ตอนที่ 20 หมอนั่นสวมเขาฉัน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 20 หมอนั่นสวมเขาฉัน

ทุกคนต่างก็มีสี่บุคลิกที่แตกต่างกัน

บุคลิกบ้าๆ บอๆ ต่อหน้าเพื่อน บุคลิกสมบูรณ์แบบในสายตาของคนรัก ยามอยู่ลำพังก็อ่อนแอ แล้วก็ยังมีบุคลิกนิ่งเงียบต่อหน้าผู้คน

จะต้องเสแสร้งสักหน่อย

ทว่าท่าทางที่หลินเยวียนคุยโทรศัพท์กับแม่นั้นต่างออกไปจากยามปกติที่เขามักจะนิ่งเงียบสงบปากสงบคำ หลินเยวียนนึกว่าเขาจงใจเลียนแบบเจ้าของร่างเดิม แต่มาคิดดูให้ดีก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด เพราะความรู้สึกเหล่านี้ออกมาจากใจ

หลินเยวียนลังเลอยู่สักพัก

แต่เขาตัดสินใจว่าจะติดต่อพี่สาวไปเดือนหน้า เดือนนี้เขาไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้พี่สาว มิหนำซ้ำสนทนากับคนในครอบครัวจำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญ หลินเยวียนต้องเตรียมสภาพจิตใจก่อนถึงจะกล้าโทรหาแม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่เจ้าของร่างตัวจริง

หลังจากนี้จะทำยังไงดี

หลินเยวียนเลือกที่จะเลี้ยงอาหารซย่าฝานและเจี่ยนอี้ในฐานะเพื่อนตาย คอยดูแลหลินเยวียนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด หลินเยวียนได้เงินมา ย่อมอยากเลี้ยงอาหารดีๆ สองคนนี้สักมื้อ เขาจึงจองภัตตาคารซึ่งค่อนข้างหรูใกล้วิทยาลัยเป็นการเฉพาะ ราคาเฉลี่ยต่อคนตกประมาณเกือบสองร้อยหยวน

ช่วงบ่าย ทั้งสามคนมาถึงภัตตาคาร

ก่อนจะเข้าไปในภัตตาคาร เจี่ยนอี้และซย่าฝานดึงรั้งหลินเยวียนสุดชีวิต ด้วยกลัวว่าที่นี่จะแพงเกินไป ทำให้เขาถังแตกได้ น่าเสียดายที่คำโน้มน้าวไม่เป็นผลสำเร็จ เหตุผลของหลินเยวียนคือเขามีตำแหน่งเป็นตัวเป็นตนในบริษัทแล้ว ได้เงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นหยวน

“อ๋อ”

เจี่ยนอี้ถึงกระจ่างขึ้นมา เอ่ยหยอกล้อหลินเยวียนในทันทีว่า “ถึงว่าเดือนนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์เล่นหายไปเลย ที่แท้ก็ไปทำงานที่สตาร์ไลท์ คงไม่ได้ถูกพวกผู้บริหารระดับสูงเลี้ยงจนอิ่มใช่มั้ย ถึงกับให้เงินเดือนนักศึกษาสูงขนาดนี้”

“หลินเยวียนเก่งมากเลย”

ซย่าฝานโต้แย้งเจี่ยนอี้ ต่อให้ร้องเพลงไม่ได้ แต่เรื่องเสียงเพลงหลินเยวียนก็มีความรู้แน่นทีเดียว ทว่าเธอก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง เพียงแค่เดาว่าสตูดิโอหรือแผนกอะไรทำนองนี้เหมาะกับความสามารถของหลินเยวียน

หลินเยวียนยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

ในตอนนั้นอยู่ๆ เจี่ยนอี้ก็สะกิดแขนของหลินเยวียน มองไปยังหญิงสาวซึ่งเพิ่งจะนั่งลง “เฮ้ย นั่นมันกู้ซีนางฟ้าเปียโนของวิทยาลัยเราไม่ใช่เหรอ”

หลินเยวียนมองตามสายตาของเจี่ยนอี้ไป พบว่าเด็กสาวคนที่เจี่ยนอี้พูดถึงก็คือคนที่วิจารณ์เขาว่า ‘สกิลเปียโนอ่อนหัด’

“สนใจเหรอ”

ซย่าฝานกล่าวกลั้วหัวเราะ “คนเขาเป็นถึงนักเปียโนที่อายุน้อยที่สุดซึ่งเคยแสดงในโถงทองคำ ในวงการขนานนามว่าต่อไปจะต้องได้เป็นนักเปียโนระดับอัจฉริยะ แถวผู้ชายที่ตามจีบยาวจากปากประตูโรงเรียนจนถึงภัตตาคารนี้ นายยังไม่เข้าเกณฑ์”

เจี่ยนอี้ไม่รู้ไม่ชี้ “ประตูโรงเรียนห่างจากภัตตาคารนี้แค่ 3.45 กิโล”

ซย่าฝานกลอกตา “เถียงเก่ง”

เจี่ยนอี้ตอบ “ไม่ใช่เธอที่ด้อยค่าฉันก่อนเหรอ”

“ฉันจะไปตักไอศกรีม”

หลินเยวียนลุกขึ้น ปลีกตัวออกจากสนามรบชั่วคราว

แม้ว่าภัตตาคารแห่งนี้จะค่อนข้างแพง แต่ไอศกรีมที่นี่กินได้ตามสบาย รสชาติก็ไม่เลว ก่อนหน้านี้เขากินไปแล้วนิดหน่อย รู้สึกชอบรสชาติมาก

เมื่อมาถึงหน้าตู้ไอศกรีม

หลินเยวียนก็พบว่าไอศกรีมในตู้กำลังจะหมดแล้ว

เขาหยิบช้อนกำลังจะตัก แต่ฝั่งตรงข้ามกลับยื่นช้อนออกมาชนเข้ากับช้อนของหลินเยวียนพอดี

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมา

หลินเยวียนมองหน้าอีกฝ่าย นึกได้ว่าเจี่ยนอี้เพิ่งเอ่ยถึงชื่อของอีกฝ่าย “กู้ซี?”

“นายเองเหรอ”

กู้ซีจำหมอนี่ที่ครั้งก่อนถือวิสาสะมาใช้เปียโนของตนได้ เลิกคิ้วพลางพูดแดกดัน “ไม่เสแสร้งแล้วเหรอ ไหนครั้งก่อนบอกว่าไม่รู้จักฉัน?”

หลินเยวียนไม่สนใจเธอ เตรียมตัวตักไอศกรีม

กู้ซีขวางช้อนของเขาไว้ “ฉันมาก่อน”

หลินเยวียนตอบ “แต่เธอไม่ได้ตัก”

กู้ซีเริ่มโมโหแล้ว “ฉันกำลังจะตัก”

หลินเยวียนครุ่นคิด “งั้นคนละครึ่ง”

กู้ซีจ้องมองหลินเยวียนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ผุดยิ้มเล็กน้อย “ให้นายก็ได้”

“ขอบคุณ”

หลินเยวียนไม่ได้เกรงใจ ตักไอศกรีมทั้งหมดแล้วเดินไป

กู้ซีสีหน้างงงัน มองหลินเยวียนซึ่งตักไอศกรีมไปทั้งหมด

ที่ตนพูดว่า ‘ให้นายก็ได้’ เพราะเป็นกลยุทธ์ถอยเพื่อบุกอย่างหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าผู้หญิงยอมอ่อนข้อให้ คนทั่วไปก็จะตอบว่า ‘ไม่เป็นไร เธอกินเถอะ’

แต่หลินเยวียนกลับไม่ได้วางไพ่เหมือนปกติ

เมื่อกลับมาถึงที่นั่ง เจี่ยนอี้กับซย่าฝานเลิกตีกันแล้ว ทั้งสองคนกำลังมองหลินเยวียนด้วยความประหลาดใจ

หลินเยวียนถาม “มีอะไร”

เจี่ยนอี้ยกนิ้วโป้งให้ “เนียนสุดยอด!”

ซย่าฝานก็พยักหน้าตามไปด้วย “สหาย นายเรียกร้องความสนใจจากเธอได้สำเร็จ”

“ใช่”

เจี่ยนอี้ทำหน้าตามีเลศนัย “ตั้งแต่ตักไอศกรีมกลับมา เธอมองนายหลายรอบแล้ว”

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเจ้าสองคนนี้

…..

กู้ซีเดินกลับมายังที่นั่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

เพื่อนถามว่า “ไอศกรีมล่ะ”

กู้ซีมองหลินเยวียน ตอบว่า “ถูกผู้ชายไร้มารยาทแย่งไปแล้ว”

เพื่อนมองไปทางหลินเยวียน “คนที่ใส่เสื้อสีขาวอะนะ? หล่อมากเลย เธอรู้จักเหรอ”

กู้ซีหรี่ตาลง แววตาระคนความอาฆาตแค้น “หมอนั่นสวมเขาฉัน”

เพื่อนตกใจจนเกือบพ่นเครื่องดื่มออกมา

กู้ซีรู้ว่าเพื่อนเข้าใจผิดแล้ว จึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “เขาใช้เสี่ยวหลี”

เสี่ยวหลีเป็นชื่อที่กู้ซีตั้งให้เปียโน

นั่นคือเปียโนที่เป็นของกู้ซี แต่กลับถูกหลินเยวียนใช้ไปแล้ว จึงทำให้กู้ซีรู้สึกเดือดดาลเหมือนถูกสวมเขา

เพื่อนหลุดหัวเราะออกมาทันที “แล้วดูศัพท์ที่เธอพูดเข้าสิ”

“เอาเถอะๆ รีบกินก่อน ตอนบ่ายยังมีสัมภาษณ์อีก”

กู้ซีเบ้ปากพูด

……

ช่วงบ่าย

นักข่าวกลุ่มหนึ่งเข้าไปในวิทยาลัย คนที่พวกเขาจะต้องสัมภาษณ์วันนี้คือนักศึกษาปีสองคนหนึ่ง

กู้ซี

ฉินโจวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของดนตรี

หลายปีที่ผ่านมา มีอัจฉริยะด้านดนตรีถือกำเนิดขึ้นมากมาย หนึ่งในคนที่เจิดจรัสที่สุดในก็นั้นคือเด็กสาวที่ชื่อว่ากู้ซี!

และประวัติชีวิตอันเป็นตำนานที่สุดของเธอก็คือในตอนที่เธออายุสิบห้าปีได้เข้าไปแสดงเปียโนเพลง ‘ใจปรารถนา’ ในห้องโถงทองคำ เพียงครั้งเดียวก็สะเทือนทั้งวงการ!

แม้แต่อบิเกลผู้ประพันธ์เพลง ‘ใจปรารถนา’ เองก็ยังกล่าวชมเชยในความสามารถของกู้ซี

ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเปียโนระดับสูงคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ฝีมือเปียโนของกู้ซีนั้นห่างจากระดับปรมาจารย์เพียงเส้นบางกั้น

ในฉินโจว

เวทีดนตรีที่สูงที่สุดไม่ได้มีเพียงเวทีเดียว

แต่ห้องโถงทองคำนั้นเป็นหนึ่งในเวทีระดับยักษ์ใหญ่ในใจของผู้คนนับไม่ถ้วน

อายุสิบห้าก็ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีระดับนี้ก็นับได้ว่าเป็นตำนาน แถมยังได้รับการยอมรับจากผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง!

ฉะนั้นฉายา ‘นางฟ้าเปียโน’ ที่กู้ซีได้มานั้นไม่ได้เกินจริง

เพียงแต่โดยปกติแล้วกู้ซีจะไม่ให้สัมภาษณ์ วันนี้โรงเรียนโน้มน้าวให้กู้ซีให้สัมภาษณ์สักครั้ง เพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับวิทยาลัยศิลปะฉินโจว

สถานที่สัมภาษณ์นั้นไม่ไกลจากห้องเปียโน

นั่นเพราะประเดี๋ยวจะได้ถ่ายภาพกู้ซีกับเปียโนของเธอได้สะดวก

“ได้ยินว่าปีหน้าคุณจะได้รับคำเชิญจากห้องโถงทองคำเป็นครั้งที่สอง คุณมีอะไรอยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”

นักข่าวจ้องมองนักเปียโนมากพรสวรรค์ซึ่งหาโอกาสสัมภาษณ์ได้ยากเหลือเกิน

“ขอบคุณห้องโถงทองคำมากค่ะสำหรับการยอมรับ”

กู้ซีตอบไปตามสคริปต์สัมภาษณ์

นักข่าวถามต่อ “ครั้งก่อนคุณเล่นเพลง ‘ใจปรารถนา’ แล้วครั้งหน้าคุณเตรียมไว้หรือยังคะว่าจะเล่นเพลงอะไร”

“ปีนี้ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”

คำพูดนี้เป็นความจริง กู้ซียังไม่ได้คิดเลย

นักข่าวยิ้มเอ่ย “ในวงการมีนักประพันธ์มากมายที่กล่าวชมเชยคุณ ในใจมีนักประพันธ์ท่านไหนที่คุณอยากเชิญมาไหมคะ”

“มีเยอะเลยค่ะ แต่ยังไม่สะดวกเปิดเผย”

เหล่าพ่อเพลงนั้นมีมาตรฐานสูงมาก แต่ละคนยากที่จะเดาใจ ชมตนหนึ่งประโยคก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว

ก่อนที่ตนจะกลายเป็นนักเปียโนชื่อดัง ไม่มีใครสนใจตนเลยจริงๆ ต่อให้ตนจะได้ชื่อว่าเป็น ‘นางฟ้าเปียโน’ ก็ตาม

นี่คือเรื่องจริง

เหล่าพ่อเพลงระดับสุดยอด แม้แต่เหล่านักเปียโนชื่อดังก็ต้องพยายาม!

เป็นเพราะปรมาจารย์ที่ช่ำชองด้านการเล่นดนตรีนั้นมีจำนวนมากกว่าพ่อเพลงระดับสูงมาก

สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยระบบในวงการ

ความเป็นเลิศในการสร้างสรรค์ผลงานของเหล่าพ่อเพลงนั้น มีความพยายามเพียงครึ่งเดียว ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งล้วนมาจากพรสวรรค์ที่ผู้คนต้องอิจฉาจนน้ำลายไหล

ทว่านักเปียโนนั้นต่างออกไป

พรสวรรค์สำคัญต่อนักเปียโนที่มีชื่อเสียงก็จริง แต่การฝึกฝนอยู่เป็นนิจ ถึงจะทำให้นักเปียโนนั้นคล่องแคล่วได้

ในเส้นทางสายนี้

หากได้ขึ้นเวทีระดับห้องโถงทองคำแล้วไม่ฝึกฝนจนชำนาญมือไปเรื่อยๆ ต่อให้ความสามารถไต่ถึงระดับปรมาจารย์นักเปียโนแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างคนที่เคยทำผิดพลาด

ถึงอย่างไร

คนที่ได้เข้าร่วมงานดนตรีห้องโถงทองคำนั้นโสตประสาตย่อมต้องดีมาก เล่นผิดพลาดไปเสียงเดียวก็ถูกจับได้แล้ว

แต่ว่าเรื่องใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป

มีขาใหญ่บางจำพวกที่นั่งลงเล่นเปียโนเมื่อไรก็ได้ และเล่นออกมาได้น่าทึ่ง ทว่ากู้ซีก็ยังห่างไกลกับระดับนี้อยู่มากทีเดียว

“งั้นบอกได้ไหมคะว่าช่วงนี้คุณฟังผลงานของอาจารย์ท่านไหนบ่อย”

นักข่าวถามซักไซ้

กู้ซีกำลังจะตอบคำถามตามบท ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคยอยู่บ้างลอยเข้ามาในโสตประสาท

เป็นบทเพลงนั้นที่ได้ยินครั้งก่อน!

คนคนนั้นปรากฏตัวที่ห้องเปียโนแล้ว!

ด้วยความตื่นเต้นดีใจ กู้ซีก็ไม่สนใจการสัมภาษณ์ของนักข่าวอีกต่อไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อึ้งงันอยู่นั้น เธอสาวเท้าวิ่งไปยังห้องเปียโนด้วยสีหน้าเปี่ยมความตื่นเต้น

“ในที่สุดวันที่ฉันรอก็มาถึง!”

เมื่อเดือนที่แล้วได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรก โสตประสาทของกู้ซีก็ถูกครอบงำเสียแล้ว

เธอไม่รู้ว่าเพลงที่คนนั้นเล่นเป็นเพลงที่เขาแต่งเองหรือเปล่า วันนั้นหลังจากลับถึงบ้าน กู้ซีก็ลองค้นหาดูเพลงใหม่

ของพ่อเพลงทุกคนทั่วทั้งโลก ผลคือหาเพลงที่ใกล้เคียงกันไม่ได้สักเพลงเดียว

และผลลัพธ์นี้ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของกู้ซี

พ่อเพลงบนบลูสตาร์ออกผลงานใหม่อะไร กู้ซีก็จะไปฟัง ไปเรียนรู้ในทันที

แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีครั้งไหนที่พ่อเพลงออกผลงานใหม่มาแล้วกู้ซีไม่เคยฟัง

ฉะนั้นแล้ว เมื่อมั่นใจว่าเพลงที่ตนได้ยินนั้นเป็นเพลงออริจินัลซึ่งยังไม่เคยถูกเผยแพร่มาก่อน กู้ซีจึงเริ่มจับตามองแล้ว

เพราะเธอเชื่อว่าผู้ที่เล่นเพลงนี้ในตอนนั้น ต้องเป็นคนระดับพ่อเพลงแน่

ใช่แล้ว

หลังจากวันนั้น กู้ซีจะมาเฝ้าอยู่ที่ห้องเปียโนทุกวัน เพราะหวังว่าจะได้พบกับผู้บรรเลงเพลงนั้นอีกสักครั้ง

แต่น่าเสียดายที่รออยู่ตั้งหลายวัน กู้ซีก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนคนนั้น

ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ พ่อเพลงลึกลับคนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

ในตอนนี้ เธอไหนเลยจะมีเวลามานั่งคุยกับนักข่าว

“เล่นเสร็จแล้ว? ทำไมถึงเร็วขนาดนั้น”

ยังไม่ทันได้ลงไปห้องเปียโนชั้นล่าง เพลงแปลกใหม่นั้นก็บรรเลงจบแล้ว กู้ซีไม่เพียงร้อนรน สับเท้าวิ่งสุดแรงเกิด

พลังทั้งตัวล้วนใช้ไปหมดเกลี้ยง

‘เปรี้ยง’

เธอชนเข้ากับคนคนหนึ่ง

หลินเยวียนลูบหน้าอกซึ่งโดนชนจนเจ็บ มองไปยังกู้ซีก็พลันรู้สึกจนปัญญา ก็แค่ไอศกรีมนิดเดียวไม่ใช่เหรอ ถึงขั้น

ต้องแก้แค้นเลย?

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ…”

กู้ซีรีบขอโทษขอโพย แต่เมื่อเห็นหน้าหลินเยวียนก็อึ้งไป ส่วนฝีเท้าก็ชะงักไปชั่วขณะ

หมอนี่อีกแล้วเหรอ

หลังจากถลึงตาใส่หลินเยวียนครั้งหนึ่ง กู้ซีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งตรงไปยังห้องเปียโน เมื่อเทียบกับหมอนั่นแล้ว

พ่อเพลงคนนั้นสำคัญกว่าไม่รู้กี่เท่า!

หลินเยวียนขมวดคิ้ว

ทำผิดแล้วคิดหนีเหรอ?

ตอนเที่ยงเจอกู้ซี เขาเลยนึกถึงเปียโน แล้วก็คันไม้คันมือขึ้นมา ช่วงบ่ายเลยตั้งใจมาเล่นเปียโนซะหน่อย ไม่คิดว่าจะถูกกู้ซีล้างแค้นซะอย่างนั้น

แต่ว่าเห็นแก่ไอศกรีม เขาจึงไม่ได้พูดอะไร แล้วหันหลังเดินจากไป

ส่วนกู้ซีก็พุ่งไปยังห้องเปียโนอย่างเร็วรี่ราวติดปีกบิน

พรึ่บๆๆ!

ประตูบานแล้วบานเล่าถูกเธอเปิดออก

ทว่า ในห้องเปียโนมีคนเยอะเหลือเกิน เธอหาพ่อเพลงที่ตนกำลังหาอยู่ไม่เจอ แม้ว่าจะถามทีละคน ก็ยังไม่ได้

ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ คนพวกนี้ไม่ได้รับรู้เลยว่ามีพ่อเพลงคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้พวกเขา แต่กลับมีคนไม่น้อยที่กระเหี้ยนกระหือรือเข้ามาสนทนากับเธอ

“โอ๊ย!”

เธอเกาศีรษะตนเองอย่างแรงจนผมเผ้ายุ่งเหยิง สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง “ต้องโทษหมอนั่นที่เข้ามาขวางทาง!”

โอกาสที่พ่อเพลงจะมาที่ห้องเปียโนนั้นมีน้อยเหลือเกิน!

ตนอยากรอ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน!

ถ้าหากไม่ใช่เพราะหมอนั่นมาขวางทาง ไม่แน่ว่าตนอาจได้เจอพ่อเพลงก็ได้!

ในตอนนั้น อาจารย์ในวิทยาลัยและบรรดานักข่าวต่างก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา “มีเรื่องอะไรเหรอกู้ซี ทำไมต้องรีบวิ่งออกมาล่ะ”

กู้ซีสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมาทันใด

เรื่องตัวตนของพ่อเพลง คนธรรมดาอย่างพวกคุณควรรู้ด้วยเหรอ

คำพูดที่ว่าคนใกล้ชิดที่สุดได้ผลประโยชน์ก่อนน่ะ เคยได้ยินไหม

เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้

นี่เป็นพ่อเพลงของฉัน ของฉัน!

ใครก็ห้ามมาแย่งกับฉัน!

กู้ซีข่มกลั้นความหงุดหงิดไว้ในใจ พูดอย่างใจเย็นว่า “ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อกี้เพิ่งนึกออกว่าทำของหล่นไว้ที่ห้องเปียโน เลยมาเก็บ”

“อ้อ”

นักข่าวตบอกเบาๆ “แล้วพวกเราไปดูเปียโนของคุณได้ไหม ได้ยินว่าคุณใช้เปียโนตัวนี้เพียงตัวเดียวมาตลอด

…”

“ถ่ายรูปได้นะคะ แต่ห้ามแตะ”

กู้ซีกำชับประโยคนี้เป็นพิเศษ

…………………………………