ตอนที่ 23 คนผู้นี้ไม่ธรรมดา

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 23 คนผู้นี้ไม่ธรรมดา

ศิษย์คนสุดท้ายของตงกัวเฮ่าหรานหรือ? ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะสบตากันอีกครั้ง

แม้นในใจจะนึกสงสัย แต่ก่อนที่จะได้ทราบความจริง ทั้งสองยังคงระงับยั้งใจเอาไว้ ประสานมือทักทายตามมารยาท “รบกวนฝ่าซือแล้ว”

หลังกล่าวทักทายพอเป็นพิธีและวางมือลงแล้ว หลานรั่วถิงก็กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ขออภัยที่แซ่หลานเสียมารยาท แซ่หลานและท่านตงกัวเองก็นับว่าเป็นสหายเก่ากัน ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันอยู่พอสมควร ศิษย์สืบทอดของท่านตงกัวแซ่หลานล้วนรู้จักทั้งสิ้น แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านตงกัวมีศิษย์คนสุดท้ายนามหนิวโหย่วเต้าเลย”

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของหนิวโหย่วเต้าแม้แต่น้อย จากที่ถังอี๋เรียกเขาว่าศิษย์น้องต่อหน้าคนนอกก็พอจะเข้าใจได้ว่านางไม่ต้องการให้คนนอกทราบถึงการมีอยู่ของเขา จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เรื่องราวบางอย่างไม่สะดวกจะชี้แจง เอาเป็นว่าข้ามิได้โป้ปดแน่นอน หากมีโอกาสเหมาะสมข้าจะบอกให้ทราบถึงสาเหตุ”

หลานรั่วถิงเหลือบมองซางซูชิงด้วยสายตาแฝงความนัย เขาทราบดีว่าซางซูชิงเป็นสตรีเช่นใด มิใช่สตรีโง่เขลาที่ไร้สมองเหมือนอย่างสตรีทั่วไปแน่นอน จึงไม่ทราบว่าซางซูชิงเชิญคนผู้นี้มาด้วยเจตนาใด

พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นทั้งขบวนก็เร่งเดินทางต่อ เพียงแต่หนิวโหย่วเต้าสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่เป็นมิตรกับตนเท่าไร เขาถูกกระหนาบไว้กึ่งกลางขบวน คล้ายกำลังเฝ้าระวังเขา

อันที่จริงซางเฉาจงและหลานรั่วถิงคาดเดาความคิดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงจะส่งคนมาแบบขอไปทีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ขณะเดียวกันก็กังวลเล็กน้อยว่าหนิวโหย่วเต้าจะมีปัญหาอันใดหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงเฝ้าระวังเขาเอาไว้

ระหว่างทางซางเฉาจงทิ้งระยะห่างจากหนิวโหย่วเต้า จากนั้นรอจังหวะ ก่อนจะฉวยโอกาสเอ่ยถามซางซูชิงว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าได้ขอให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ช่วยกำจัดปานบนหน้าหรือไม่?”

ซางซูชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เสด็จพี่ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยจริงๆ ท่านตงกัวกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ในโลกอันวุ่นวายนี้ ความงดงามใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้นคือสถานการณ์ของพวกเราในเวลานี้ หากรูปโฉมของน้องโดดเด่นเกินไปจะกลับกลายเป็นนำพาความเดือดร้อนมาให้พวกเราได้ อัปลักษณ์สักหน่อยจะเป็นอะไรไป!”

หลานรั่วถิงได้ยินวาจานี้จึงส่ายหน้า สตรีคนใดบ้างจะไม่รักสวยรักงาม

ซางเฉาจงเอ่ยเสียงขรึม “ช้าเร็วเจ้าก็ต้องออกเรือน จะปิดหน้าไปชั่วชีวิตคงมิได้กระมัง!”

ซางซูชิงเอ่ยว่า “เสด็จพี่ ข้ามิใช่ผักหญ้าไร้ความรู้สึก ข้าเองก็โหยหาความรักชายหญิงเช่นกัน จนปัญญาที่เกิดผิดเวลา ท่านและข้าที่ถือกำเนิดในยุคสมัยอันวุ่นวายถูกลิขิตให้ถือกระบี่ตะลุยไปทั่วหล้า ความรักชายหญิงฟุ้งเฟ้อเกินไป เสด็จพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจปานบนหน้าข้าจริงๆ คนทั่วไปข้าย่อมไม่ต้องตา ข้ามองว่าตนคือมุกงามในกองฝุ่น หากได้พบพานผู้ที่ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กันจริงๆ เช่นนั้นถึงจะเป็นคนรักที่ข้าปรารถนาอย่างแท้จริง! เมื่อถึงเวลานั้นข้าย่อมต้องปัดฝุ่นบนกายทิ้งแล้วส่องประกายเยี่ยงไข่มุก! หากมีวาสนา เวลานั้นย่อมมาถึง หากไร้วาสนาก็เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องฝืนเลย!” นางควบม้าปะทะสายลม ม่านแพรปลิวไสว

แม้นคำพูดจะมีเหตุผล ตัวซางเฉาจงเองก็ไม่ปริปากแล้ว ทว่าใบหน้าของเขากลับคร่ำเคร่ง ภายในใจโศกศัลย์ สตรีทั่วไปอายุสิบหกสิบเจ็ดก็ต้องออกเรือนมีลูกแล้ว เพียงนึกชังที่ตนไร้ความสามารถทำให้น้องสาวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ติดอยู่ในคุกหลายปี ทำให้น้องสาวต้องเสียเวลากลายเป็นสาวแก่วัยเกือบยี่สิบปี ด้วยสถานการณ์ของตระกูลซางในยามนี้ ต่อให้ใบหน้าของน้องสาวไร้ปานอัปลักษณ์นั่น จะมีผู้ใดกล้าตบแต่งน้องสาวของตนเล่า? เป็นถึงท่านหญิงฐานะสูงส่ง จะเลือกคนส่งเดชได้หรือ? อีกทั้งเขาก็ไม่ยินยอมให้น้องสาวของตนต้องได้รับความคับข้องใจเช่นกัน ยามที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่เคยพร่ำสั่งกำชับว่าต้องดูแลน้องสาวให้ดี…

……

ระหว่างทางเดินทางบ้างช้าบ้างเร็ว สลับหมุนเวียนเปลี่ยนม้า เพื่อให้ม้าได้มีเวลาพักผ่อนฟื้นตัว

จนกระทั่งพลบค่ำจึงตั้งค่ายพักแรมริมแม่น้ำ มีคนตั้งกระโจม มีคนหาบน้ำก่อไฟ มีคนคอยเฝ้าระวัง มีคนคอยดูแลม้า

กระโจมตั้งเรียงรายริมแม่น้ำ กองไฟก่อขึ้นเป็นหย่อมๆ กลิ่นหอมจากอาหารค่อยๆ โชยขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าที่ยกย้ายหินก้อนหนึ่งมานั่งลงหยิบเอาห่อสัมภาระออกมา หลังจากล้วงหยิบอาหารแห้งออกมาก็นึกถึงคำพูดของถูฮั่น ใคร่ครวญดูเล็กน้อย จากนั้นโยนอาหารแห้งทั้งหมดลงไปในแม่น้ำที่อยู่ด้านข้าง

ซางเฉาจงที่นั่งอยู่ไม่ไกลคอยลอบสังเกตดูหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้ยหยันประโยคหนึ่ง “อาหารแห้งชั้นดีเช่นนี้โยนทิ้งไปไม่รู้สึกเสียดายหรือ ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่รู้มีประชาชนมากน้อยเพียงใดต้องอดอยาก แต่แน่นอน ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ไม่เคยขาดแคลนอาหารการกิน เกรงว่าคงชินกับการกินของดีๆ ไปแล้ว…”

หลานรั่วถิงที่ถือกิ่งไม้คอยเขี่ยกองไฟอยู่ด้านข้างกลับใช้กิ่งไม้ตีเท้าซางเฉาจงเบาๆ ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ซ้ำยังเรียกให้คนไปเชิญหนิวโหย่วเต้าให้ไปกินอาหารร้อนๆ ข้างหม้อร้อนๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วย หนิวโหย่วเต้าได้ยินเสียงเสียงถากถางของซางเฉาจงแว่วๆ แต่ก็มิได้ถือสาอันใด เมื่อมีคนมาเชิญ เขาก็ไปด้วยความยินดี จะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการเติมท้องให้อิ่มอีกเล่า?

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเฉาจงเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์คิดว่าข้าพูดเกินไปหรือ?”

หลานรั่วถิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกข้ายังกังวลว่าคนผู้นี้จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ตอนนี้พอดูแล้ว เกรงว่าคนผู้นี้คงจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ถึงถูกส่งมาให้พวกเราอย่างขอไปที ทว่าตอนนี้ข้ากลับเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่าเขาคือศิษย์ของท่านตงกัวจริงๆ”

ซางเฉาจงร้องอ้อ เอ่ยถามว่า “รู้ได้อย่างไร?”

หลานรั่วถิงชี้แจง “ท่านอ๋องไม่สังเกตเห็นหรือ? เมื่อตอนกลางวัน เขาก็มาขออาหารจากพวกเราเช่นกัน แม้แต่อาหารแห้งหยาบๆ เหล่านั้นก็ยังกินได้ แต่อาหารแห้งชั้นดีเช่นนี้กลับโยนทิ้งไปโดยไม่ลิ้มรสเลย นี่มิได้เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือ? เมื่อรวมกับเรื่องที่เขาถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งมาติดตามพวกเรา คาดว่าเขาคงคลางแคลงสงสัยว่าอาหารแห้งนั้นจะมีปัญหาบางอย่าง วันพรุ่งนี้ไม่จำเป็นต้องจับตามองเขาขนาดนั้นแล้ว มิสู้ผ่อนคลายเปิดโอกาสให้เรียนรู้ซึ่งกันและกันสักหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงมองหนิวโหย่วเต้าที่นั่งดื่มกินร่วมกับเหล่าทหาร เผยสีหน้าครุ่นคิดใคร่ครวญ

ซางซูชิงกลับมาจากล้างหน้าล้างตาริมแม่น้ำ ช่วงกลางคืนหมวกม่านแพรถูกถอดออก ผมสลวยปล่อยสยาย พลิ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน เผยให้เห็นถึงความงามสง่าที่ดูอ่อนโยนดั่งสายวารี หลังเดินมาถึงด้านนี้ หลานรั่วถิงจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหญิงมีปัญญาเฉลียวฉลาด มิใช่คนมุทะลุทำอะไรไม่ครุ่นคิดไตร่ตรอง เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมองไม่ออกว่าคนผู้นี้เยาว์วัยไร้ซึ่งพลังและสภาวะ แล้วเหตุใดถึงยังตอบตกลงให้คนผู้นี้ติดตามมาด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงนั่งลงบนเก้าอี้พับที่อยู่ด้านข้าง สางเรือนผมสลวยปรกไหล่ทั้งสองข้าง เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ความคิดของเสด็จพี่และท่านอาจารย์ชิงเอ๋อร์ล้วนทราบดี จะว่าอย่างไรดีล่ะ ประการแรกคือรู้สึกว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย ประการที่สองคือข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เวลานี้เสด็จพี่กำลังขาดแคลนคน ต่อให้ได้คนที่มีความสามารถมาช่วยเสด็จพี่เพิ่มอีกเพียงครึ่งคนมันก็ยังดีกว่าไม่มีเลย”

พอได้ฟังเช่นนี้ หลานรั่วถิงก็นึกสนใจขึ้นมาในทันใด “เหตุใดท่านหญิงจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงนั่งเอียงกายเผยใบหน้างดงามด้านข้าง แต่ใบหน้าอีกด้านหนึ่งที่อยู่ภายใต้แสงกองไฟส่องสลัวช่างดูคล้ายกับใบหน้าภูตผีอย่างไรอย่างนั้น นางไตร่ตรองเล็กน้อย พยายามเรียบเรียงความคิดก่อนเอ่ยว่า “ถังอี๋เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนปัจจุบัน ศิษย์ในสำนักต่อให้เป็นศิษย์ที่มีลำดับอาวุโสสูงกว่านางเมื่อพบนางก็ต้องเคารพนอบน้อบ ทว่าหนิวโหย่วเต้าผู้นี้เมื่อพบถังอี๋แม้จะนับว่าให้เกียรติเช่นกัน แต่ภายในนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกบางอย่าง รู้สึกเหมือนเป็นการให้เกียรติเพียงฉากหน้า เนื้อแท้คล้ายจะเห็นถังอี๋อยู่ในระดับเดียวกัน ที่น่าแปลกใจที่สุดคือข้าคล้ายสังเกตเห็นว่ายามที่เผชิญหน้ากับเขา ถังอี๋ดูแข็งนอกทว่าอ่อนใน ดูคล้ายกำลังฝืนวางท่าอยู่เหนือกว่า แต่ความจริงกลับคล้ายละอายใจ มักจะหลีกเลี่ยงการสบตากับหนิวโหย่วเต้าอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่เสมอ”

“ละอายใจหรือ?” ซางเฉาจงเอ่ยด้วยความแปลกใจ

ซางซูชิงกล่าวว่า “เสด็จพี่ อย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นสตรีเช่นกัน ข้าสามารถเข้าใจถึงการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่สะท้อนถึงความคิดภายในใจของสตรีได้”

หลานรั่วถิงถามด้วยความฉงน “ถังอี๋เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ คนผู้นี้ดูอายุน้อยเยาว์วัย ไยถังอี๋ต้องละอายใจเมื่อเผชิญหน้ากับเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงส่ายศีรษะพลางกล่าว “ท่านอาจารย์ จุดนี้ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน แรกเริ่มข้านึกว่าตนมองผิดไป โชคดีที่ข้าสวมหมวกม่านแพรไว้จึงสามารถสังเกตการณ์อย่างละเอียดจริงจังได้ หลังจากจับตามองอยู่หลายครั้ง ก็รู้สึกว่าไม่พลาดแน่นอน ถังอี๋น่าจะรู้สึกละอายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสบตากันแวบหนึ่ง ต่างอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองดูหนิวโหย่วเต้าที่กำลังนั่งกินอาหารแห้งดื่มน้ำแกงร้อนๆ พลางพูดคุยหัวเราะอยู่ข้างกองไฟที่ตั้งอยู่ไกลออกไป ท่าทีกลับดูคล้ายคนที่เปิดเผยอยู่ไม่น้อย

“อารามท้องามงดในดงท้อ เซียนดอกท้อพักกายมิใฝ่ฝัน หวังเพียงได้เร้นกายใต้แสงจันทร์ ทุกคืนวันเก็บดอกท้อแลกสุรา…”

เสียงร่ายกลอนใสกังวานทำให้คนทั้งสองหันกลับมามองซางซูชิงอีกครั้ง ทั้งคู่ล้วนแต่ตะลึงอยู่ไม่น้อย

ซางซูชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่องกลอนทั้งหมดที่อยู่ในความทรงจำออกมาด้วยสีหน้าใช้ความคิด “ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา ประเดี๋ยวเมาประเดี๋ยวสร่างลืมเวลา ผกาผลิร่วงโรยราไปตามปี ใจเฝ้าหวังเมาสิ้นกลางหมู่ไม้ มิขอโค้งโน้มกายหน้าเสฎฐี ไม่มุ่งหมายควบอาชาฝ่าธุลี ขอเพียงมีจอกสุรากิ่งบุปผาก็เพียงพอ หากคิดเปรียบผู้มั่งมีกับคนยาก เสมือนดั่งเหล่าฝูงกามองฝูงหงส์ หากคิดเปรียบอาชาแลบุษบง อาชาวิ่งบุษบงว่างทุกคืนวัน ท่านหัวร่อมองข้าบ้าลอบขบขัน ข้าหัวร่อมองว่าท่านช่างตื้นเขิน ฤาไม่เห็นห้าสุสานคนหมางเมิน เกิดเป็นนาเพราะไร้เหล้าและมาลี!”

นางชาญฉลาดมีพรสวรรค์ มีความสามารถที่เห็นเพียงผ่านตาก็มิลืมเลือน ความทรงจำย่อมเลิศล้ำเช่นกัน กลอนที่หนิวโหย่วเต้าร่ายออกมาเพียงครั้งเดียว นางเองก็ฟังเพียงครั้งเดียวเช่นกัน คิดไม่ถึงว่านางจะท่องตามได้

หลังร่ายจบ นางก็เงยหน้ามองปฏิกิริยาของคนทั้งสอง

ซางเฉาจงหัวเราะฮ่าๆ “นี่คือกลอนที่ชิงเอ๋อร์แต่งขึ้นมาใหม่หรือ? ยามสร่างรู้เพียงนั่งยลดอกไม้ ครั้นเมามายหวนเอนกายใต้บุปผา…ฮ่าๆ กลอนดี ฟังดูมีอิสระไร้ซึ่งความผูกมัด เพียงแต่ให้ความรู้สึกเกียจคร้านหมดอาลัยไปหน่อย นี่คือชีวิตที่ชิงเอ๋อร์ปรารถนาหรือ?”

ซางซูชิงส่ายศีรษะ จากนั้นมองดูปฏิกิริยาของหลานรั่วถิง

หลานรั่วถิงใคร่ครวญดูเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาว่า “ข้าเคยไปเยี่ยมเยือนสถานที่ฝึกบำเพ็ญเพียรของท่านตงกัวมา ด้านหน้าประตูมีต้นท้อพันปีอยู่ต้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผลิร้อนร่วงหนาว ดอกท้อก็เบ่งบานราวหมู่เมฆในยามเช้า น่าอัศจรรย์ยิ่ง แล้วก็สร้างความรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งโดยแท้ จู่ๆ ท่านหญิงร่ายกลอนบทนี้ขึ้นมา หรือจะเป็นความประทับใจแรกในยามที่พบหนิวโหย่วเต้าพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงส่ายหน้าอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้ามิได้เป็นคนแต่ง กลอนนี้เป็นผลงานของหนิวโหย่วเต้า ยามนั้นข้าตามถังอี๋ไปเยือนสวนดอกท้อ หนิวโหย่วเต้ากำลังนอนหลับอย่างสุขสบายอยู่บนเก้าอี้เอนหลังตัวหนึ่งใต้ต้นท้อ หลังจากรู้ว่านี่คือฝ่าซือที่จะส่งมาคุ้มครองพวกเรา ความจริงภายในใจข้าก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน เมื่อดูจากอายุของหนิวโหย่วเต้าก็พอจะมองออกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จัดการเรื่องนี้ให้พวกเราอย่างขอไปที ในเมื่อไร้น้ำใจเช่นนี้ ฝืนใจไปก็ไร้ประโยชน์ ขณะที่เตรียมจะคืนกระบี่แล้วกล่าวอำลา ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต้ากลับบิดขี้เกียจขึ้นมาแล้วท่องกลอนนี้ออกมาเรื่อยเปื่อยเสมือนอยู่ในห้วงฝัน ยามนั้นข้ารู้สึกตื่นตะลึงในพรสวรรค์ด้านวรรณศิลป์ของเขา อีกทั้งในบทกลอนอีกฝ่ายยังเปรียบตนเป็นยอดคนผู้ละทางโลก ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่ามีความสามารถทว่าไร้โอกาสได้เปิดเผย ข้าถึงได้อดทนรอดูต่อไปแล้วค่อยว่ากัน จากนั้นจึงสังเกตเห็นความผิดปกติของถังอี๋ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย เลยเชิญคนผู้นี้ลงเขามาด้วยกัน ใช่แล้ว แรกเริ่มเดิมทีคนผู้นี้แสดงท่าทีอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่อยากลงเขามากับข้า ต่อมาไม่ทราบถังอี๋พูดอะไรกับเขา เขาถึงได้ยอมตกลง ตอนที่เขาจากมา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่แม้แต่จะให้โอกาสเขาได้กล่าวอำลาด้วยซ้ำ เพียงส่งศิษย์คนหนึ่งให้มาส่งเขาอย่างขอไปที สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอับจนหนทางของเขาได้อย่างชัดเจน”

“โอ้!” หลานรั่วถิงม้วนเครา สายตาเหลือบมองไปทางหนิวโหย่วเต้า “พอได้ฟังท่านหญิงเล่าเช่นนี้ ในบทกลอนนี้ให้ความรู้สึกของการเปรียบตนเป็นยอดคนผู้ละทางโลกอยู่จริงๆ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว บุคลิกท่วงท่าของคนผู้นี้เองก็ไม่ธรรมดาเลย มีความสุขุมผ่าเผยอยู่หลายส่วน ซ้ำยังมีความสามารถด้านกวีศิลป์เช่นนี้อีก ไม่เหมือนศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เคยพบพานมาเลย น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ เอาไว้ข้าจะหาโอกาสทดสอบเขาดู อยากลองดูสิว่าจะมีความสามารถสูงส่งแค่ไหนกัน…”

……………………………………………….