วันที่ 27 ของการเดินทาง
จากเรื่องเมื่อคืน เรื่องที่วิกตอเรียได้มอบคมดาบของเธอให้กับผม มันยังทำให้ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งตัวเองได้ประสบไป มันเกินกว่าที่ผมจะสามารถรับเอาไว้ได้ กับผู้ชายที่แม้แต่ชีวิตตัวเองยังรักษาเอาไว้แทบไม่ได้ จะมาเป็นนายของใครนี่มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมมากเลยทีเดียว
ไอ้เรื่องนั้นมันทำให้ผมคิดไม่ตกตลอดมาจนถึงตอนนี้เลยล่ะ รวมถึงเรื่องของผนึกที่อยู่บนแขนทั้งสองข้างนี่ก็ด้วย ผมรู้วิธีเอาร่างหอกของพวกมันออกมาก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้วิธีที่ใช้หอกที่ถูกต้อง มีเพียงแค่ความสามารถรวมถึงพลังของอาร์ตเท่านั้นที่ติดตัวมาด้วยตอนผมใช้มัน
บางทีพวกคุณอาจจะยังสงสัยกันอยู่ แต่ไอ้ ART เนี่ยเป็นคำเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งที่ไม่ใช่สกิล แต่เป็นศิลปการต่อสู้เฉพาะของแต่ละคน แต่ละสำนัก อะไรประมาณนั้น
ไอ้ที่ผมใช้เมื่อตอนอยู่ในเกตน่ะคือศิลปการต่อสู้ของพวกทูตสวรรค์ที่มิคาเอลได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตของเธอ แม้ผมจะไม่สามารถทำให้มันสมบูรณ์แบบได้ แต่ผมก็เพิ่มความแข็งแกร่งของพลังนั้นได้โดยลองกินุสที่สถิตอยู่ในร่าง
และการที่ผมสามารถใช้มันได้นั้น เป็นเพราะว่าตัวของผมสามารถดึงพลังจากทูตสวรรค์ที่ถูกผนึกอยู่มาใช้ได้นั่นแหละ แต่มันค่อนข้างกินแรงของผมไปมากเลยล่ะ มันเยอะถึงขั้นที่ว่าถ้าหากได้ถือใช้อาร์ตลองกินุสอีกสักครั้ง ร่างกายคงจะแทบพังไปเลยล่ะ
เพราะงั้นตอนนี้ผมไม่ขอใช้พลังอะไรเทือกนั้นก่อนก็แล้วกัน อนึ่งเพื่อความปลอดภัยของผมด้วยล่ะนะ
“ อ้อ จริงสิ วันนี้วันที่ 27 แล้วสินะที่ฉันออกเดินทางมาที่นี่ ถ้าหากไม่รีบกลับไปก็คงไม่ทัน ”
“ ไม่สิ- ถึงจะใช้เรือกลับก็คงจะไม่ทันอยู่ดีแฮะ ”
ผมลืมคิดเรื่องการเดินทางกลับไปซะสนิทเลย ทีแรกก็ว่าจะใช้เรโมดิชเปลี่ยนเป็นแบล็คซันแล้วขี่มันกลับ แต่เหมือนจะทำงั้นไม่ได้แล้วสิ ด้วยพลังในตอนนี้ของผมแม้จะใช้เรโมดิช ก็น่าจะใช้เวลาอย่างต่ำ 5 วันล่ะนะ
ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คงจะเป็นการใช้ปีกของทูตสวรรค์ แม้มันจะไม่ได้กินพลังงานมากเท่ากับลองกินุส หรืออาร์ตอื่นๆ แต่การที่ต้องรับแรงกระแทกจากลมแรงๆเนี่ย มันเจ็บมากเลยไม่ใช่รึไง?
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ผมใช้พลังจิตคลุมร่างเอาก็ได้นี่นา!
หากผมใช้ปีกของทูตสวรรค์ รวมกับพลังจิตก็คงจะประหยัดแรงไปได้มากเลยทีเดียว!
เอาล่ะ! คิดหาวิธีกลับไวๆออกแล้ว งั้นเรื่องต่อจากนี้ ขอลองอะไรสักหน่อยเถอะ
“ ฮึบ- ”
ผมลุกขึ้นมาจากเตียง
ก่อนที่จะมุ่งตรงลงไปยังต้นไม้ใหญ่ยูดรา เพื่อเข้าไปในลาสต์โฮลเดอร์ที่ที่ผมคิดว่าคุณกอร์น่าจะอยู่ และแน่นอนว่าวิกตอเรียเองก็ตามผมเข้ามาด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ได้ผ่านประตูแห่งแสงเข้ามายังทุ่งดอกไม้ ดูวีจะประทับใจมากเลยล่ะ
“ นั่นไง! ”
ผมเห็นคุณกอร์นั่งดื่มชาอยู่กับคุณซิมฟ์ล่ะ ไม่นานนักเมื่อคุณกอร์สังเกตเห็นผม เขายิ้มขึ้นก่อนจะกวักมือเรียก
“ มาที่นี่แต่เช้า มีอะไรรึ? ”กอร์
ที่ผมมาที่นี่ไม่ได้เพื่อจะมาลาเขาก่อนไปอย่างเดียวหรอกนะ ธุระของผมคือการที่ผมอยากจะเห็นวิชาของเขา เพื่อนำมันไปอยู่ในการฝึกฝนของผมในแต่ละวันหลังจากนี้
ก็นะ คุณกอร์เขาแกร่งที่สุดในโลกนี่ เขาคงจะมีวิชาดีๆอย่างอื่นนอกจากอาร์ตของขวานด้วยน่ะนะ
“ คุณพอมีวิชาหอก กับศิลปการป้องกันตัวเจ๋งๆไหมครับ? ”
“ หอก? กับศิลปการป้องกันตัว? เอาไปทำไม? ”กอร์
“ แน่นอนว่าต้องเอาไปฝึกสิครับ! ”
เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้น
“ ฮ่าฮ่าฮ่า ฝึกงั้นรึ? ก็ได้! ข้าจะเอาของดีให้ดู ”กอร์
…
ใจกลางของลาสต์โฮลเดอร์
“ ที่นี่มีที่แบบนี้ด้วยหรอเนี่ย? ”
“ มีสิ ”ซิมฟ์
คุณซิมฟ์พาพวกเรามาที่ลานโล่งๆ ถัดจากวิหารแห่งลม เป็นสถานที่ที่ไม่มีดอกไม้ขึ้นมันเป็นเหมือนกับสนามฝึกซ้อม หรือสนามต่อสู้อะไรพวกนั้น คุณกอร์เข้าไปยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างนั้น
ก่อนที่เขาจะเริ่มแสดงวิชาให้ดู เขาได้ขอให้ผมเอาของดีที่ผมมีอยู่ออกมา
ซึ่ง.. ของดีที่เขาว่าคงจะหมายถึงลองกินุสกับหอกของลูซิเฟอร์ล่ะมั้ง?
“ กึก- ”
แขนทั้งสองข้างของผมเกิดอาการเกร็งอย่างรุนแรงขณะที่นำพวกมันออกมา รอยสักทั้งสองหายไปและปรากฏขึ้นมาเป็นหอกสีทองหนึ่งเล่มที่มือซ้าย และหอกสีแดงดำอีกเล่มที่มือขวา
ผมปักพวกมันลงพื้น แล้วทำการนวดมืออย่างช่วยไม่ได้
ก็นะ การที่เอาของพวกนั้นออกมามันจำเป็นจะต้องใช้พลังมากเลยนี่นา แถมพวกมันยังทำให้แขนของผมชา แถมยังสั่นไม่หยุดอีก บ่งบอกว่่าพวกมันไม่ใช่หอกธรรมดาๆ อีกทั้งออร่าอันน่ากลัวที่พวกมันปล่อยออกมานั้นมันแทบจะสามารถกอทับร่างของเราให้อยู่กับพื้นได้เลย
เป็นแรงกดดันที่น่ากลัวจริงๆ
“ น่าสนใจ ”กอร์
แต่ดูคุณกอร์จะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลยสักนิด เขาแค่สนใจในความแข็งแกร่งของพวกมันก็เท่านั้น
“ งั้นข้าจะแสดงอะไรดีๆให้ได้ดู ใช้ ยุทธศาสตร์จำลอง จดจำมันให้ดีล่ะ ”กอร์
ทันทีที่คุณกอร์พูดจบ ผมก็เปิดใช้ยุทธศาสตร์จำลองตามที่เขาแนะนำทันทีเลย
เนื่องจากลองกินุสไม่ได้สลักอยู่ลนร่างของผม แต่อยู่ในรูปแบบหอกในขณะนี้ มันจึงไม่ได้มีผลทำให้สกิลเกือบทั้งหมดของผมนั้นไร้ผลอีกต่อไป
ขวับ-
ฟุบ-
ในวินาทีนั้น คุณกอร์ก็เริ่มร่ายรำหอกของเขา เป็นท่ารำหอกที่ทะมัดทะแมง ดุดัน และสง่างามมาก พอมาจนถึงจังหวะนึงของการบรรเลงเพลงหอก เขาก็เริ่มเสริมมานาและออร่าของตนเองเข้าสู่อาวุธ ก่อนที่ในการโจมตีแต่ละครั้งนั้นจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองนั้นได้เห็นถึงความตายที่ปรากฏตรงหน้าขึ้นมาทุกรอบ
ทุกท่วงท่าต่างเล็งไปที่จุดตายไม่ต่างจากอาร์ตของแสงศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในแต่ละท่าทางของเขายังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวเขาเองอย่างท่วมท้น
“ ในการใช้หอก เจ้าไม่จำเป็นจะต้องยึดตามหลักการเสมอไป เพียงแค่ปล่อยให้เป็นไปตามใจของเจ้าเอง เจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงวิชาที่เป็นของเจ้าจริงๆได้ ข้าสอนได้เพียงเท่านี้ ”กอร์
“ ส่วนการต่อสู้มือเปล่านั้น เจ้าได้เรียนรู้ไปตั้งแต่ที่เจ้าได้ศึกษาวิชาหอกของข้าแล้วล่ะ ”กอร์
“ มันมีชื่อเรียกรึเปล่าครับ? วิชาหอกของคุณน่ะ? ”
“ มีสิ มันถูกเรียกว่า อสูรสงคราม ”กอร์
“ อ่า ใช่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ได้สอน ”กอร์
“ อะไรหรอครับ? ”
“ การใช้อาร์ต ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอรู้จักอาร์ตบ้างนะ ”กอร์
“ ครับ! ”
“ อาร์ตของข้าถูกเรียกว่า อสุรา เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งมาจนถึงตอนนี้ ”กอร์
หลังจากนั้นออร่าของคุณกอร์ก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ก่อนที่แขนของเขาจะปรากฏขึ้นมาอีกสองคู่
รวมๆแล้วตอนนี้คุณกอร์มีแขนอยู่ทั้งหมดหกข้าง มันเหมือนกับอาชูร่าเลย.. นี่มันเท่โคตรๆ แล้วก็ออร่าของคุณกอร์นั้นมันแข็งแกร่งซะจนสามารถโต้กลับออร่าของลองกินุสได้เลย ผมคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ความโม้เรื่องพลังของเขาสมกับที่เขานั้นสามารถฆ่าบางกองทัพได้จริงๆ
ผมที่ได้รับรู้ และได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง จึงได้ทำการขอบคุณคุณกอร์ก่อนจะออกไปพร้อมๆกับวิกตอเรีย โดยมีคุณกอร์ยืนส่งยิ้มให้ตามมาอยู่ข้างหลัง
…
หลังจากที่ผมออกมา ทางฝั่งของแคลนวาคิวเรียเองก็ต้องรีบไปแล้วเช่นกัน ผมจึงได้ลากับทุกคน โดยเฉพาะวิกตอเรีย แม้เธอจะสวมหมวกเกราะกลับไปดังเดิม ผมก็ยังคงสามารถรู้สึกถึงใบหน้าที่แท้จริงของเธอได้อยู่
ผมกอดเธอ ส่วนหนึ่งก็เพื่อปลอบใจเธอและเพิ่มกำลังใจให้อัศวินของผมล่ะนะ
“เธอเข้มแข็งมากนะ อัศวินของฉัน ”
ไม่รู้ทำไม เหมือนผมได้ยินเสียงสะอื้นอยู่ภายในชุดเกราะเลยแฮะ คงจะคิดไปเองล่ะมั้ง
“เจอกันที่สถาบัน ”เร็กซ์
“เจอกันที่สถาบัน-.. ห๊ะ? ร- รู้ได้ไง??? ”
“ ครูว์บอกน่ะสิ่ ”เร็กซ์
“ เอาเป็นว่า บาย ”เร็กซ์
“ บาย ”
ครูว์นี่ก็จริงๆเลย ตอนแรกผมไม่คิดว่าเธอจะปากโป้งแบบนี้นะเนี่ย แล้วนี่จะให้ทะเลาะกันไปจนถึงไหนวะเนี่ย
“ เจอกันค่ะรุ่นพี่ ”แวร์
“ เจอกัน ”
“ ไว้พบกันใหม่นะ อื้อ ”มาน็อค
“ ขอบคุณที่ดูแลนะคะ ”เรีย
“ ฉันต่างหากที่ถูกดูแลน่ะ ”
“ ไว้พบกันนะคะอัลเลียนคุง ”มิกะ
“ อื้ม ”
เมื่อพวกเธอได้เดินไปจนลับตาผม ทีนี้ก็ถึงตาของผมแล้วที่ต้องกลับไปยังดินแดนของตัวผมอีกคน
ให้ตายสิ คิดถึงยัยนั่นชะมัด
“ จะกลับแล้วใช่ไหมคะ? ”เรกกะ
ทว่าน้องสาวตัวเล็กก็ได้เข้ามาหยุดผมไว้ ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง เธอมาพร้อมกับกล่องของขวัญชิ้นหนึ่งที่ดูจะเป็นของฝากของพวกน้องๆ แม่และพ่อที่ผมลืมไว้
“ พี่แล้วไว้น่ะ ”เรกกะ
“ นั่นสินะ ขอบคุณมาก! ”
“ แล้วสภาพแบบนั้น พี่จะไม่เป็นไรหรอ? ”เรกกะ
เธอคงจะกังวลสินะ ที่เห็นผมมีผ้าพันแผลเต็มตัวแบบนี้น่ะ แต่ขอบอกเลยว่าสบายมาก! เพราะตอนนี้ผมรู้สึกมีกำลังใจเต็มเปี่ยมไปหมด!(จากการกอดผู้หญิง)
“ ไม่เป็นไรหรอก! ขอบคุณมากที่เป็นห่วงนะเรกกะ! ”
“ แล้วคุณทวดล่ะ? ”
“ ท่านทวดยุ่งน่ะค่ะ เลยไม่ว่างมาส่ง ”เรกกะ
“ อืม แต๊งกิ้วหลายนะ! พี่ไปล่ะ! ”
“ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมด้วยนะค้า~ ”เรกกะ
แล้วผม ก็เริ่มเดินทางออกจากเมืองแห่งนี้ พร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบที่บรรจุสิ่งสำคัญไว้ในนั้น
ผมแน่ใจแล้วว่าผมไม่ได้ลืมอะไรไว้ที่นี่ ทั้งอาวุธเทพทั้งสองที่กลายมาเป็นรอยสัก ความรู้จากการต่อสู้ของคุณกอร์ และอาร์ตของเขาที่เปิดเผยให้ผมได้รู้ สำหรับการใช้สิ่งเหล่านั้นให้ชำนาญ ผมคงจะต้องใช้เวลาพอสมควรเลยล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเพื่อความแข็งแกร่งแล้วผมทนได้!
ระหว่างที่กำลังเดิน ผมเริ่มกางปีกทั้งสามคู่ออกมา ปีกของผมมันแตกต่างจากครั้งที่ผมสามารถใช้ปีกของมิคาเอลได้อย่างเห็นได้ชัด มันเป็นปีกสีขาวบริสุทธิ์ด้านซ้าย และปีกสีดำทมิฬของลูซิเฟอร์ด้านขวา ทั้งสีขาวและสีดำที่อยู่คนละด้านรวมถึงตัวผมที่อยู่ตรงกลาง มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือสมดุลของพลังของผม
นึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นสิบี๋!
กางปีกแล้วบินขึ้นไปเลย!!
ทันทีที่ผมกางปีกออกมา ขาของผมมันอ่อนแรงไปหมด จนแทบจะล้มฝุบลงไปกับพื้น
แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ในการที่จะใช้ปีกให้ได้ ผมจึงออกวิ่งอย่างสุดแรง
ก่อนที่จะกระพือปีกบิน
ด้วยปีกขนาดใหญ่ของทูตสวรรค์ทั้งสามคู่นี้ ทำให้การกระพือปีกหนึ่งครั้งของผมสามารถทำให้เกิดลมกรรโชกพัดพาให้ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่โคลงเคลงได้เลย
ถ้าผมจำไม่ผิด ความเร็วในการบินของทูตสวรรค์คือเกือบเท่าแสง เพราะงั้นในตอนนี้ผมจึงต้องใช้พลังจิตแรงก์ D ของผมในการคลุมร่างไม่ให้แรงกระแทกที่โถมมาหาผมนั้นมากเกินไป อีกอย่างพลังจิตก็ยังสามารถเบี่ยงลมที่เข้ามาปะทะได้อีกด้วย
ผมล่ะรักมันจริงๆ
เพราะฉะนั้น ด้วยความเร็วระดับนี้ผมคงจะสามารถถึงบ้านตระกูลเจเนซิสได้ในไม่กี่วินาทีนะ แม้ว่าพื้นที่ตรงหน้าของผมจะเป็นทะเลมรสุมสุดจะอันตรายก็เถอะ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เจ๊ลูซิเฟอร์ยังจะน่ากลัวกว่าไอ้ทะเลบ้านี่เยอะเลย
เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่า
พรึบ-
ฟิ้ว!~
…
บ้านตระกูลเจเนซิส
“เมเดียร์ลูกไปรับแขกให้แม่หน่อยสิ ”วิเวียน
“ห๊ะ? แขกอะไรแม่ ไม่มีใครมานี่สักหน่อย ”เมเดียร์
ขณะที่ฉันกำลังจัดของเตรียมสำหรับการเข้าหอในวันเปิดภาคเรียนแล้ว ก็ต้องมาได้ยินคำพูดแปลกๆของแม่ที่ว่าแขกจะมา แต่แม่รู้อะไรไหม วันนี้ไม่มีใครมาบ้านเราหรอกนะ!
แต่เดี๋ยวนะ? แม่ฉันดูอนาคตได้ไม่ใช่เรอะ??
งั้น ใครจะมาล่-
ตู้มมม!!!
“ เกิดอะไรขึ้นน่ะ!! โรเซ่! ”เมเดียร์
“ แม่บอกแล้วว่าแขกจะมา ”วิเวียน
หลังจากที่แม่พูดจบได้ไม่นาน ข้างนอกก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น แถมยังมีฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ฉันเดินออกมาดูข้างนอก ตรงที่เกิดเหตุเป็นที่ที่โรเซ่กำลังฝึกวิชาดาบประจำตระกูลอยู่พอดี พอฉันมองเข้าไปภายในกลุ่มฝุ่นควันจากพื้นดินนั่นแล้ว ก็เห็นปีกสีดำขนาดใหญ่อยู่บนพื้น?
พร้อมๆกับเสียงร้องโอดโอยของใครบางคน
“ โอ้ย…. เจ็บ.. โว้ย.. ”
“ อะไรกันอ่ะท่านพี่? มีอะไรร่วงลงมาหรอ? ”โรเซ่
“ ไม่รู้เว้ย ”เมเดียร์
แต่พอฝุ่นหายไปจนหมด ก็ต้องพบว่าคนที่ร่วงลงมาจากฟ้านั้นคือคนที่ฉันรอคอยมานานจนแทบบ้า
“ เห้ย ”เมเดียร์
“ …ไง ยัยบ้า ”
ปีกนั่นมันมีทั้งสีดำ กับสีขาว? ไม่นานนักปีกนั่นก็กลายเป็นละอองแสงสีทองหายไป ฉันรีบเข้าไปดูอาการที่ร่างของบี๋ แต่ดูเหมือนว่าเจ้านี่มันจะไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิด
แต่มันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่มันร่วงลงมาจากฟ้าอย่างแรง ก็ดูว่ามันจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรสักเท่าไหร่เลย
นี่นาย ไปทำอะไรกันแน่ว่าเนี่ย ไอ้บ้า
“ บี๋ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แกไปทำอะไรมากันแน่… ”เมเดียร์
“ ฮ่าฮ่า.. ฮ่า.. ไปตายมั้ง~ ”
ตัดจบตอน