ตอนที่ 11 วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“ฮู่ว์…” ซูสุ่ยเลี่ยนพิงอ่างอาบน้ำไม้พลางส่งเสียงออกมาเบาๆ อย่างสบายอารมณ์

สามเดือนมาแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำอย่างสะใจเช่นนี้ มีความสุขจริงๆ

ราดน้ำอุ่นกำลังพอดีรดลงบนบ่าขาวผ่องของตนเอง ผมดำขลับยาวเกือบถึงเอว แกะหางเปียออกจุ่มสระในน้ำเบาๆ

วันเวลาในป่าแม้ว่าไม่ขาดแคลนลำธาร แต่อย่างไรก็เป็นน้ำเย็น นับประสาอันใดกับไม่มีอุปกรณ์อาบน้ำ ดังนั้นอาบน้ำสระผมจึงทำไปง่ายๆ อย่างนั้น ตอนนี้ได้มาอาบน้ำอุ่นแบบทั่วไป ซูสุ่ยเลี่ยนแอบอดรู้สึกไม่ได้ว่าชาติก่อนหน้าเหมือนเป็นความฝัน เหมือนกับเมื่อก่อนตอนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซูนั้นช่างเหมือนฝันที่ไกลและเหมือนจริงมาก ตอนนี้ตื่นจากฝันแล้ว กลับมาสู่ความเป็นจริง หญิงโดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ใด

ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจ เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ตั้งใจพยายามใช้ชีวิตก็แล้วกัน เชื่อว่าคุณแม่และพี่ใหญ่ก็คงฝันถึงนางเช่นกัน และยังอาจดีใจที่นางชีวิตในอีกโลกได้อย่างมีความสุขดี

……

มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกห้อง พร้อมกับน้ำเสียงเย็นเยียบดังกระจ่างชัดที่แสนคุ้นเคย “กินข้าวได้แล้ว”

“อ้อ อ้อ จะเสร็จแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ได้สติ พบว่าน้ำเย็นแล้ว จึงรีบลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เอื้อมมือไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่วางพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ห่อร่างตนเองไว้ เช็ดผมยาวที่ยังเปียกน้ำไปมา

หลินซือเย่าข้างนอกย่อมได้ยินเสียงน้ำดัง ซ่า ด้านในและยังได้ยินเสียงเก้าอี้ไม้ในอ่างอาบน้ำกระทบกัน คิดเดาได้ว่านางน่าจะรีบร้อนมือไม้ยุ่งเหยิงลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เขาจึงยืนแข็งทื่อกับที่อย่างไม่อาจบังคับใจ รีบถอยออกไปสองก้าว หันหลังออกไปยืนริมระเบียงอีกฝั่งของประตู พยายามตั้งสติกับการเคลื่อนไหวของผู้คนด้านล่างแทน แต่ทว่าในใจก็ยังคงแอบคิดถึงร่างนุ่มละมุนในห้องนั้นไม่ได้

กว่าซูสุ่ยเลี่ยนจะสวมชุดกระโปรงแพรที่ยุ่งยากซับซ้อนเสร็จแล้วไปเปิดประตู ก็เห็นหลินซือเย่าหันหลังให้นางมองลงไปด้านล่างอยู่

“ข้าเสร็จแล้ว” นางเอ่ยเรียกน้ำเสียงอ่อนโยน ในแววตายังมีรอยยิ้มบาง สบตาเข้ากับหลินซือเย่าที่หันกลับมาพอดี สบตากันในห้วงเวลาสั้นๆ

ใช่แล้ว ชายเบื้องหน้าสวมชุดสีเขียวหม่น ที่เอวยังมีสายรัดเอวสีเดียวกับตัวเสื้ออีก ผมยาวรัดสูง ใช้ผ้ารัดผมรัดไว้เหนือศีรษะ ครอบไว้ด้วยหยกสีเขียวหม่นเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่สีหน้าราวน้ำแข็งเย็นเยียบพันปีที่ไม่เคยเปลี่ยนของเขา ซูสุ่ยเลี่ยนแทบจะคิดว่าชายเบื้องหน้าผู้นี้ไม่ใช่หลินซือเย่าคนเดิม แต่เป็นพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยแตกต่างกัน มีความสุขุมนุ่มลึกกว่า

หลินซือเย่าเห็นก็ขยับคิ้วขมวดมุ่น เข้าไปใกล้นาง ดึงนางเข้าไปในห้อง ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดหน้าแห้งสนิทขึ้นมาผืนหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เช็ดผมยาวที่ทิ้งตัวเปียกลู่อยู่กลางหลังนาง

ซูสุ่ยเลี่ยนหน้าร้อนผ่าว นางเองกลัวว่าเขาจะรอนาน จึงได้พยายามเช็ดให้แห้งพอควรแล้วจึงได้ออกมา ใครจะไปรู้ว่าไม่ทันไร ปลายผมก็เริ่มมีหยดน้ำหยดอีกแล้ว กลับต้องให้เขามาเช็ดผมให้นาง…

ซูสุ่ยเลี่ยนกัดริมฝีปาก เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าทำเองดีกว่า”

“อยู่นิ่งๆ” หลินซือเย่ากดไหล่นางไว้เบาๆ บอกให้นางนั่งดีๆ อีกมือก็เคลื่อนพลังภายในทำให้ผมดำขลับของนางที่มีน้ำหยดแห้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลยไปเป่าไล่ความชื้นของเสื้อผ้าบนแผ่นหลังนางให้ด้วย

“ขอบคุณ…” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้างึมงำ แน่นอนว่านางรู้สึกได้ถึงแผ่นหลังที่เริ่มชื้น ตอนนี้แห้งหมดแล้ว หันกลับไปมองตาปริบๆ กล่าวว่า “อัศจรรย์จริง” สายตาทำเอาในใจหลินซือเย่ารู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด

จากนั้นเขาก็วางผ้าเช็ดผมในมือลงเดินออกจากห้องไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ ให้ตามสาวใช้ที่กำลังเก็บกวาดห้องค้างอยู่มาเกล้ามวยแบบสองวงที่สาวน้อยชอบทำกันให้กับซูสุ่ยเลี่ยน

สาวใช้ช่วยซูสุ่ยเลี่ยนเกล้าผมอย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่กี่ทีก็เสร็จ เป็นผมมวยเกล้ามวยทรงเทพธิดาเหิน[1] มีผมที่เหลือปอยทิ้งไว้บนบ่าอีกเล็กน้อย ยังมีปอยผมสองข้างหูที่พาดอ้อมมาด้านหน้าใบหู ทิ้งตัวอยู่บนหน้าอก พอลมพัดมา ผมสลวยก็ปลิวไปมาราวกับเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ งดงามอย่างที่สุด

“คุณหนูสวยจริงๆ!” สาวใช้เอ่ยชื่นชมจากใจ

ซูสุ่ยเลี่ยนตรงหน้าอยู่ในชุดกระโปรงแพรสีเขียวใบบัวที่ยิ่งขับให้ผิวขาวของนางขาวกระจ่างยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยดำขลับงดงามเกล้าเป็นมวยสองวงเหนือศีรษะ แม้ว่าไม่ได้ปักปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับอะไร แต่ก็ทำให้คนอดมองตาค้างไม่ได้

ซูสุ่ยเลี่ยนแย้มยิ้มบาง ร่างนี้งามเพียงใด นางไม่กระจ่างนัก แม้มีกระจกทองแดงอยู่ข้างๆ แต่ก็มองได้แต่โครงร่างคร่าวๆ เท่านั้น รู้แค่ว่าไม่น่าเกลียดก็แล้วกัน

หลินซือเย่าได้ยินก็กวาดตามองซูสุ่ยเลี่ยนแวบหนึ่ง จริงแท้ งามมาก! ไม่ใช่ความงามแบบสาวงามล่มเมือง แต่เป็นความงามแบบสูงค่า เผยให้เห็นถึงสตรีนุ่มละมุนอ่อนโยนที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องประทินโฉมหรือเครื่องประดับล้ำค่าใด

เขาตัวแข็งทื่อค้างเติ่งอยู่กับที่ กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งว่า “มากินข้าวกันได้แล้ว บอกว่าจะไปดูลอยโคมไม่ใช่หรือ”

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็สองตาส่องประกาย ขอบคุณเขาที่ตามสาวใช้มาให้ พยายามบังคับใจไม่ให้ตกรางวัลสาวใช้ ตามหลินซือเย่าเข้าไปกินข้าวในห้องเขาอย่างรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง มีรายการใช้จ่ายเงินมากมายจริงๆ น้ำใจที่อยากมอบให้ก็จดไว้ก่อนแล้วกัน

……

วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดในเมืองฝานลั่วเป็นเทศกาลรื่นเริงข้ามคืน

นับดูเวลาแล้ว น่าจะราวสี่ทุ่มได้แล้วกระมัง ท้องถนนยังคงคึกคักกว่าปกติ

ซูสุ่ยเลี่ยนเดินตามหลังหลินซือเย่า ข้างกายยังมีลูกหมาป่าสองตัวที่กินอิ่มแปล้อารมณ์ดีเดินเล่นอยู่ด้วย

พูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเอ้อร์ดูแลพวกมันดีไม่น้อย ไม่เพียงเลี้ยงข้าวชามโต ยังให้กระดูกพวกมันแทะอีกด้วย แม้ว่ากระดูกจะมีเนื้อติดไม่มาก เดาว่าแขกกินเหลือ แต่รสชาติย่อมไม่เลว กลิ่นหอมหวนชวนกิน เทียบกับเนื้อย่างในป่าที่มีแต่รสเค็มแล้วย่อมดีกว่ามาก อืม ครั้งหน้าให้เจ้าของพวกเราทำกระดูกซีอี๊วแบบนี้ให้พวกเรากินละกัน

ลูกหมาป่าสองตัวเดินไปอย่างสบายอารมณ์พลางคิดถึงรสชาติโอชะไปพลาง มุมปากก็มีน้ำลายสอไหลออกมาทำเอาคนผ่านไปมาอดหัวเราะไม่ได้

หลินซือเย่าพาซูสุ่ยเลี่ยนมายังที่ลอยโคมดอกบัว ก็คือริมทะเลสาบมรกตที่ไร้คลื่นลม ตั้งอยู่ทางถนนสายหลักทางตะวันออกของเมืองฝานลั่ว เชื่อมกับคูรอบเมือง

“โอ! งามมาก!” เพิ่งเดินไปถึงริมทะเลสาบ ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นภาพงดงามเบื้องหน้าก็อดอุทานชื่นชมขึ้นมาไม่ได้

ผืนทะเลสาบเต็มไปด้วยโคมดอกบัวที่มีแสงเทียนวับแวมใหญ่น้อยเต็มทั้งผืนน้ำ มองไกลๆ ก็เหมือนกับดวงดาวบนฟ้าไม่ทันระวังตกลงไปในทะเลสาบ แต่แสงดาวยังส่องประกายระยิบ

“คุณหนู คุณชาย ซื้อโคมดอกบัวไหม แค่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น” แม่หนูน้อยอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีนางหนึ่งนำเอาโคมดอกบัวหลากหลายรูปแบบมาให้เลือก มีโคมดอกบัวแบบดั้งเดิมที่สุด ยังมีรูปกระต่ายน่ารัก ยังมีโคมนกสาลิกา…ดูจนซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกมีความสุขมาก เงยหน้ามองหลินซือเย่ายิ้มหวานให้กล่าวว่า “พวกเราไปลอยโคมกันดีไหม”

หลินซือเย่าได้ยินก็อึ้งไป นางรู้ความหมายของการลอยโคมด้วยกันไหมนะ

วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดในหมู่ชาวบ้านเป็นเทศกาลของคู่รักโดยเฉพาะ ว่ากันว่าหากชายโสดหญิงโสดได้มาลอยโคมในวันนี้ ก็จะได้พบคนที่สมดังใจหวังแน่นอน และหากชายหญิงที่ลอยโคมด้วยกันก็จะอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าดังหวังได้

ยามสบตาใสซื่อของซูสุ่ยเลี่ยนที่ส่องประกายวาดหวัง ทำเอาหลินซือเย่าอดพยักหน้าไม่ได้ อาจเพราะนางไม่รู้ตำนานพวกนี้กระมัง ไม่เช่นนั้นทำไมจึงคิดมาชวนเขาไปลอยโคมด้วยกันกับนาง!

ซูสุ่ยเลี่ยนซื้อโคมกระต่ายน่ารักมาอันหนึ่ง ประคองไว้อย่างระมัดระวัง เดินไปยังก้อนหินริมทะเลสาบ เงยหน้าเผยรอยยิ้มบางให้กับหลินซือเย่าข้าง “เมื่อก่อนเคยลอยโคมดอกบัวไหม”

หลินซือเย่าตัวแข็งทื่อ ไม่ตอบ หากในใจแอบรู้สึกผิดหวัง นางไม่เข้าใจความหมายเหล่านี้จริงด้วย ก็ดี ตัดความคิดเหลวไหลของตนทิ้งเสีย

“พวกเราไปลอยทางนั้นกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนหรี่ตามองไปยังที่ว่างที่ไม่ไกลนัก ชี้บอกหลินซือเย่าอย่างร่าเริง ตามมาด้วยการหันไปเรียก “เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย พวกเราไปตรงนั้นกัน” ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว

……

เห็นโคมกระต่ายค่อยๆ ลอยออกไปไกล ซูสุ่ยเลี่ยนหลับตานิ่ง สองมือประนมไว้ที่หน้าอก ทำท่าทางอธิษฐานเลียนแบบชาวตะวันตกในโบสถ์แถวคฤหาสน์ตระกูลซู

หลินซือเย่าจ้องมองนางนิ่ง ท่วงท่าอ่อนหวานงดงามในชุดสีเขียวใบบัวขับผิวผ่องของนางสะท้อนจากผืนน้ำในทะเลสาบ ช่างงดงามน่าหลงใหล ท่ามกลางดอกไม้ไฟรอบทิศ ส่องประกายกระทบดวงตา ถึงกับทำให้ไม่อาจละสายตาจากไปได้ ยืนอยู่ด้านหลังนางอย่างเงียบๆ บดบังสายตาไม่ประสงค์ดีของพวกคนคิดไม่ซื่อ

จากนั้นหลินซือเย่าก็พานางไปชมเทพท่องราตรีที่หัวถนน

ซูสุ่ยเลี่ยนเขย่งเท้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็นผ่านฝูงชนมากมาย คิดอยากจะมองภาพเทพท่องราตรีที่คนรอบๆ พากันอุทานชื่นชม จนกระทั่งบรรดาเทพเคลื่อนผ่านหน้าซูสุ่ยเลี่ยนไปอย่างช้าๆ นางจึงได้นึกรู้ขึ้นมาทันที ที่แท้ที่เรียกว่าเทพท่องราตรี ความจริงคือขบวนพาเหรดที่ยืนต่อขาบนขาไม้สูงนี่เอง เพียงแต่คนที่ต่อขาในขบวนนี้เป็นสตรีแต่งกายแบบเทพธิดาเจ็ดคน

แต่ละนางอยู่ในชุดสวยสดงดงาม แต่ละคนแสดงความสามารถในการยืนบนขาไม้สูงพร้อมของวิเศษในมือ มีเป่าขลุ่ย มีระบำริ้วผ้า มีโปรยดอกไม้…สรุป เจ็ดเทพธิดาสวมชุดพลิ้วปลิวตามแรงลมท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม

นางได้ยินเสียงชายหญิงคุยกันไม่หยุดข้างหู ซูสุ่ยเลี่ยนจึงรู้ว่า เทพธิดาพวกนี้ล้วนเป็นสตรีที่คัดเลือกจากสตรีที่มีความสามารถและแข่งขันโคลงกวีชนะของเมืองฝานลั่วประจำปี จึงโชคดีได้รับเลือกเป็นเทพธิดาท่องราตรีนี้ ไม่เพียงแต่มีความสามารถร่ายบทกวี หน้าตารูปโฉมก็ต้องเป็นหนึ่ง ดังนั้นวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของทุกปีจึงค่อยๆ เริ่มกลายเป็นเทศกาลแข่งขันกันของบรรดาสตรีมีตระกูลในเมืองฝานลั่ว

แน่นอน เพื่อให้เป็นไปตามครรลองของเทศกาลคู่รักวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดแต่เดิม สตรีเหล่านี้จึงได้สิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง ก็คือหากว่าถูกใจชายคนใดบนท้องถนนท่ามกลางฝูงชน ก็จะโยนพวงบุปผาในมือให้ได้ในตอนนั้น จากนั้นก็เลือกวันออกท่องเที่ยวชมบุปผาทิวทัศน์กันได้ โอกาสเช่นนี้หาได้น้อยมาก ไม่แน่ ชายผู้นั้นอาจโชคดีมีวาสนาได้ปีนป่ายกิ่งก้านสูง ได้ครองคู่สตรีเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและสติปัญญาเลยทีเดียว

ซูสุ่ยเลี่ยนแรกๆ ฟังแล้วก็รู้สึกสนใจ แต่ต่อมาพอเห็นชายหนุ่มมากมายตะโกนโหวกเหวกใส่บรรดาเทพธิดา อีกทั้งยังมีวาจาไม่น่าฟังไม่น้อยพร้อมเสียงหัวเราะไร้มารยาท พากันคิดจะเบียดนางเพื่อให้ได้เข้าใกล้เทพธิดาทั้งเจ็ดมากยิ่งขึ้น สีหน้านางก็เริ่มโมโห

ขณะกำลังคิดจะถอยให้คนอื่นอยู่นั้น ก็ไม่รู้เหยียบเท้าใครเข้า ขณะชุลมุนก็สะดุดอะไรสักอย่าง แต่หลินซือเย่าด้านหลังตาไวประคองไว้ทัน

“ระวัง” หลินซือเย่าขมวดคิ้ว ดึงนางเข้ามากอดเอาไว้ ปกป้องนางออกจากวงล้อมเบียดเสียด ลูกหมาป่าสองตัวนึกรังเกียจออกไปหาอากาศบริสุทธิ์รอบนอกก่อนหน้านั้นนานแล้ว

[1] ทรงผมที่เรียกว่าเฟยเซียนจี้ หรือ มวยผมเทพธิดาเหิน เป็นการเกล้าผมที่นิยมมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น โดยจะทำเป็นวงกลมสองวงสูงแยกสองวงบนศีรษะ