสมุนไพรหลักของอวี้เสวี่ยจีเหมือนกับดอกบัวหิมะ คือเติบโตในธารน้ำแข็งและจะต้องเสาะหา เพราะฉะนั้นกำลังคน อุปกรณ์ และเงินที่ต้องใช้นั้นล้วนแต่มหาศาล

ด้วยเหตุนี้อวี้เสวี่ยจีที่มีขนาดขวดประมาณนิ้วมือของสตรีจึงซื้อขายกันในราคาถึงหมื่นตำลึง และมีแต่คนอยากซื้อแต่ไม่มีของ ในช่วงสองปีมานี้ หากใครต้องการก็ต้องไปประมูลเอาที่โรงประมูลจิ่วเสียนเท่านั้น

การปรุงอวี้เสวี่ยจีที่ว่านั้นอันที่จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการหลอมยา เพียงแต่กระบวนการซับซ้อน การเติมวัตถุดิบแต่ละอย่างจะต้องใส่ใจในทุกขั้นตอนและพิถีพิถันในเรื่องความร้อน หากมีขั้นตอนไหนผิดพลาดไป อวี้เสวี่ยจีทั้งเตานั้นก็จะใช้ไม่ได้เลย

และมีแต่ฉินหลิวซีเท่านั้นที่ปรุงอวี้เสวี่ยจีได้

ส่วนตัวฉินหลิวซีเองไม่เพียงแต่เกียจคร้าน นางยังไม่มีความคิดที่จะก้าวหน้าใดๆ ด้วย ถึงกระนั้นใครก็ทำอะไรนางไม่ได้ เมื่อไม่มีทาง พวกเขาจึงได้แต่ต้องเคารพบรรพชนน้อยนี้

ยามนี้เพื่อดอกเฟิงหลิงที่ล้ำค่ากว่าดอกอวี้จีนั้น ฉินหลิวซีจึงต้องยอมโอนอ่อน

เฮ้อ เป็นปัญหาความยากจนทั้งนั้น

“เขาร้อนใจก็ให้ร้อนใจไปเถิด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ขัดสนเงินที่จะหาได้จากอวี้เสวี่ยจีเสียหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ย “การจะปรุงสิ่งนั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาถึงแปดชั่วยาม แถมยังไม่สามารถละสายตาได้อีก ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ สุขภาพร่างกายของข้าไม่ค่อยดี จะเหนื่อยมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นที่บำเพ็ญมาตลอดหลายปีนี้ก็สูญเปล่า”

ฉีหวงอดกลั้นที่จะไม่ขัดนางพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ท่านมีใจของพระโพธิสัตว์ ทนเห็นเถ้าแก่เฟิงร้อนใจไม่ได้”

“เฮ้อ ใครจะรู้จักข้าดีไปกว่าฉีหวง ข้าก็เลยห่างเจ้าไม่ได้เพราะอย่างนี้…” เสียงของฉินหลิวซีหยุดชะงักไปทันที รอยยิ้มของนางก็จางหายไปด้วยเมื่อมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเอามือไพล่หลังมองนั่นมองนี่อยู่ในเรือนของนาง

คนที่อยู่ในเรือนของนางนั้นหากจะบอกว่าเป็นแขกพิเศษก็ไม่เกินเลย พวกนางก็คือลูกพี่ลูกน้องหญิงของฉินหลิวซีนั่นเอง

ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ เห็นฉินหลิวซีแล้วก็รู้สึกอึดอัดและกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ สายตาทั้งหมดจับจ้องมาที่นาง

เสื้อผ้าของฉินหลิวซีไม่ได้ซับซ้อนและยิ่งไม่มีความหรูหรา แต่เนื้อผ้าล้วนมีคุณภาพดี ตอนนี้นางสวมชุดคลุมแขนกว้างสีฟ้าลายดอกไม้เมฆมงคล ชายกระโปรงปักดิ้นเงินดิ้นทองลายดอกลำโพง เอวบางเพรียวถูกรัดไว้ด้วยแถบผ้าไหมสองเส้นปล่อยชายห้อยลงมา สองมือไพล่หลัง หลังตั้งตรงสง่า

นางไม่ได้แต่งหน้า ผิวของนางขาวเนียนละเอียด ใบหน้าของนางไม่ได้ดูนุ่มนวลอ่อนโยน แต่กลับเป็นประเภทเย็นชาแข็งกระด้าง เส้นผมของนางมวยไว้ด้วยปิ่นไม้ท้อเพียงเท่านั้น ใบหน้าเรียบนิ่งเชิดขึ้น ดวงตาสงบสุกใสมองมาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แต่ยังคงดูสูงส่ง แววตาที่มองลงมาทำให้คนรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างลึกลับ

แปลกมากจริงๆ อนุวั่นมารดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิวซีงดงามมากจนเด็กสาวเหล่านี้รู้สึกละอายใจที่ไม่อาจเทียบได้ แม้แต่ฉินหมิงฉุนก็หน้าตางดงามมาก แต่ฉินหลิวซีกลับดูเหมือนจะเลือกเดินทางอื่น นางไม่มีความงามเช่นนั้น แต่เมื่อสายตาของนางเคลื่อนไหว ใบหน้าของนางซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรีกลับดูเย่อหยิ่งสุดแสน

หญิงสาวชาวบ้านคนนี้กลับทำให้พวกนางเหมือนหญิงสาวชาวบ้านมากกว่าเสียอีก!

[1] อวี้เสวี่ยจี (玉雪肌) คำว่าอวี้ (玉) คือ หยก คำว่าเสวี่ย (雪) คือ หิมะ และคำว่าจี (肌) แปลว่า ผิว