ตอนที่ 16 สนใจหนานหนาน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 16 สนใจหนานหนาน

ถึงหนานหนานจะระวังตัวมาก ๆ แล้ว แต่ก็ยังสะดุดล้มอยู่หลายหน ผิวบอบบางสีชมพูระเรื่อเกิดเป็นรอยฟกช้ำภายในเวลาสั้น ๆ มันเจ็บเสียจนใบหน้าของเขาย่นเข้าหากันเป็นก้อนกลม ๆ

“โอ๊ย ล้มอยู่นั่นแหละ” หนานหนานเหยียบขึ้นบันไดเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า และปีนขึ้นไปด้วยความหงุดหงิด

“โอ๊ย ตรงนี้ทำไมถึงมีกระถางดอกไม้ล่ะ แถมยังมีหนามด้วย!” หนานหนานรีบกระโดดออกห่าง ก่อนจะออกแรงถูแขนแรง ๆ

“โอ๊ย เสาหัก ชนอยู่นั่นแหละ” หนานหนานใช้มือตบเข้าที่เสาตรงหน้าอย่างแรง ตอนนี้เขาหัวเสียจนจะทนไม่ไหวแล้ว

ผู้พิทักษ์ทมิฬที่แอบซ่อนอยู่มุมปากกระตุกวูบขณะมองเงาเล็ก ๆ ที่เดินก้าวหนึ่งก็เจอกับปัญหามากมายใต้แสงจันทร์ อันที่จริงเขาอยากปรากฏตัวแล้วบอกหนานหนานเสียเหลือเกิน หากยังบ่นฉอด ๆ แบบนี้ไม่หยุด เกรงว่าคนของจวนโม่คงได้ตื่นเพราะเสียงโวยวายของเขาจนหมด และทุกคนคงได้เข้ามาล้อมวงดู

แต่น่าเสียดาย ท่านโม่บอกเขาว่าอย่าสนใจเด็กคนนี้ ทั้งยังบอกเขากึ่งตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ…ถึงตำแหน่งห้องของนายท่านด้วย

อันที่จริงพวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากขนาดนี้วางแผนใส่เด็กที่อยากทำตัวเป็นโจรแต่ไม่ได้เป็นโจร คงไม่มีหน้าไปเจอใครแล้วจริง ๆ

เย่ซิวตู๋ที่อยู่ในห้องมีความสามารถในการได้ยินที่น่าทึ่ง หนานหนานพูดอะไรเขาก็ได้ยินแทบทุกคำไม่ตกหล่น เพียงแต่…จู่ ๆ ตอนนี้เขาก็เกิดความสงสัยว่าวิธีที่เขาทำไม่ค่อยถูกต้องหรือไม่ เด็กคนดูคล้ายกับเดินกร่างเข้ามาเพื่อยั่วโมโหเขามากกว่า

เดินอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหนานหนานก็เปิดประตูห้องของเย่ซิวตู๋ภายใต้ทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ได้สักที

ทั้งห้องมืดตึ๊ดตื๋อ หนานหนานโผล่เข้ามาสำรวจด้านในห้องครึ่งตัว เมื่อมองซ้ายเหลียวขวาไม่เห็นใคร ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาในทันที เพราะคิดว่าตนเองแอบเข้ามาได้แล้ว

“แปลกจัง ดึกดื่นขนาดนี้ ท่านลุงคนนั้นไปไหนแล้วนะ?” หนานหนานยืนอยู่กลางห้อง เย่ซิวตู๋ที่นั่งอยู่ด้านในแอบกระตุกมุมปากเล็กน้อย

“ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ถึงอย่างไรท่านลุงไม่อยู่นี่แหละดีที่สุด ข้าก็ไม่ได้มาหาเขาสักหน่อย” หนานหนานก้าวเท้ามาด้านหน้าอีกสองสามก้าว จากนั้นก็คลำหาไข่มุกรัตติกาลเม็ดเล็ก ๆ ออกมาจากด้านในเสื้ออย่างระมัดระวัง

เมื่อผายมือเล็ก ๆ ออก ทั้งห้องก็สว่างวาบขึ้นทันใด ของตกแต่งทั้งหมดภายในห้องปรากฏขึ้นตรงหน้าหนานหนาน รวมถึง…พยัคฆ์ทมิฬที่กำลังนอนหมอบจ้องมองหนานหนานอยู่ที่มุมห้อง

หนานหนานน้ำลายเริ่มสอในทันที เขาควานหาของที่อยู่ในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบแครอทออกมาหนึ่งหัวและเดินเข้าไปหาพยัคฆ์ทมิฬ

“เด็กดี อย่าเสียงดังนะ อย่าส่งเสียงร้องนะ ข้าจะให้เจ้ากินของอร่อย”

พยัคฆ์ทมิฬช้อนสายตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน สายตาที่มันจ้องมองแครอทที่อยู่ในมือของหนานหนานเพื่อล่อมัน…ดูซับซ้อนมาก หนานหนานกำลังดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเสือดำของมันอย่างนั้นหรือ? เสือดำบ้านไหนกินแครอทบ้าง?

เจ้าเสือดำไม่อยากสนใจเขาแล้ว จึงเคลื่อนหนังตาปิดลงอีกครั้ง

หนานหนานก้าวเท้ามาด้านหน้าอีกสองสามก้าว จากนั้นก็ยื่นแครอทไปที่ข้างปากของมัน “เสือน้อย เจ้าดูสิข้าดีกับเจ้าใช่หรือไม่ พวกเราเพิ่งเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ข้าก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ถึงได้รีบเอาของดี ๆ มาแบ่งปันกับเจ้าไง ตอนนี้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาแล้วสินะ? อันที่จริงไม่ต้องซึ้งใจหรอก เอ๋ ไม่ถูกสิ ถ้าเจ้าซึ้งใจสักหน่อยจริง ๆ เจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้าเข้าใจหรือไม่?”

ตอนนี้พยัคฆ์ทมิฬไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา มันเพิกเฉยเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

หนานหนานยังไม่ยอมแพ้ ยังคงใช้แครอทล่อมันต่อ “นี่ ตอนนี้พวกเราเป็นสหายกันแล้วใช่หรือไม่ งั้นถ้าข้าขี่หลังเจ้า เจ้าก็ไม่ถือสาแล้วถูกต้องหรือไม่”

เย่ซิวตู๋อดหัวเราะแบบไม่มีเสียงไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะพยัคฆ์ทมิฬคุ้นชินกับกลิ่นบนตัวหนานหนาน เกรงว่าตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้คงได้กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องของเสือดำไปแล้ว ไหนเลยจะมีแครอทหัวนั้นปรากฏออกมา?

หนานหนานสามารถเข้าใจความหมายของผู้อื่นรวมถึงสัตว์ได้ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าการที่เสือดำไม่แยกเขี้ยว ไม่โจมตีและไม่คำรามใส่เขา นั่นก็หมายความว่ายินยอมแล้ว เขาจึงไม่ได้ให้มันกินแครอทแล้ว แต่ปีนขึ้นไปอยู่บนหลังของมันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ดูเหมือนว่าเสือดำจะไม่คุ้นชินให้ใครเข้าใกล้มันนอกจากเย่ซิวตู๋ มันจึงสะบัดหัวไปมาอย่างหมดความอดทน

หนานหนานคิดว่านี่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตรที่มันมีต่อเขา จึงปีนป่ายขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นั่งอยู่บนหลังของมันได้อย่างมั่นคง และถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ

“พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าออกไปเจอโลกกว้าง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะซื้อของอร่อยให้เจ้ากินด้วย ออกไปเจอท่านแม่ของข้าเมื่อใด ท่านแม่ของข้าต้องซื้อแครอทให้เจ้าเยอะมากแน่นอน”

ดวงตาของเสือดำแอบปรากฏความตื่นตระหนกจาง ๆ แครอทจำนวนมาก? เด็กคนนี้ยังดูถูกมันมิพออีกหรือ?

พอแล้วจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะนายท่านสั่งไว้ มันคงเหวี่ยงเจ้าเด็กคนนี้กระเด็นหลุดจากหลังไปแล้ว มันเย็นชาและสูงส่งไม่เข้าใกล้ใครมาโดยตลอด บนหลังของมันนอกจากนายท่านก็ไม่เคยมีใครนั่งมาก่อน

หนานหนานตบก้นมัน “ไปเถอะ แต่พวกเราต้องเงียบ ๆ ไว้นะ อย่ารบกวนคนอื่นเข้าใจหรือไม่?”

เจ้าเสือดำแอบไม่เต็มใจ มันหันหน้าไปยังด้านในห้อง ราวกับกล่าวโทษนายท่านว่าไม่ควรใช้เด็กคนนี้มาดูถูกสติปัญญาของมัน เพียงแต่ในห้องกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จมูกของพยัคฆ์ทมิฬค่อย ๆ พ่นลมปราณจาง ๆ ออกมา ก่อนจะเริ่มพาหนานหนานที่ขี่อยู่บนหลังออกไปอย่างจนปัญญา

ผู้พิทักษ์ที่อยู่ตรงประตูมองเด็กน้อยที่ขี่อยู่บนหลังของเสือดาวด้วยความตกตะลึง คางของเขาแทบจะแตะพื้นอยู่แล้ว

เสือดำของนายท่าน…ไม่ให้ใครเข้าใกล้มาโดยตลอด ต่อให้เป็นท่านโม่ของพวกเขา ก็มิอาจแตะต้องมันได้ เหตุใดวันนี้เจ้าเด็กคนนี้กลับขี่อยู่บนหลังของมันได้อย่างสบายใจเฉิบ?

ผู้พิทักษ์ทมิฬสองสามคนหันสบตากัน และมองไปยังพยัคฆ์ทมิฬที่พาหนานหนานค่อย ๆ เดินห่างไกลออกไป

ผ่านไปไม่นาน ประตูของห้องที่สลัวก็ถูกคนเปิดออกจากด้านใน เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเดินยกมือไพล่หลังโดยไม่พูดอะไร

โม่เสียนเดินมายืนข้างเขาอย่างเงียบ ๆ พยักหน้าและกล่าวเสียงเบา “นายท่าน”

“อืม เจ้าตามเขาไปเถอะ”

โม่เสียนพยักหน้า “ขอรับ”

สิ้นสุดเสียงของเขา โม่เสียนก็เพิ่มความเร็วกระโจนไปด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบหมี่ ติดตามร่องรอยของหนานหนานไปอย่างเงียบเชียบ และออกจากจวนโม่ไปพร้อมกัน

เย่ซิวตู๋ริมฝีปากเป็นเส้นตรง เมื่อไม่มีพยัคฆ์ทมิฬคุ้มกันอยู่ข้างกาย เขาก็แอบรู้สึกมิคุ้นชินเล็กน้อย

เพียงแต่เจ้าเด็กคนนั้นทำให้เขาเกิดความสนใจมากเกินไป เป็นเรื่องยากที่เขาจะมีความอดทนต่อเด็กคนหนึ่งมากถึงเพียงนี้ หากรู้จักตัวตนที่ชัดเจนของเขา เย่ซิวตู๋ก็อยากเก็บเด็กคนนี้เลี้ยงไว้ข้างกายอย่างดี

แต่ถ้าเขามีวัตถุประสงค์อื่น…

เช่นนั้นก็คงน่าเสียดายจริง ๆ

ท้องนภาที่อยู่ห่างออกไปค่อย ๆ กลายเป็นสีขาว แสงรุ่งอรุณค่อย ๆ กระทบลงบนหลังคาเรือนของจวนโม่ เย่ซิวตู๋ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าห้องไป

ไม่มีพลังปราณของพยัคฆ์ทมิฬ เขายิ่งต้องตื่นตัวมากขึ้นแล้ว

หวังว่าโม่เสียนจะตรวจสอบเจออะไรสักอย่าง หลังจากนี้อีกห้าวัน พวกเขาต้องเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว เขาไม่อยากให้ระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เพียงแต่ เรื่องบางเรื่องก็มักจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่อยากให้เกิดขึ้นมากเท่าไร เรื่องราวก็ยิ่งเร่งด่วนและร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น

ครั้นท้องฟ้าสว่าง เสิ่นอิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน

…………………………

สารจากผู้แปล

หนานหนานช่างเก่งกล้านักถึงย่องมามืดๆ คนเดียวเพื่อมาขี่เสือดำ แต่ก็โชคดีที่เจ้าของเสือเอ็นดูด้วยแหละ ไม่งั้นได้กลายเป็นอาหารมันแทน

ไหหม่า (海馬)