บทที่ 17 พวกแกมันไร้ประโยชน์

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 17 พวกแกมันไร้ประโยชน์
บทที่ 17 พวกแกมันไร้ประโยชน์

เมื่อคุณย่าซูได้ยินคุณปู่ซูพูดเช่นนั้น ในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

สองสามวันมานี้คุณย่าซูเสี่ยงเอาเงินและตั๋วที่ซูเสี่ยวเถียนมอบให้ออกมาเพื่อให้ชีวิตของคนในครอบครัวดีขึ้น

แต่เธอเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา หากถูกคนอื่นเห็นขึ้นมาจะทำอย่างไร!

ซึ่งวิธีการของคุณปู่ซูมีประโยชน์นัก

“ตาเฒ่า เมื่อก่อนแกช่วยคนไว้เยอะขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีใครนึกถึงแกสักคน แล้ววันนี้กลับให้พวกเขาเป็นคนดีเพื่ออะไร”

ยามคิดถึงพวกคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากคุณปู่ซูเมื่อนานมาแล้ว คุณย่าซูก็รู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง!

คุณปู่ซูกล่าว “เดิมทีที่ช่วยในตอนแรกไม่ได้ทำเพื่อหวังให้คนอื่นมาตอบแทน แค่ทำความดีเพื่อตัวเองก็เท่านั้น”

เมื่อสองสามปีก่อน ตระกูลซูให้กำเนิดลูกชายหลายคนในคราวเดียวกัน พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าคนในหมู่บ้านอิจฉาเขาแค่ไหน

ในตอนนั้นก็มีบางคนกล่าวว่า ความรุ่งเรืองของตระกูลซูทั้งหมดเป็นเพราะคุณปู่ซูมีคุณธรรมความดีเมื่อนานมาแล้วต่างหาก

แม้แต่ตัวคุณปู่ซูเองยังรู้สึกว่ามีความคิดนั้นก็อาจเป็นไปได้

ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนจำไม่มากที่ก่อกรรมทำชั่ว หากแต่ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นหากทำได้เช่นกัน

“ที่พวกลูก ๆ ในครอบครัวสุขภาพแข็งแรงดีนับเป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้ว และช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้เสียลูกคนไหนไปเลย ทุกคนเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย เช่นนั้นแล้วยังจะหวังสิ่งใดอยู่อีก?”

“นอกจากนี้พวกเรายังมีน้องเถียนที่แสนฉลาด แกยังไม่พอใจอะไรอีกเล่า?”

ซูเสี่ยวเถียนได้รับการยอมรับจากฉือเก๋อ และคุณปู่ซูก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีหากจะทำในสิ่งดี ๆ ตอนนี้

คุณย่าซูไม่รู้ถึงความขมุกขมัวภายในใจของตาเฒ่า จึงถอนหายใจและพูดว่า “ฉันแค่พูดเฉย ๆ มันคุ้มค่าที่จะยืมชื่อของพวกเขามาทำให้พวกเราปลอดภัยนะ”

“นอนเถอะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีก”

ทั้งสองคนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน อีกทั้งยังทำงานหนัก ในไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป

แต่สองคนปู่หลานบ้านฉือที่คอกวัวกลับนอนไม่หลับ

ซูเสี่ยวเถียนมอบความตกตะลึงอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับพวกเขา โดยเฉพาะฉืออี้หย่วน

“คุณปู่ครับ คุณปู่คิดว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นคนฉลาดหลักแหลมจริง ๆ เหรอ?”

เขาไม่ได้ระแวง เพียงแต่รู้สึกไม่อยากเชื่อเท่านั้น

ในโลกใบนี้มีคนฉลาดเช่นนี้อยู่จริง ๆ เหรอ?

“จนตอนนี้มันสายเกินไปที่จะเรียนหนังสือแล้ว แต่บางทีซูเสี่ยวเถียนอาจเป็นคนเช่นนั้นก็ได้!” ฉือเก๋อกล่าวอย่างครุ่นคิด

ไม่มีใครรู้ว่านอกจากจะศึกษาเล่าเรียนแล้ว เขายังได้เรียนเกี่ยวกับเคล็ดลับในดูโหงวเฮ้งด้วย

ก่อนหน้านี้ยังพบอีกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นที่รักของตระกูลซูมาก และได้รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กที่มีชะตากรรมอันเลวร้าย

แต่การได้พบกันวันนี้กลับเป็นการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา

อย่างไรก็ตามคำพูดพวกนี้เขาไม่สามารถพูดกับหลานชายได้

“ตอนนี้ปู่ได้เป็นครูสอนเธอแล้ว หลานเองก็จะช่วยเธอด้วย”

ฉืออี้หย่วนนิ่งงัน คุณปู่กำลังหมายถึงอะไร?

ทำไมเขาถึงคิดว่าคุณปู่กำลังปูทางให้กับเขา?

เป็นไปได้หรือไม่ว่า…

“คุณปู่ อาการหนักขึ้นเหรอ?” ฉืออี้หย่วนคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา น้ำเสียงเจือไปด้วยความกังวล

เดิมทีคุณปู่เป็นโรคกระเพาะอยู่แล้ว ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้อาการยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

มีหลายครั้งที่เห็นคุณปู่เหงื่อออกด้วยความเจ็บปวดจนเกือบล้มลงไปบนพื้น

“มันเป็นโรคคนแก่ของปู่ แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ฉือเก๋อกลัวว่าหลานชายจะกังวลจึงรีบพูด

อาการของโรคกระเพาะของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ กังวลว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นเจ็บจนเป็นลมไป แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

ถ้าเขาสามารถผูกมิตรกับคนในชุมชนการผลิตได้ บางทีฉืออี้หย่วนอาจมีคนให้พึ่งพาที่นี่ก็ได้

ฉืออี้หย่วนเป็นเด็กฉลาด ตั้งใจเรียน เข้าใจเรื่องราวได้ แต่เขาเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบ

การทิ้งให้เด็กคนนั้นต้องมีชีวิตคนเดียวตามลำพังบนโลกนี้ เขาไม่อาจวางใจได้เลย!

คนในตระกูลผู้ซูล้วนใจดี และเชื่อว่าจะต้องมีวันที่พวกเขาอาจดูแลฉืออี้หย่วนได้บ้าง

วันต่อมา

ช่วงเวลาระหว่างมื้อเช้า คุณปู่ซูก็ได้พูดสอนเหล่าหลานชายขึ้นมา

มีเพียงประโยคเดียวคือพวกเขาใช้เวลาเรียนหนังสือตั้งหลายปีไปอย่างเปล่าปะโยชน์ ทั้งยังดีไม่เท่าซูเสี่ยวเถียนที่เป็นเด็กน้อยด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ทำให้พี่ ๆ บางคนในตระกูลซูไม่พอใจ

ถึงน้องสาวจะฉลาด แต่เรียนหนังสือได้ไม่ถึงปีจะไปเก่งกว่าพวกเขาได้อย่างไร?

คุณปู่ยกย่องน้องสาว ส่วนพวกเขาจึงได้แต่ระงับความไม่พอใจเอาไว้

นั่นเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา หากคุณปู่ได้ชมเชยก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“ฉันเห็นนะว่าเด็กอย่างพวกแกไม่สนใจ งั้นตาเฒ่าคนนี้จะทดสอบพวกแกก็แล้วกัน”

คุณปู่ซูหยิบหนังสือพิมพ์จากกระเป๋าของเขาและยื่นให้ซูโส่วเวินก่อน

ซูโส่วเวินมองไปที่คุณปู่ซูอย่างสงสัย

“พี่ใหญ่ คุณปู่ขอให้พี่อ่านหนังสือพิมพ์น่ะ” ซูเสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

คุณปู่บ้านเราเป็นคนแก่ที่น่ารักจริง ๆ นี่คือการใช้สิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไปอยู่สินะ

“อ่านหนังสือพิมพ์?” แม้ว่าซูโส่วเวินจะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ขอให้เขาอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ก็ยังหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านอย่างเชื่อฟัง

ซูโส่วเวินอ่านได้ค่อนข้างคล่องแคล่ว

ซูเสี่ยวเถียนกำลังตั้งใจฟัง นอกจากบางคำที่ผิดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ยังพอใช้ได้อยู่ จึงรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย

แต่เมื่อถึงคราวของซูซื่อเลี่ยงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาอ่านตะกุกตะกักและยังมีคำที่อ่านผิดอยู่เยอะ ไม่ใช่อ่านถูก แต่อ่านเกินอีกต่างหาก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเสี่ยวเถียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

หลานคนที่สามอย่างซูซานกงเก่งกว่าพี่ชายทั้งสองคนเล็กน้อย จึงอ่านได้ถูกต้องทั้งหมดและไม่มีการอ่านผิดแม้แต่คำเดียว

ตามด้วยน้องสี่ น้องห้า น้องหก…

ตอนที่น้องเก้าอ่าน มีอักษรสิบตัว อ่านผิดไปแล้วแปดตัว ช่วยไม่ได้ น้องเก้าโตกว่าซูเสี่ยวเถียนสองปี ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สองเท่านั้น

“หลานรัก อ่านให้พวกเขาฟังสิ ให้พวกเขาได้ฟังว่าอะไรคือการอ่านหนังสือพิมพ์กันแน่!” คุณปู่ซูลูบเคราแพะ แล้วพูดกับซูเสี่ยวเถียนอย่างภาคภูมิใจ

“คุณปู่ น้องเล็กเพิ่งเรียนได้ไม่กี่วันเอง จะรู้จึกคำศัพท์ในหนังสือพิมพ์ได้อย่างไร” ซูซื่อเลี่ยงออกตัวก่อนและบอกคุณปู่ว่ามันเป็นเรื่องยาก

เขายังลำบากใจที่จะมองไปยังซูเสี่ยวเถียน หากน้องเล็กอ่านไม่ออก ถึงตอนนั้นตนเองเสียหน้าจนร้องไห้ออกมาจะทำอย่างไรเล่า?

หรือว่าวันนี้ต้องโดดเรียนขึ้นเขาหาผลไม้ให้น้องเล็ก มันจะทำให้เธอมีความสุขไหม?

คำพูดของซูซื่อเลี่ยงเป็นความในใจของพี่น้องคนอื่น ๆ

น้องเก้าหรือซูจิ่วเหลียนพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าว “คุณปู่ ช่วงเวลาที่น้องเรียนน้อยกว่าผมนัก ผมยังไม่รู้จักคำเลย น้องเล็กต้องไม่รู้แน่ เพราะอย่างนั้นอย่าให้น้อง…”

เขาไม่ได้พูดคำสุดท้ายออกมา กลัวว่าน้องเล็กจะได้ยินจะยิ่งเสียใจ

“เหอะ พวกแกคิดว่าหลานรักของฉันจะไร้ประโยชน์เหมือนพวกเด็กเหลือขอที่ไม่เชื่อฟังหรืออย่างไร” คุณปู่ซูพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก

ซูเสี่ยวเถียนกลับลังเล พวกพี่ชายอ่านหนังสือไม่ค่อยดี ถ้าตนเองอ่านดีเกินไปแล้วทำให้พวกเขาเสียหน้าจะทำอย่างไร

แต่ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าความลังเลของเธอทำให้พวกพี่ ๆ เข้าใจผิด คิดว่าเธออ่านไม่ออกเลย

บางคนมองหน้ากัน ยอมเสี่ยงที่จะถูกคุณปู่ทุบตีด้วยไม้กวาด พวกเขาจึงเรียกร้องอย่างแน่วแน่ไม่ให้น้องสาวได้อ่านหนังสือพิมพ์

“เหอะ หลานรัก หลานไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าพวกเขาหรอก แค่อ่านมันไปตรง ๆ ให้พวกเขารู้ว่าตนเองแย่แค่ไหน บางทีอาจจะทำให้เรียนดีขึ้นก็ได้”

ประโยคสุดท้ายของปู่ซูทำให้ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก

เป้าหมายของเธอคือการทำให้พวกพี่ชายหวงแหนโอกาสในการศึกษา เรียนรู้เยอะ ๆ และกลายเป็นพรสวรรค์ที่มีประโยชน์ในอนาคต

ตอนนี้การเรียนของพวกพี่ชายยังไม่นับว่าดี มีแต่พี่สามเท่านั้นที่เก่งหน่อย เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่

ขณะที่ซูเสี่ยวเถียนกำลังคิด เสียงของแอนนาก็ปรากฏขึ้นในหัวเธอ