บทที่ 28 ย่ำเดินยามราตรีโดยไร้แสงทิวา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 28 ย่ำเดินยามราตรีโดยไร้แสงทิวา

วันนี้ ถิงอวี้ที่ใช้ชีวิตในผืนอินทนิลมาตั้งแต่เด็กจนไม่รู้ความยากลำบากในโลกมนุษย์ได้นอนหลับฝัน

ในฝัน เฉินเฟยหยวนกำลังสร้างความลำบากใจให้สวี่ชิง นางโกรธมาก

จนกระทั่งรุ่งสาง ถิงอวี้ที่ตื่นจากฝัน อารมณ์ก็แตกต่างไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย หลังจากมาถึงกระโจมปรมาจารย์ไป่ ตอนที่นางนั่งท่องตำรายา ใจก็ยังดูเหม่อลอยอยู่บ้าง เงยหน้ามองออกไปนอกกระโจมอยู่เนืองๆ

จนกระทั่งมองเห็น…เฉินเฟยหยวน

ถิงอวี้นึกย้อนคิดไปถึงฝันเมื่อวาน

เฉินเฟยหยวนหาวหวอด เดินขยี้ตาเข้ามาในกระโจม ตอนที่ก้นกำลังจะหย่อนลงข้างๆ ถิงอวี้ เบาะรองนั่งก็ถูกถิงอวี้ย้ายออกไป

เฉินเฟยหยวนงงงัน มองไปทางถิงอวี้

“เจ้าทำอะไร”

“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” ถิงอวี้คร้านจะสนใจเฉินเฟยหยวน ชี้ไปจุดที่ปกติสวี่ชิงนั่ง

“อะไรกันเล่า!” เฉินเฟิยหยวนไม่พอใจขึ้นมา ถลึงตาโต

“ก็เจ้าไม่ยอมตั้งใจเรียน แล้วช่วงนี้เจ้าก็ลาบ่อย เจ้านั่งตรงนี้ข้ารำคาญ พอใจหรือยัง”

ดวงตาเมล็ดซิ่งของถิงอวี้จ้องมอง พูดจารัวเร็ว จนทำให้เฉินเฟยหยวนที่ได้ฟังอึ้งกิมกี่อยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็พึมพำสองสามประโยค เกรงจะยั่วโมโหอีกฝ่าย จากนั้นจึงนั่งลงตรงที่นั่งของสวี่ชิงอย่างงุ่นง่าน

“เฮ้อ ถิงอวี้ เจ้านี่…” พอนั่งลง เฉินเฟยหยวนก็เอ่ยขึ้น และไม่รอให้เขาพูดจบ ถิงอวี้ทางนั้นก็ส่งสายตาไม่พอใจ

“อย่ามาพูดคำว่าเฮ้อนะ คนอื่นได้ยินเข้าแล้วเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“หา? ไอ้คำว่าเฮ้อนี่มันทำไมหรือ” ตอนที่เฉินเฟยหยวนงุนงง สวี่ชิงก็เปิดประตูกระโจมเดินเข้ามา

พอเห็นสวี่ชิง ใบหน้าถิงอวี้ก็ปรากฏลักยิ้มสองข้าง เผยรอยยิ้มออกมา ตบลงบนเบาะข้างๆ ที่เดิมทีเป็นที่ของเฉินเฟยหยวน

“ศิษย์น้อง เจ้ามานั่งตรงนี้”

สวี่ชิงงงงัน เฉินเฟยหยวนก็อึ้งไปครู่หนึ่ง

“ยังงงอะไรกันอยู่ อาจารย์จะมาแล้ว เจ้ารีบมานั่งเร็วเข้า” ถิงอวี้เร่งรัด

สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย มองถิงอวี้ จากนั้นก็มองไปยังเฉินเฟยหยวนที่นั่งอยู่ที่นั่งของตนเอง

และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ปรมาจารย์ไป่จะมาแล้วจริงๆ สวี่ชิงจึงทำได้เพียงนั่งลงข้างถิงอวี้ นั่งลงในที่ของเฉินเฟยหยวนในอดีต

เฉินเฟยหยวนบื้อใบ้ไปแล้ว เมื่อชี้ไปยังสวี่ชิงแล้วจะพูดอะไรขึ้นมา ถิงอวี้ก็หันหน้ามาถลึงตาโมโหใส่เขา

“หุบปาก!”

“ข้ายังไม่ได้พูดเลย” เฉินเฟยหยวนจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเอาเลย ขณะคิดจะพูดต่อ ประตูกระโจมก็เปิดออก ปรมาจารย์ไป่เดินเข้ามา

เฉินเฟยหยวนทำได้เพียงกล้ำกลืนสิ่งที่ตนเองจะพูดลงไป นั่งลงกระฟัดกระเฟียดตรงนั้น ส่วนถิงอวี้อีกด้านก็ดูสุขใจเหลือเกิน และสวี่ชิงนั้นกลับอยู่ไม่สุขเหมือนนั่งบนเบาะเข็ม

และปรมาจารย์ไป่ที่เดินเข้ามา หลังจากเห็นตำแหน่งที่สวี่ชิงนั่ง และมองเห็นถิงอวี้กับเฉินเฟยหยวนที่เป็นสนามอารมณ์ ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้ม ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เริ่มทดสอบ

เฉินเฟยหยวนอึกอักจึงถูกตำหนิไปชุดหนึ่งเหมือนเช่นเคย ถิงอวี้กลับเสร็จสิ้นการทดสอบอย่างภาคภูมิใจ และจ้องมองอย่างคาดหวังไปทางสวี่ชิง

ทว่าการตอบของสวี่ชิงก็สมบูรณ์แบบเหนือกว่า กระทั่งนำเอาข้อสงสัยบางส่วนของตนเองถามออกมาระหว่างที่ตนเองทดสอบอีกด้วย

ขั้นตอนทั้งหมด ทำให้เฉินเฟยหยวนหงุดหงิดถึงขีดสุด

ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นบทเรียนวันนี้ เขาก็วิ่งออกจากกระโจมไปเป็นคนแรก เขารู้สึกว่าวันนี้ตนเองถูกหยามหมิ่น

สวี่ชิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นตอนเรียนก็ลำบากใจเช่นกัน ตอนนี้พอลุกขึ้นจะออกไปหลังจากคารวะปรมาจารย์ไป่ ก็ถูกถิงอวี้ตะโกนเรียกไว้

“ศิษย์น้อง ทำไมหน้าเจ้ามอมอีกแล้วล่ะ”

ถิงอวี้ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาคิดจะเข้าไปเช็ดให้ สวี่ชิงก็เลิกคิ้วขึ้น รีบปลีกตัวจากไปทันที

จนกระทั่งเขาออกไปแล้ว สีหน้าของถิงอวี้จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา มองไปยังปรมาจารย์ไป่ที่ชมละครอยู่ข้างๆ

“อาจารย์ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงตัวมอมแมมทุกวันกัน ที่ข้าช่วยเขาก็เพราะเจตนาดีแท้ๆ”

ปรมาจารย์ไป่หัวเราะร่า ลูบหัวเด็กสาวอย่างรักใคร่ เอ่ยขึ้นเสียงเบา

“เพราะว่า สำหรับคนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความขมขื่นและอันตรายแล้ว การถูกจับตามองมากเกินไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีน่ะสิ”

ถิงอวี้เหมือนครุ่นคิด พยักหน้าลง

สวี่ชิงไม่ได้ยินคำพูดของปรมาจารย์ไป่ แต่สิ่งที่เขาคิดในใจก็เป็นเช่นเดียวกับที่ปรมาจารย์ไป่ว่ามา

เขาที่เติบโตมาจากถ้ำยาจก เข้าใจอย่างดีว่ายิ่งไม่ถูกจับตามองก็ยิ่งปลอดภัย และคนรอบด้านส่วนใหญ่ก็ล้วนสกปรกกันทั้งนั้น ถ้าเขาแตกต่างจากคนอื่นขึ้นมา ก็เหมือนกับคบไฟยามค่ำคืน อันตรายก็ยิ่งเพิ่มพูนเข้าไปอีก

นี่เป็นหลักการเอาตัวรอดตั้งแต่เล็กจนโตของเขา คนที่ไม่ยอมทำตามเหล่านั้น นอกจากจะมีพลังสูงส่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ได้ไม่นาน

และเพราะเหตุนี้ สวี่ชิงจึงมีนิสัยชอบทำเนื้อตัวให้สกปรก เขาจำเป็นต้องหลอมรวมเข้ากับสิ่งแวดล้อม ทำให้ตนเองไม่เตะตา

เหมือนนักล่าที่ซ่อนตัว มีเพียงตอนที่ลงมือเท่านั้นจึงจะเผยความเฉียบคมออกมา

ตอนนั้นเอง สวี่ชิงที่ออกจากฐานที่มั่นจนมาถึงชายแดนพื้นที่ต้องห้ามก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาหยิบเอาใบไม้เน่าบางส่วนจากในป่า ขยี้จนเละแล้วลูบไปบนตัว ทำให้ร่างกายตนเองหลอมรวมกับธรรมชาติมากที่สุด ค่อยๆ เหยียบย่างเข้าสู่พื้นที่ต้องห้าม

ถึงแม้หัวหน้าเหลยจะไปอยู่ในเมืองแล้ว แต่สวี่ชิงก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะค้นหาดอกลิขิตฟ้า

และการเพิ่มพูนของพลังบำเพ็ญ พลังเพิ่มขึ้น ประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมของเขาในตอนนี้ ทั้งยังมีความรู้ทางด้านสมุนไพรอีก กระทั่งความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาของเขา ทำให้เขาพบกับอันตรายน้อยลงบ้างในพื้นที่รอบนอกป่าพื้นที่ต้องห้าม

ดังนั้นขอบเขตที่สวี่ชิงค้นหา จึงไม่ได้หยุดแค่ที่ศาลเจ้าอีกแล้ว แต่ยังค่อยๆ เข้าไปค้นยังส่วนที่ลึกขึ้น

แม้อันตรายจะมากขึ้น แต่การลับฝีมือเองก็ทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สมุนไพรก็เก็บเกี่ยวได้มากขึ้นเช่นกัน

เพียงแต่แม้สมุนไพรจะมีมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสมุนไพรหยินเหมือนกับพื้นที่รอบนอก

และสมุนไพรพิษที่มีจำนวนมาก ก็ทำให้ความรู้สมุนไพรของสวี่ชิงอยู่ในด้านยาพิษเสียส่วนใหญ่ ขณะที่มันยิ่งยอดเยี่ยมขึ้น ทักษะการสลายพิษของเขาก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เขาถึงกับไปยังร้านเสื้อผ้าซื้อเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยกระเป๋ามาตัวหนึ่งเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ และในกระเป๋าทุกใบล้วนมียาพิษที่แตกต่างกันใส่ไว้

ส่วนถุงมือสีดำที่ได้มาจากถุงหนังของหัวหน้าเงาโลหิต สวี่ชิงก็สวมไว้ด้วยเช่นกัน และรู้สึกว่าคล่องมือขึ้นเรื่อยๆ

ถุงมือนี้ทั้งทำให้พลังหมัดสังหารของเขาแกร่งขึ้น และยังมีประโยชน์ในการสกัดกั้นพิษระดับหนึ่งด้วย ดังนั้นจึงกลายเป็นอาวุธคู่กายเขาเช่นเดียวกับเหล็กแหลม เหมือนกับกริชที่กางเขนมอบให้

แสงตะวันจะลับขอบฟ้า สวี่ชิงที่ค้นคว้าเรื่องพิษเสร็จสิ้นไปอีกวัน ก็เดินออกมาจากห้องยาเล็กๆ ในหุบเขา จัดระเบียบอาวุธและพิษของตนเอง แล้วเขาก็ค้อมเอวลงเหมือนแมวพุ่งตรงไปยังศาลเจ้า

ทุกครั้งก่อนออกจากพื้นที่ต้องห้าม เขาจะไปยังศาลเจ้าก่อนครั้งหนึ่ง เพื่อค้นหาหินขจัดแผลเป็น

แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยสมดังหวังเลยสักครั้ง แต่เขาเคยค้นคว้าหินชนิดนี้ไว้ จึงรู้ว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เปล่งประกายเจ็ดสี พบเห็นได้บางครั้ง ดังนั้นจึงยืนหยัดมาจนถึงครั้งนี้…

หลังจากเข้ามาในศาลเจ้า ภายใต้แสงโพล้เพล้นั่น เขาก็มองเห็นตำแหน่งหน้าผากของรูปปั้นหินที่ห่างออกไปเหมือนมีประกายแสงเจ็ดสีเจิดจ้าออกมา

สวี่ชิงจ้องเขม็ง ตรวจสอบรอบด้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สังเกตไปยังสิ่งที่ตนเองแอบวางไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากพบว่ายังสมบูรณ์ดี เขาจึงกระโดดไปยังหลังคาศาลเจ้า ย่อตัวลงเพื่อสังเกตอีกครั้ง

ท้ายสุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย จึงโยกตัวพุ่งเข้าไปยังส่วนหัวของรูปปั้นหิน

เมื่อไปถึง เขาก็มองเห็นในรอยแตกตรงหน้าผาก มีก้อนหินเจ็ดสีเกิดขึ้นมาก้อนหนึ่ง

หินก้อนนี้น่าจะเคยเป็นหินธรรมดา แต่อยู่ในศาลเจ้าลึกลับแห่งนี้ วันนี้จึงแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมด้วยการชะล้างของกาลเวลา

สวี่ชิงรีบร้อนหยิบมันขึ้นมา จากนั้นก็ค้นหารอบๆ อย่างรวดเร็ว จนค้นหาไปทั่วทั้งหมู่ศาลเจ้า หินเช่นนี้ เขาพบถึงหกก้อน

มองไปยังหินในมือ สวี่ชิงถอนหายใจยาว ดอกลิขิตฟ้ากับหินขจัดแผลเป็นสองสิ่งนี้ในที่สุดเขาก็หาพบแล้วอย่างหนึ่ง

หลังจากเก็บหินหกก้อนนี้อย่างระมัดระวัง สวี่ชิงก็มองไปยังหมู่ศาลเจ้าผาดหนึ่ง ค้อมตัวลงคารวะ จากนั้นจึงทะยานตัวจากมาอย่างรวดเร็ว หายเข้าไปในป่าที่ห่างออกไป

วิ่งทะยานมาตลอดทาง ร่างของสวี่ชิงก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตามยอดไม้

ม่านราตรีคืบคลานมาถึง เสียงสัตว์ร้ายคำรามก้องสะท้อน จังหวะเท้าเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าของเขาไม่เปลี่ยน วิ่งใกล้เข้าชายป่ามากขึ้นทุกที

ผ่านไปไม่นาน สวี่ชิงก็กระโจนมาอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง คิดจะใช้เป็นแรงดีดตรงไปข้างหน้าในพริบตา จู่ๆ บ่อโคลนข้างๆ ก็ระเบิดขึ้น งูเหลือมเขายักษ์ตัวหนึ่งพุ่งออกมา อ้าปากกว้างคิดจะกลืนกินตัวเขา

ร่างของมันใหญ่โตกว่าที่เขาเจอในฐานที่มั่นวันนั้นเสียอีก

เผชิญหน้ากับการลอบโจมตีเช่นนี้ สวี่ชิงไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เพียงยกมือขวาขึ้นแล้วดีดลงไปบนหัวของงูเหลือมเขายักษ์ที่พุ่งเข้ามา

เสียงโพละดังขึ้น งูเหลือมเขายักษ์ไม่อาจทานทนไหว เสียงคำรามดุร้ายที่เพิ่งจะดังขึ้นก็หยุดลงฉับพลัน ผิวหนังอันแข็งแกร่งของมันก็ไม่อาจทนรับพลังของสวี่ชิงได้ หัวระเบิดเลือดเนื้อแตกกระจายไปทั่วสารทิศ

ทั่วทั้งร่างแตกสลายในชั่วพริบตา จนกลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง

มีเพียงดีของมัน…ที่ถูกรักษาไว้อย่างดี ร่วงลงมาจากหมอกเลือด สวี่ชิงรับเอาไว้ในมือ แล้วโยกตัวจากไป

สวี่ชิงเดินออกจากป่าเช่นนี้กลับมาถึงฐานที่มั่นในช่วงเช้า

ฐานที่มั่นมืดมิด ในช่วงเวลานี้มีแสงไฟไม่มาก สวี่ชิงเดินอยู่ในนี้ อารมณ์ที่ได้รับหินมาสงบลงตอนที่ใกล้ถึงที่พัก

ที่พักของเขาก็มืดมิดเช่นกัน มีเพียงสุนัขป่าสิบกว่าตัวนั้นลุกขึ้นจากพื้นกระดิกหางหลังจากที่รู้ว่าเขากลับมา

สวี่ชิงที่เดินเข้าไปในเรือน จ้องมองไปยังห้องของหัวหน้าเหลยอย่างเคยชินผาดหนึ่ง เดินเข้าไปในครัวเงียบๆ

จัดการอุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อวาน แล้วกลืนลงไปเพื่อให้อิ่มท้อง จากนั้นเมื่อเก็บกวาดเรียบร้อยก็เข้าไปในห้อง เขาก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมาเสียงหนึ่ง

“ไม่รู้ว่าหัวหน้าเหลยอยู่ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง น่าจะดีอยู่กระมัง ถ้าหากสุดท้ายยังหาดอกลิขิตฟ้าไม่พบ ข้าก็จะสะสมเหรียญวิญญาณอีกสักหน่อย แล้วเอาไปซื้อรายชื่อบ้าง”

สวี่ชิงงึมงำ หลับตาลง แล้วดำดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

วันถัดมา สวี่ชิงออกไปเรียนเช่นเคย

ถิงอวี้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ยังคงเหลือที่นั่งไว้ให้เขา ส่วนเฉินเฟยหยวนก็เหมือนจะยอมจำนนแล้ว จ้องตาปริบๆ ไปหาสวี่ชิงที่อยู่บนที่นั่งตนเอง

บทเรียนเสร็จสิ้น ถิงอวี้เองก็ไม่เอ่ยปากจะเช็ดหน้าเขาอีก แววตาเผยความเข้าใจมากขึ้นแล้วบางส่วน

สวี่ชิงสัมผัสความเข้าใจนี้ได้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย บอกลากับปรมาจารย์ไป่

ขณะออกจากกระโจมสวี่ชิงลูบหินก้อนเล็กที่อยู่ในถุงหนัง เดินตรงไปยังร้านของชำที่เด็กสาวคนนั้นอยู่

แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ เขาก็เห็นว่าด้านนอกร้านของชำ มีคนแปลกหน้าอยู่กลุ่มหนึ่ง!

เสื้อผ้าของพวกเขามีเอกลักษณ์มาก บนชุดคลุมสีดำมีดวงตะวันสีเลือดปักไว้ กลิ่นคาวเลือดสังหารเด่นชัดออกมาจากตัวพวกเขา