ฆ่า! ทำลาย! พินาศ!
เสียงคำรามและกรีดร้องดังปะปนไปกับเสียงของอาวุธและเวทมนตร์
คมดาบที่กวัดแกว่งไปทั่ว คมหอกแทงทะลุออร์คตัวหนึ่งเลยจนมาสังหารออร์คอีกตัว ในขณะที่เจ้าของถูกบดขยี้ด้วยฝ่าเท้าของสว็อมพ์แมมม็อธ
การหายใจว่ายากลำบากแล้ว การคิดอย่างมีสติกลางสถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า
อินกองกัดฟันและพยายามจดจ่อกับสิ่งรอบตัว เขาตัดสินใจว่าจะฟังแค่เสียงของคารัคเท่านั้น พร้อมกับรวมลมปราณจากทั่วร่าง
ต้องรอด นั่นคือความคิดเพียงอย่างเดียวที่ผุดขึ้นมา และการจะทำสิ่งนั้นได้ เขาต้องเค้นเอาความสามารถทุกอย่างที่เขามีออกมาใช้ให้ถึงขีดสุด
หลังจากที่เขาใช้หมัดทะลวงร่างของศัตรูตรงหน้า อินกองรีบสำรวจแผนที่ย่อ แม้เขาจะพอเดาภาพรวมได้ไม่ยากก็ตาม
เขาพยายามหนีด้วยเส้นทางสั้นที่สุด โดยมีคารัคคอยคุ้มกันให้ ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย เขาต้องรีบลงมือก่อนที่จะหมดโอกาส
มือของเขาเต็มไปด้วยแผลถลอกและคราบเลือด แก้วหูของเขาแทบจะฉีกขาดออกจากเสียงอันสนั่นหวั่นไหว อินกองใช้เวทมนตร์รักษาให้คารัคและพยายามควบคุมจังหวะหายใจของเขา
ในศึกครั้งนี้ เผ่าสายฟ้าชาดถือไพ่อยู่เหนือกว่ามาก พวกเขาทำได้แค่เพียงถอนทัพให้เร็วที่สุด
ทว่าในสนามรบที่มีคมอาวุธแกว่งกวัดไปทั่ว การจะช่วยชีวิตทหารทั้งหมดออกมานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ อินกองได้แต่ทำไปตามสถานการณ์ จนกระทั่งฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดนิ่ง
ซึ่งนั่นก็หมายถึง การสู้รบได้จบลงแล้ว
ศึกในครั้งนี้ พวกเขาแพ้อย่างราบคาบ
&
พวกเผ่าสายฟ้าชาดไม่ได้เคลื่อนทัพไล่ตามมา นั่นก็เพราะด้วยธรรมชาติของสว็อมพ์แมมม็อธ ถึงพวกมันจะมีพลังอันน่าเกรงขาม แต่พวกมันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้มากในแต่ละวัน
ถึงกระนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็สร้างความฉิบหายอย่างมาก ถ้านับจำนวนทหารที่บาดเจ็บล้มตายจนไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว พวกเขาสูญเสียกำลังไปถึงหนึ่งในสามจากการปะทะในครั้งเดียว
ในความเป็นจริงต้องบอกว่าพวกเขาโชคดีที่เสียกำลังไปเพียงหนึ่งในสาม ต้องขอบคุณเวทมนตร์สนับสนุนจากเฟลิซี และการตัดสินใจสั่งถอยทัพอันรวดเร็วของแวนเดลและคริสต์ พวกเขาจึงรอดจากการถูกพิฆาตจนราบเป็นหน้ากล้อง
“พวกเราคิดกันตื้นเกินไป”
คริสต์พูดโพล่งขึ้นมาในที่ประชุดที่จัดอย่างเร่งด่วน
พวกเขาคิดว่าการจัดการพวกเผ่าสายฟ้าชาดเป็นเรื่องง่าย
ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกสว็อมแมมม็อธจะมาช่วยเผ่าสายฟ้าชาด พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะคิด ว่าพวกมันอาจจะสามารถบงการสัตว์อสูรที่อาศัยในบึงได้
ชัยชนะที่ผ่านมาทำให้พวกเขาหลงระเริงกันมาก
“โชคดีที่ในบรรดาพวกเรา ไม่มีใครบาดเจ็บหรือล้มตาย”
เฟลิซียักไหล่แล้วพูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม ดูเหมือนว่านางต้องการจะคลายบรรยากาศอันตึงเครียด
เฟลิซีทำให้คริสต์พูดไม่ออก เขานึกถึงเมื่อตอนถกเถียงเรื่องช่วยเหลือเฟลิซี
คำพูดของนางเสียดแทงไปยังก้นบึ่งในจิตใจ คริสต์ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขารู้สึกอย่างนี้
เคทลินที่ต้องการผูกมิตรกับพี่สาวของนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มองไปที่เฟลิซีอย่างซาบซึ้ง สายตาใสซื่อของนางทำให้เฟลิซีเบือนหน้าหนีอย่างไม่กล้าสบตา อินกองได้แต่ยิ้มหลังจากที่เห็นอาการน่าเอ็นดูของทั้งคู่
แต่นั่นก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาแพ้อย่างราบคาบ เหล่าไลแคนโทรปและเอลฟ์รัตติกาลต่างล้มตายไปพอสมควร
“ถ้ายังเป็นอย่างนี้ พวกเราไม่มีทางชนะแน่นอน”
แวนเดลกล่าวขึ้นมา เสียงของมันไม่ได้ท้อแท้หรือหมดหวังแต่อย่างใด เป็นเพียงการหยิบเอาความจริงขึ้นมาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ขึ้นอยู่ว่าจะทนได้นานแค่ไหน เว้นแต่จะขอกำลังเสริมจากทางวังหลวง”
เป็นการประกาศยอมแพ้อย่างไร้ข้อกังขา
กองกำลังแนวร่วมของพวกเขาสิ้นท่า นั่นทำให้ความดีความชอบทั้งหมดก็จะถูกฝังไปด้วย มิหนำซ้ำพวกเขายังอาจจะโดนกล่าวหาว่าคุมทัพได้ไม่ดี จึงทำให้พ่ายแพ้ในการศึก
ผลงานทั้งหลายมีความสำคัญต่อเหล่าลูกของจอมมารอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปฏิบัติและสายตาจากคนรอบข้าง ถ้าภารกิจปราบปรามในครั้งนี้จบลงที่ความล้มเหลว อิทธิพลทางการเมืองของพวกเขาย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่เว้นกระทั้งคริสต์และเคทลิน
“นี่มันช่วยไม่ได้ เราไม่ยอมสั่งทหารออกไปตายเพื่อความทะเยอทะยานบ้าๆบอๆแน่นอน”
คริสต์พูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่มีวิธีใดจะแก้สถานการณ์นี้ได้ โดยไม่แลกกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง
“ขอโทษด้วยละกันนะ ฉัตร”
อินกองเป็นผู้ที่สร้างผลงานไว้มากที่สุดในภารกิจครั้งนี้ เมื่อเขากลับไปยังวังหลวง การปรนนิบัติทั้งหลายย่อมต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว
อินกองส่ายหน้าให้กับคำขอโทษของคริสต์
“ไม่เป็นไรครับฮยอง มันช่วยไม่ได้”
นี่ไม่ต่างจากการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งสำหรับเขา แค่ในครั้งนี้เขาจะมีคริสต์และเคทลินเป็นพันธมิตร ยังไม่รวมถึงวิชาทักษะทั้งหลายที่เขาได้เรียนรู้ในภารกิจนี้ ถึงจะน่าเสียดายที่เขายังไม่สามารถเข้าใช้หอสมุด แต่มันก็ช่วยไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะส่งทหารไปถามความเห็นจากทางวังหลวง”
แวนเดลประกาศออกมา คริสต์กับเคทลินได้แต่ยอมรับอย่างหดหู่
และในตอนนั้น…
“ประทานโทษ ฉันพอจะมีความคิดบางอย่าง…”
เฟลิซียกมืออันเรียวบางของนางขึ้น
“บอกความคิดของท่านมา องค์หญิงหก”
เฟลิซีกระแอมเล็กน้อย ทุกสายตามองไปที่นาง โดยเฉพาะคริสต์
“ฉันมาแถวนี้แต่แรกเพื่อที่จะสำรวจซากโบราณสถาน”
“แล้ว?”
คริสต์ถามขัดขึ้นมาทันที เฟลิซีกวาดหมากทั้งบนแผนที่ออก ก่อนจะชื้ไปที่บริเวณขอบของเทือกเขาจิชก้า
“ที่หมายหลักของฉันคือตรงจุดนี้ ฉันมาเพื่อตรวจดูรังของเอนคิดูที่ตั้งอยู่เมื่อราว 1,500 ปีที่แล้ว”
และแล้ว เราก็ย้อนอดีตไปสู่ยุคเมโซโปเตเมียนะครับ ฮ่าๆ ล้อเล่น แค่ยืมชื่อมาใช้เฉยๆ ไม่มีกิลกาเมช อิชตาร์ เทียแมท อับซู โผล่มาแต่อย่างใด
ผลงานส่วนใหญ่ของเฟลิซีไม่ได้ขึ้นกับการต่อสู้ ความสามารถของนางขึ้นชื่อในทางวิจัยค้นคว้า และการสำรวจซากอารยธรรมเสียมากกว่า
“เอนคิดูมีมาตรการป้องกันสมบัติมากมาย และสว็อมพ์แมมม็อธก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการนั้น จึงเป็นสาเหตุให้พวกมันอาศัยอยู่แค่ในบริเวณนี้ ทั้งๆที่มีบึงอยู่มากมายในโลกมาร”
นิ้วอันเรียวยาวของเฟลิซีเคลื่อนไปชี้เทือกเขาจิชก้าพร้อมกับคำอธิบายของนางที่ยังดำเนินต่อ
“พวกดวอฟที่อาศัยในเทือกเขาจิชก้าก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการ เอนคิดูสร้างยุทโธปกรณ์เพื่อให้พวกมันใช้ปกป้องสมบัติทั้งหลาย”
แล้วเฟลิซีก็หยิบเอาม้วนกระดาษจากกระเป่าอันเล็กของนางออกมาคลี่
“ทั่งวัชรกร”
ทั่ง ประกาย ไฟฟ้า แสนโวลต์ เอ๊ย ไม่ใช่ละ
สิ่งที่วาดอยู่บนม้วนกระดาษสีนวล เป็นแท่นพิธีกรรมที่รายล้อมด้วยรูปปั้นดวอฟทั้งแปด
“นอกจากมันจะใช้ควบคุมคิเมร่าอย่างสว็อมพ์แมมม็อธได้แล้ว มันยังใช้เป็นอาวุธทำลายล้างได้อีกด้วย ฉันมาเพื่อค้นหามัน”
ไม่ต้องใช้คำอธิบายอะไรเพิ่มเติม แวนเดลกล่าวถามขึ้นมา
“มีของแบบนั้นอยู่ใกล้ๆนี่?”
“จากการค้นคว้า ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ ฉันเข้าร่วมปราบปรามพวกสายฟ้าชาดก็เพราะพวกมันมายุ่มย่าม”
เฟลิซีมองไปทางคริสต์ ที่เหมือนกำลังคิดบางสิ่ง
หลังจากคำนวนปัจจัยทั้งหลาย คริสต์ก็ส่ายหน้าออกมา
“มันเสี่ยงเกินไป พวกเราไม่ควรจะเอาชีวิตไปแขวนไว้กับการค้นหาขุมทรัพย์มังกรที่ไม่รู้ว่ามีจริง”
ไม่ใช่ว่าคริสต์มองข้ามความเป็นไปได้ของเฟลิซี แต่เขาต้องการหลักฐานยืนยันมากกว่านี้
“ทั่งวัชรกรมีจริง”
“ฉัตร?”
อินกองพูดอย่างมั่นใจ เขาเคยพบเจ้าทั่งนี่มาก่อนเมื่อตอนเล่นเกม
เมื่อตอนเล่นล็อคค์ในบทกวีแห่งผู้กล้า เป้าหมายหลักของเขาคือการโค่นล้มจอมมารเพื่อนำสันติสุขกลับคืนมา
และนั่นก็นำไปสู่การฝ่าบึงข้ามเทือกเขาจิชก้าเพื่อเดินทางสู่โลกมาร
‘กว่าจะผ่านไปได้นี่โคตรยาก’
การผสมผสานของเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธและทั่งวัชรกรลงตัวเป็นอย่างมาก ด้วยเส้นทางที่คับแคบ การจะหลบหลีกเหล่าสว็อมพ์แมมม็อธจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
‘เราคิดว่ามันเป็นอุปกรณ์ของพวกจอมเวทซะอีก ที่แท้ก็เป็นวัตถุโบราณ’
นั่นทำให้พวกเขาต้องหามันให้พบ อย่างที่เฟลิซีคิด ถ้าพวกเขาใช้ทั่งวัชรกรได้ สถานการณ์ศึกจะพลิกกลับมาทางพวกเขาอย่างแน่นอน
‘แต่จะบอกไปว่าเคยเห็นจากในเกมก็ไม่ได้ด้วยสิ’
เขาต้องคิดหาเหตุผลขึ้นมาเพื่อเกลี้ยกล่อมคริสต์
อินกองกลืนน้ำลายก่อนจะเริ่มเล่าออกมา
“ตอนที่ผมศึกษาอักขระของพวกดวอฟ ผมอ่านเจอเรื่องนี้อย่างผ่านๆ แล้วก็มีเรื่องเล่าที่คล้ายกันในเหล่าคนธรรพ์ ยิ่งกว่านั้น ผมก็ไม่คิดว่าเฟลิซีนูนะจะโกหกงานวิจัยของเธอ”
คำทั้งหลายปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวออกจากปากเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าเขาเล่าเรื่องแบบนี้ในครั้งแรกที่เจอกัน ทุกคนย่อมคิดว่าเขาบ้า แต่ทุกอย่างต่างออกไปในตอนนี้
อินกองได้พิสูจน์เรื่องอักขระดวอฟและสร้างผลงานหลายอย่าง ทำให้เรื่องเล่าของคนธรรพ์ที่แม้จะไม่มีใครรู้จัก ก็ดูน่าเชื่อถือเมื่อเล่าจากปากของเขา
คุณได้เรียนรู้ ปั้นน้ำเป็นตัว/ชักแม่น้ำทั้งห้า ขั้น999 (・ω<)☆
หลังจากที่อินกองเล่าจบ เฟลิซีก็พูดขึ้นต่อพลางชี้ไปยังตำแหน่งบนแผนที่
“ทางเข้าโบราณสถานน่าจะอยู่บริเวณนี้ ถ้าพวกเราได้อาวุธวิเศษมา สว็อมพ์แมมม็อธก็จัดการไม่ยาก”
เฟลิซีพูดเสร็จแล้วหันมาหัวเราะให้อินกอง และเขาก็ร่วมหัวเราะไปกับนาง
แวนเดลขมวดคิ้วก่อนจะหันไปหารือกับเฟลิซี
“องค์หญิงหก ท่านมีเวลาไม่มาก ข้าน่าจะตรึงกำลังไว้ได้ไม่เกินสองวัน”
“แม่ทัพแวนเดล?”
คริสต์ทึ่งกับการตัดสินใจอันรวดเร็วของแวนเดล
“ข้าจะลองเชื่อมั่นในตัวพวกท่าน ถึงมันจะช่วยไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากหนีไปอย่างหมาขี้แพ้”
ถึงจะมีลูกจอมมารอยู่ที่นี่ แต่ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดก็คือแวนเดล
คริสต์ได้แต่ถอนหายใจ
“เฟลิซีนูนิมต้องการทหารเท่าไร?”
“เพราะเป็นการสำรวจซากโบราณสถาน ฉันไม่ต้องมากนัก ราว 10 นายหรือน้อยกว่าน่าจะกำลังดี”
เฟลิซีตอบกลับมาในทันที คริสต์ได้แต่หันมาทางอินกอง
“ฉัตร นายไปช่วยเฟลิซีนูนิมสำรวจหน่อยละกัน”
คริสต์เชื่อว่าอินกองอยู่ฝั่งเขา และผลงานที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่า อินกองสามารถช่วยให้การสำรวจโบราณสถานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
อินกองพยักหน้ารับ
“ทราบแล้วครับ แล้วผมขอเคทลินนูนะมาช่วยอีกคนจะได้ไหมครับ?”
เหตุผลไม่ใช่ว่าเขาต้องการอยู่กับนาง แต่เพราะพลังของนางเป็นสิ่งจำเป็นหากเขาต้องการหาทั่งวัชรกรในเวลาอันสั้น
“งั้นฉันจะไปด้วย”
เคทลินตอบกลับมาในทันที มีความมุ่งมั่นส่อออกมาจากแววตาของนาง
คริสต์ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยินยอม
“ถ้าอย่างนั้น เรากับแวนเดลจะพยายามยื้อเอาไว้ให้นานที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่สว็อมพ์แมมม็อธจะเข้ารบทุกครั้ง”
จุดอ่อนของพวกมันเห็นได้ชัดจากการศึกในวันนี้ พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างจำกัด นั่นทำให้นำพวกมันมาใช้ในการบุกได้ไม่มากนัก
แวนเดลหันไปเร่งเฟลิซี
“เวลามีไม่มาก ท่านเริ่มเดินทางเลยได้ไหม?”
“เธอแน่ใจนะว่าจะไปด้วย?”
เฟลิซีหันมาถามอินกองอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง
“ผมต้องไปด้วย”
แล้วสายตาของทุกคน ก็จดจ้องอยู่ ณ ตำแหน่งของโบราณสถานบนแผนที่