ตอนที่ 29 คนบ้า!

“นี่ส่วนแบ่งของคุณ”
หลินหนานบอกกับฉินเสี่ยวยู่ พร้อมกับวางธนบัตรจำนวนหกหมื่นหยวนลงบนโต๊ะของเธอ
“ฉันไม่เอา..”
ฉินเสี่ยวยู่ผลักเงินก้อนนั้นกลับคืนไป พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ได้ช่วยอะไรนายเลย เงินรางวัลนี้สมควรเป็นของนายคนเดียว ๅ”
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อเราสองคนอยู่ทีมเดียวกัน อีกอย่างคุณเองก็คอยเป็นพี่เลี้ยงสอนงานผม เงินจำนวนนี้จึงควรเป็นของเราคนละเครึ่งถึงจะถูกต้อง..” หลินหนานตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
ฉินเสี่ยวยู่ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอื้อมมือไปหยิบธนบัตรมาไม่กี่ใบ พร้อมกับพูดยิ้มๆ
“ฉันขอแค่ค่าน้ำมันรถก็พอ..”
เมื่อเห็นว่าฉินเสี่ยวยู่ปฏิเสธที่จะไม่รับจริงๆ หลินหนานจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ พร้อมกับขยิบตาให้เธอ และพูดขึ้นว่า
“ถ้างั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ! ผมจะรับเงินจำนวนนี้ไว้ทั้งหมด แต่จะขอเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่คุณหนึ่งมื้อแทน ตกลงมั๊ย?”
“เยี่ยมไปเลย!” ฉินเสี่ยวยู่พยักหน้ายิ้มๆ
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากแผนกไปด้วยกัน..
“นี่หลินหนาน คุณตาท่านนั้นเป็นยังไงบ้าง?” ฉินเสี่ยวยู่เอ่ยถามขึ้นทันที
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” หลินหนานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“โล่งอกไปที!”
ฉินเสี่ยวยู่จัดเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีไม่น้อย เธอจ้องมองหลินหนานพร้อมกับยิ้มออกมา
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะสามารถรักษาคนป่วยได้ด้วย!”
“ขอบอกตรงๆ ในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมทำไม่ได้!” หลินหนานพูดจาโอ้อวดทันที
หลินหนานเดินแบกกระสอบใส่เงินไว้บนบ่า สภาพของเขาดูไม่ต่างจากคนเร่ร่อนที่เดินแบกถุงขยะไปตามถนนหนทาง
ระหว่างทางที่ทั้งคู่เดินคู่กันไปนั้น ได้สร้างความประหลาดใจให้กับสายตาทุกคู่เป็นอย่างมาก เพราะทั้งสองคนนั้นไม่ต่างจากนิทานเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวหวังซึ่งเป็นหนึ่งในทีมพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท จดจำหลินหนานได้เป็นอย่างดีว่า เขาก็คือผู้ชายที่ทำตัวเหมือนคนโรคจิตเมื่อเช้านี้
ใบหน้าของเขาบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด และได้แต่คิดว่า เพราะเหตุใดหลินหนานจึงได้เดินเคียงคู่มากับเทพธิดาของเขาเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังหัวร่อต่อกระซิกกันด้วย
หน้าตาของหวังเป่าอันบ่งบอกว่า เขาทั้งไม่พอใจและอิจฉาหลินหนาน..
และเมื่อหันไปเห็นถังน้ำกับน้ำยาถูพื้น เสี่ยวหวังก็นึกอะไรขึ้นมาได้..
เขาจัดการเปิดฝาขวดน้ำยาถูพื้นออก แล้วนำไปราดไว้ที่หน้าทางเข้าประตูลิฟท์ ในช่วงเวลาใกล้ค่ำแสงไฟขมุกขมัวเช่นนี้ คงไม่มีใครสังเกตเห็นน้ำยาถูพื้นแน่ๆ
“หึ.. หมอนี่ต้องลื่นล้มแน่ๆ”
เสี่ยวหวังแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง ในใจก็กำลังนึกถึงภาพที่หลินหนานกำลังลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า และในระหว่างที่ฉินเสี่ยวยู่กับหลินหนานเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆนั้น เสี่ยวหวังก็ยิ่งใจเต้นรัว แล้วรีบเป็นฝ่ายร้องทักทายฉินเสี่ยวยู่ทันที
“กลับแล้วเหรอครับคุณฉิน!”
“กลับแล้วจ้าเสี่ยวหวัง เธอล่ะ.. สบายดีนะ?” ฉินเสี่ยวยู่ยิ้มให้พร้อมตอบกลับไป
เสี่ยวหวังถึงกับหัวใจแทบหยุดเต้น..
ฉินเสี่ยวยู่เปรียบเสมือนนางฟ้าในใจของเขา แม้ฉินเสี่ยวยู่จะเอ่ยตอบเสี่ยวหวัง แต่เธอกลับยังคงก้าวตามหลินหนานไปไม่หยุด เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้บริเวณที่ราดน้ำยาถูพื้นไว้ เสี่ยวหวังจึงรีบร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“คุณฉิน ระวังด้วยครับ!”
หลินหนานแสยะยิ้ม พร้อมกับรีบเอื้อมมือออกไปคว้าเอวของฉินเสี่ยวยู่ไว้ทันที ทั้งคู่จึงรอดพ้นจากหลุมพลาง และไม่มีใครล้มก้นจ้ำเบ้า
เมื่อฉินเสี่ยวยู่สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนของหลินหนานที่โอบรอบเอวของเธอไว้นั้น เธอก็รู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต และใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำขึ้นทันที
เธอรีบหันไปมองเสี่ยวหวัง พร้อมกับถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง “มีอะรเหรอเสี่ยวหวัง?”
เสี่ยวหวังตกใจจนหน้าซีด เมื่อเห็นหลินหนานไม่ล้มลงไปกับพื้นอย่างที่คิดไว้..
น้ำยาถูพื้นหมดอายุหรือยังไงกัน?
“เอ่อ.. ไม่มีอะไรครับ..” เสี่ยวหวังรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธด้วยความรู้สึกผิดในใจ
เขาจะบอกได้อย่างไรกันว่าตนเองราดน้ำยาถูพื้นไว้ และตั้งใจให้หลินหนานลื่นล้ม?
ทั้งสองคนเดินเลี่ยงให้ห่างจากบริเวณนั้น แต่ในขณะนั้นเอง ใครบางคนก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
และขาเรียวยาวสวยงามภายใต้ถุงน่องดำนั้น จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจาก.. เหลียงซี่อวี๋!
“เลขาเหลียง สบายดีนะครับ!” หลินหนานเอ่ยทักทายขึ้นทันที
“ค่ะ..” เหลียงซี่อวี๋เอ่ยตอบกลับเสียงห้วน สีหน้านิ่งเฉย และไม่แม้แต่จะพยักหน้าให้เขาด้วยซ้ำ
ความจริงเธอแทบไม่อยากเอ่ยตอบหลินหนาน ที่ไม่ต่างจากเศษขยะในสายตาของเธอด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่าเธอรู้สึกขยะแขยงจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า
เลขาเหลียงเดินเชิดหน้าตรงไปข้างหน้า แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าเหยียบโดนอะไรลื่นๆ
“เล.. เลขาเหลียง…”
เสี่ยวหวังถึงกับพูดติดอ่าง เขากำลังจะร้องเตือนเลขาเหลียง แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้ร่างของเลขาเหลียงได้ล้มหงายหลัง และดูท่าศรีษะของเธอจะต้องกระแทกกับพื้นอย่างแน่นอน
แต่ในระหว่างที่หงายหลังไปนั้น เลขาเหลียงกลับสามารถขยับเขยื้อนร่างกาย และพยายามที่จะทรงตัวไว้ แต่แล้วก็คว่ำหน้าลงไปอีกครั้ง นับว่าโชคดีที่เธอยื่นมือข้างขวาออกไปเท้ากับพื้นได้ทัน หลังจากออกแรงเล็กน้อย จึงสามารถกลับมายืนทรงตัวบนพื้นได้อีกครั้ง
ซึ่งท่าทางการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเลขาหวังนี้ ทำให้หลินหนานถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย..
เสี่ยวหวังได้แต่ยืนงุนงงด้วยความตกตะลึง หลินหนานไม่เป็นอะไร ส่วนเลขาเหลียงก็สามารถกลับมาทรงตัวได้โดยไม่ล้มลงไปเช่นกัน
ดูเหมือนบริษัทนี้จะมีแต่เหล่าชาวยุทธซ่อนตัวอยู่สินะ?
“เลขาเหลียง เก่งไม่เบาเลยนะครับ!” หลินผิวปากพร้อมกับเอ่ยชม
เหลียงซี่อวี๋ที่เพิ่งทรงตัวได้นั้น แววตาทั้งคู่ของเธอเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นจึงกระแอมเบาๆ ก่อนจะตอบไปว่า
“พอดีฉันเคยเรียนเต้นรำมาก่อน ไม่ได้เก่งอะไรนักหนา..”
จากนั้นเธอก็หันไปสั่งเสี่ยวหวังด้วยน้ำเสียงปกติ “เสี่ยวหวัง จัดการเช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนที่จะมีคนอื่นลื่นล้ม..”
“ครับเลขาหวัง..”
เสี่ยวหวังรีบวิ่งกลับไปนำไม้ถูพื้นมาเช็ดทำลายหลักฐานอย่างรวดเร็ว..
เหลียงซี่อวี๋ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ท่อนขาเรียวงามทั้งสองของเธอก้าวฉับๆ ไปอีกฝั่งทันที
หลินหนานยังคงยืนนิ่ง และยกมือขึ้นลูบปลายคางพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจ
เรียนเต้นรำ?
คิดว่าผมจะเชื่องั้นเหรอ?
จากท่าทางของเหลียงซี่อวี๋เมื่อครู่นี้ ยากนักที่จะปกปิดหลินหนานได้ว่า เธอรู้ศิลปะการต่อสู้ในระดับหนึ่ง..
“ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจไม่น้อย คงต้องหาโอกาสจับตาดูเธอให้ดี..”
ฉินเสี่ยวยู่เห็นหลินหนานมองตามแผ่นหลังของเลขขาเหลียงไปเช่นนั้น ก็อดที่จะหงุดหงิดใจไม่ได้
“อะแฮ่ม…”
ฉินเสี่ยวยู่กระแอมเบาๆเพื่อเรียกสติของหลินหนาน หลินหนานได้แต่หันมายิ้มอย่างเก้อเขินพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พวกเราไปกันดีกว่า!”
“นี่.. นายเอามือออกจากเอวของฉันได้แล้ว!”
ฉินเสี่ยวยู่ร้องบอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ในขณะเดียวกันก็แกะฝ่ามือของหลินหนานออกจากเอว
“โทษที! ผมลืมตัวไปหน่อย..”
หลินหนานรีบขอโทษฉินเสี่ยวยู่ แต่ในใจกลับบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ.. จับนิดจับหน่อยแค่นี้ ไม่ทำให้บุบสลายหรอกน่า!”
ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์ ฉินเสี่ยวยู่ก็บอกกับหลินหนานด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อ “หลินหนาน ฉันขอเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วพวกเราสองคนค่อยไปเจอกันที่ร้านเลยนะ?”
“อืมม.. ได้สิ! ว่าแต่คุณอยากกินอะไรล่ะ?” หลินหนานเอ่ยถามขึ้น
“ฉันกินอะไรก็ได้ นายเลือกมาเลย! ฉันจะทิ้งเบอร์มือถือไว้ให้นาย เลือกได้แล้วก็โทรบอกฉันด้วย!” ฉินเสี่ยวยู่ตอบกลับไปทันที
“ตกลง!”
จากนั้น ทั้งสองคนก็แลกเบอร์โทรศัพท์มือถือกัน แล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไป..
หลินหนานเดินหาตู้เอทีเอ็มที่ใกล้ที่สุด และจัดการนำเงินทั้งหมดที่ได้มาฝากเข้าไปในบัญชีทั้งหมด เขามีบัตรเอทีเอ็มเปิดใหม่โดยใช้บัตรประชาชนปัจจุบัน ฉะนั้นศัตรูของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่มีทางรู้ความเคลื่อนไหวของเขาผ่านบัญชีเหล่านี้ได้แน่
หลังจากฝากเงินทั้งหมดเข้าไป เหลือเงินสดไว้เพียงแค่สองสามพันหยวนสำหรับใช้จ่ายแล้ว หลินหนานก็หยิบกล่องซิการ์ออกมา
เขาทรุดนั่งลงบนฟุตบาทข้างถนนพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “อาอู๋.. ฉันรู้ว่านายชอบสูบซิการ์มาก น่าเสียดายที่นายไม่อยู่ที่นี่แล้ว แต่ไม่เป็นไร ฉันจะจุดซิการ์นี้ไว้ นายจะได้รับรู้และค่อยๆสูบมันไป”
ระหว่างที่พูดนั้น หลินหนานก็หยิบเอาซิการ์เจ็ดแปดมวนออกมาจุด และวางปักไว้ข้างทางแทน โดยให้ปลายที่ติดไฟชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นหลินหนานก็ยืนโค้งศรีษะทำความเคารพต่อซิการ์ตรงหน้า
ระหว่างนั้น รถสปอร์ตทะเบียน 911 ก็ได้แล่นผ่านไปในบริเวณนั้นอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถเห็นภาพของหลินหนานเข้า ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พร้อมกับร้องบอกหญิงสาวที่นั่งข้างๆ
“เข่อเอ๋อ.. เธอว่าหมอนั่นมันบ้าหรือว่าโง่กันแน่? ซิการ์ดีๆกลับสูบไม่เป็น มิหนำซ้ำยังเอามาจุดทิ้งจุดขว้าง เสียของชะมัด!”
หญิงสาวหน้าตาสวยงามที่นั่งข้างคนขับก็คือเย่เข่อเอ๋อ ลูกสาวคนรองของตระกูลเย่นั่นเอง เมื่อเธอหันไปเห็นว่าเป็นหลินหนาน ก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปพร้อมกับบ่นพึมพำ
“หมอนั่นกำลังทำอะไรกัน?”
“เข่อเอ๋อ.. นี่เธอรู้จักไอ้บ้านั่นด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มร้องถามขึ้นมาด้วยความงุนงง
“ฉันคงจำผิดคนน่ะ..” เย่เข่อเอ๋อรีบปฏิเสธทันที
เธอจะบอกใครได้อย่างไรว่า ผู้ชายซอมซ่อนั่นเป็นพี่เขยแต่เพียงในนามของเธอ!
“นี่.. โชว์คืนนี้น่าตื่นเต้นมากเลยนะ ว่าแต่เธอพร้อมหรือยัง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันพร้อมมากเลยล่ะ!”
เย่เข่อเอ๋อตอบกลับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น พร้อมกับแววตาที่บ่งบอกว่า เฝ้ารอคอยสิ่งนี้มานาน!