บทที่ 8 เข้าวังถวายบังคม

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 8 เข้าวังถวายบังคม

“อย่างงั้นรึ”

“เพคะ” ฉินปู้เข่อเปิดขวดสเปียร์และยื่นใส่หมี่โม่หรู่ “ในเมื่อท่านอ๋องดื่มแล้วได้ผลแปลว่ายาน้ำนี้รักษาโรคของท่านอ๋องได้ แม่ของหม่อมฉันบอกว่าเวลาดื่มต้องดื่มให้หมดขวดเพคะ หากดื่มแค่ครึ่งขวดจะรักษาได้เพียงปลายเหตุ หากดื่มทั้งขวดจะรักษาได้ถึงต้นตอและช่วยบำรุงปอด ท่านดูอย่างหม่อมฉันสิเพคะ ตอนนี้พูดมากเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อยหอบ ปอดแข็งแรงสุด ๆ”

พูดไปก็ช่วยป้อนสเปียร์เข้าปากหมี่โม่หรู่

อย่าทำเป็นเล่นไป นางซื้อมันมาในราคา 1099 แต้มเลยนะ นี่เพิ่งได้คืนมา 899 แต้มฉะนั้นจะต้องดื่มให้หมดสิจึงได้คืนทุน

“อึก ๆ” ด้วยเหตุสเปียร์ครึ่งขวดที่เหลืออยู่จึงถูกฉินปู้เข่อป้อนเข้าปากหมี่โม่หรู่จนหมด

‘ติ๊ง’

“ได้รับความนิยมเลิศรส 899—–”

‘ติ๊ง’

“ได้รับความนิยมเลิศรส 899—–”

เมื่อหมดขวดค่าความนิยมจำนวน 899 แต้มก็เพิ่มขึ้นมา ฉินปู้เข่อยืนมองหมี่โม่หรู่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ท่านอ๋อง ท่านลองคำรามดูสิเพคะ แต่นี้ต่อไปข้ารับรองได้ว่าปอดของท่านจะช่วยให้ชีวิตของท่านก้าวสู่ชีวิตใหม่ได้อย่างแน่นอน”

หมี่โม่หรู่หน้าแดงเล็กน้อย เขากระแอมเสียง และเอ่ยขึ้น “อู๋เยว่”

อู๋เยว่รีบคุกเข่าลงตรงหน้าฉินปู้เข่อ ประสานมือพลางกล่าว “เมื่อคืนข้าน้อยเข้าใจว่าพระชายาวางยาท่านอ๋อง จึงทำให้พระชายาต้องถูกขังคุกโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม”

ฉินปู้เข่อใช้หางตาชำเลืองมองอู๋เยว่ ทันใดนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดหน้าตนเองไปครึ่งหน้า ทั้งยังเบ้ปากอย่างน้อยใจพร้อมเอ่ยเสียงออดอ้อน “ท่านอ๋อง ในคุกใต้ดินนี้มีทุกอย่างจน หม่อมฉันตกใจไปหมด เมื่อคืนหม่อมฉันหลับไม่สนิทเลยเพคะ เรียกฟ้าฟ้าก็ไม่ตอบ เรียกดินดินก็ไม่สนอง น่าสงสารยิ่งนัก”

มุมปากของเสี่ยวเป่ย เสี่ยวตง และคนอื่นกระตุกเบา ๆ ตอนพวกเขาเฝ้ายามเมื่อคืนไม่รู้ว่าหญิงคนใดที่นอนไปด้วยกัดฟันไปด้วย มิหนำซ้ำยังละเมอเพ้อพก นี่น่ะหรือหลับไม่สนิท

นี่มันหลับเป็นตายอย่างกับหมูชัด ๆ

หมี่โม่หรู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เดิมทีเขาแค่อยากให้อู๋เยว่แสดงความรับผิดชอบเพื่อมิให้คนของจวนมหาเสนาบดีนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นทีหลัง ไม่คิดเลยว่าฉินปู้เข่อไม่คิดจะไว้หน้า หากแต่ยังเล่นใหญ่กว่าเดิม

“แล้วชายาอยากให้ข้าทำอย่างไรรึ” หมี่โม่หรู่ถามอย่างอดกลั้น

“ขับไล่อู๋เยว่ไปจากตำหนักเสีย” ฉินปู้เข่อชี้อู๋เยว่พลางกล่าวขึ้น สตรีนางนี้เพียงมองดูก็รู้ว่าคิดไม่ซื่อกับหมี่โม่หรู่ นางต้องรีบตัดสัมพันธ์รอบกายของหมี่โม่หรู่ที่อาจพัฒนาไปอีกขั้นได้ให้ทันท่วงที

“ไม่ได้นะ ข้าน้อยติดตามท่านอ๋องมานานนับสิบปี…”

ฉินปู้เข่อยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากอีกครั้ง มองหมี่โม่หรู่ด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ในคุกใต้ดินแห่งนี้นอกจากจะมีหนู และแมลงสาบแล้ว ยังมีสารพัดแมลงอีกด้วย หญ้าแห้งบนพื้นทั้งเหม็นทั้งแข็ง หม่อมฉันนั่งอยู่ในนั้นทั้งหนาวทั้งหิว…”

“อู๋เยว่ออกจากตำหนักไปก็ไม่มีที่ไป ย้ายนางไปจากข้างกายข้าก่อนเจ้าคิดว่าอย่างไร”

เมื่อคิดดูดี ๆ ฉินปู้เข่อนี่ถือว่ารักษาโรคที่รักษายากของเขาได้ อีกอย่างประเดี๋ยวต้องเข้าวังไปถวายบังคม เวลานี้ไม่เหมาะจะทำเย็นชาใส่นาง

มิหนำซ้ำ…

นัยน์ตาหมี่โม่หรู่ฉายแววมุ่งร้าย มีเพียงทำให้ศัตรูชะล่าใจเท่านั้นจึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อันใด

เขาไม่เชื่อเลยสักนิดว่าฉินปู้เข่อคนนี้เต็มใจแต่งงานกับเขา เพื่อเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชิน

ตาเฒ่าฉินเฉิงหย่งคลางแคลงใจเรื่องอาการป่วยของเขามาตลอด หลายปีมานี้เขาพยายามหยั่งเชิงตนเองตั้งหลายครา แม้ว่าเขาจะปกปิดได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย

แต่ยากจะรับประกันได้ว่าฉินเฉิงหย่งไม่พบอะไรเลยในหลายปีมานี้ บางทีเขาอาจจะสงสัยบ้างแล้ว ถึงได้ยอมตกลงให้ฉินปู้เข่อคนนี้แต่งเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชิน

แค่ลูกอนุคนเดียวเท่านั้น ต่อให้นางจับผิดอะไรได้แล้วตายในตำหนักอ๋องหลี่ชินก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่ก่อนนางตายเขาต้องรู้ให้ได้ว่าฉินเฉิงหย่งมีจุดประสงค์อันใด

“ได้เพคะ” ฉินปู้เข่อตอบตกลงทันที ขอเพียงไม่อยู่ข้างกายเขาก็เพียงพอแล้ว

อู๋เยว่กัดริมฝีปากแน่น นางไม่เชื่อว่าหมี่โม่หรู่จะโยกย้ายนางเพียงเพราะชายาที่เพิ่งแต่งเข้ามาหรอก

นางต้องการจะเอ่ยบางสิ่งออกมา แต่พลันเห็นหมี่โม่หรู่มองฉินปู้เข่ออย่างอ่อนโยน “พระชายาไปล้างหน้าล้างตาเถิด วันนี้เจ้าต้องตามข้าเข้าวังไปถวายบังคมองค์ฮ่องเต้และฮองเฮา”

“ไม่มีปัญหาเพคะ” หลังจากจัดการคนที่อาจเป็นศัตรูความรักอย่างอู๋เยว่ได้แล้ว ฉินปู้เข่อก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย และเดินนำหน้าหมี่โม่หรู่ออกจากคุกใต้ดิน

“ท่านอ๋องเพคะ” ในที่สุดอู๋เยว่ก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ

หากแต่หมี่โม่หรู่ไม่สนใจนางเลยแม้แต่นิด เขาเอ่ยเสียงเข้ม “อู๋เหิน นับแต่วันนี้ไปส่งตัวอู๋เยว่ไปประจำที่ลานนอก ห้ามก้าวเข้ามาในลานด้านในแม้แต่ก้าวเดียว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หมี่โม่หรู่กำลังจะออกไป ทว่าล้อของเก้าอี้เข็นกลับเหมือนโดนบางสิ่งขวางเอาไว้

หมี่โม่หรู่ก้มหน้า ก็พบกับ ‘ไพ่นก’ ในไพ่นกกระจอก?

เขาก้มลงเก็บไพ่นกกระจอกใบนั้นขึ้น และใช้มือลูบไปมาเบา ๆ พลันดวงตาของเขาก็กระตุกเล็กน้อย องครักษ์สี่นายที่เฝ้ายามคุกใต้ดินรีบคุกเข่าคำนับลงต่อหน้าเขาทันที

“ข้าน้อยมิทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ใจจริงมิได้อยากทำตามคำสั่งของพระชายา แต่กลับควบคุมร่างกายไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

องรักษ์ทุกคนในตำหนักต่างเคยได้รับการฝึกฝนที่เหนือมนุษย์ ฝีมือธรรมดาทั่วไปกำราบพวกเขาไม่ได้หรอก

เพราะฉะนั้นหรือว่านี่จะเป็นการทำของหรือวิชาไสยศาสตร์? การเจาะเข็มตามจุดต่าง ๆ? หรือจะเป็นยาหลอนประสาท?

ดูท่าชายาของเขาผู้นี้จะพอมีฝีมืออยู่บ้าง

หมี่โม่หรู่กระตุกยิ้มมุมปาก เขามีรูปโฉมงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อยิ้มออกมาก็ยิ่งดูเย้ายวนใจเข้าไปใหญ่

เขากำไพ่นกกระจอกที่ทำจากกระดูกวัวเอาไว้และออกแรงบีบมันเล็กน้อย เมื่อแบมือออกอีกครั้งในมือเหลือเพียงผงสีเหลืองขาว

เขาสาดผงลงพื้นเบา ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกของหมี่โม่หรู่ดังก้องไปทั่วทั้งคุกใต้ดิน “ไปรับโทษโบยเอาเองแล้วกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเป่ยคุกเข่าข้างเดียวและผงกหัวด้วยความโล่งอก เขานึกว่าพวกเขาสี่คนจะโทษประหารเสียอีก

เนื่องจากอู๋เยว่โดนย้ายตำแหน่งกะทันหัน หมี่โม่หรู่จึงไม่มีนางกำนัลคนอื่นคอยติดตาม ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของฉินปู้เข่อที่คอยเข็นเก้าอี้เข็นของเขาขึ้นรถม้า

แต่สิ่งที่ทำให้ฉินปู้เข่อรู้สึกแปลกใจคือโรคไอของหมอนี่หายดีแล้วแท้ ๆ ตอนอยู่ในคุกใต้ดินและที่ตำหนักอ๋องหลี่ชินก็ไม่เห็นว่าจะไอสักแอะ ไฉนพอออกจากตำหนักแล้วถึงกลับมาไออีกครั้ง

แม้จะไม่รู้ว่าเขาระแวงผู้ใด แต่ฉินปู้เข่อจึงตัดสินใจว่าจะให้ความร่วมมือกับเขาโดยไม่เปิดเผยความลับใด ๆ อย่างไรเสียนางก็เพิ่งจะเคยพบหน้าหมี่โม่หรู่เพียงครั้งสองครั้ง เวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในใจของชายในฝันได้

พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลยตลอดการเดินทาง หลังจากเข้าวังมาแล้วตามกฎมณเฑียรบาล หมี่โม่หรู่ต้องไปถวายบังคมฮ่องเต้ ส่วนฉินปู้เข่อต้องไปถวายบังคมฮองเฮา และมารดาผู้ให้กำเนิดหมี่โม่หรู่ ‘พระสนมเสียนผิน’

นางกำนัลนำทางนางมาถึงหน้าตำหนักเฟิ่งเสียง ร่างคุ้นเคยด้านหน้าเรียกความสนใจจากฉินปู้เข่อได้

เหตุใดฉินเสวี่ยเหลียนถึงถูกปล่อยตัวออกมา?

เมื่อคืนเรื่องที่นางตั้งครรภ์ได้ถูกเปิดเผยออกมา เวลานี้นางจะต้องโดนกักบริเวณอยู่ในจวนมหาเสนาบดีเพื่อสำนึกผิดไม่ใช่หรือ?

หึ นึกว่าฉินเสวี่ยเหลียนจะโดนลงโทษมากกว่านี้ ดูท่านางต้องโหมไฟมากกว่านี้สินะ

ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของร่างเดิมก็ต้องจบชีวิตลงเพราะแผนของผู้เป็นพี่สาว หากปล่อยให้ฉินเสวี่ยเหลียนมีชีวิตอย่างปกติสุขเกินไป ก็รู้สึกผิดต่อเจ้าของร่างเดิมที่อุตส่าห์เหลือที่ไว้ให้วิญญาณของนาง

ฉินปู้เข่อกลอกตาไปมา ก่อนจะร้องเรียกเสียงเบา “ท่านพี่”

เดิมทีแล้วนางเป็นสตรีที่มีใบหน้าน่ารัก เป็นหญิงสาวที่ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต่างรู้สึกเอ็นดู ยิ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ก็ยิ่งดูบอบบางมากยิ่งขึ้น

ฉินเสวี่ยเหลียนหันมามองนางด้วยสายตาชิงชัง