ตอนที่ 9 นางอัปลักษณ์ยังไม่ตาย ตอนที่ 10 เด็กเกเร

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 9 นางอัปลักษณ์ยังไม่ตาย

ซ่งอิงไม่ได้นิสัยดีงามเพียงนั้นเช่นกัน จวนโหวทำให้เจ้าของร่างตายทางอ้อมที่ หลี่จิ้นเป่าก็คือคนที่ทำให้ซ่งอิงตายโดยตรง

ความแค้นนี้ต้องชำระ

เพียงแต่จะให้บิดามารดาและพี่ชายเป็นห่วงไม่ได้ ไว้รอนางทำความเข้าใจสถานการณ์แล้ว ค่อยไปหาหลี่จิ้นเป่าเพื่อคิดบัญชีก็ยังไม่สาย

ซ่งจินซานนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หร่วนซื่อตาแดงก่ำขึ้นมาอีกระลอก ท่าทีซ่งสวินค่อยยังชั่วหน่อย มองนางพลางกล่าว “เจ้าทำใจให้สบาย รักษาอาการบาดเจ็บเถิด”

ซ่งอิงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ ข้าอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวันก็ไม่มีงานอันใดให้ทำ พรุ่งนี้ข้าลงแปลงนาพร้อมกับพวกท่านแล้วกัน?”

“ไม่ได้! วันนี้เจ้าเกือบจะ…”

หร่วนซื่อกล่าวได้เพียงครึ่งเดียว ซ่งอิงก็รีบเอ่ยตัดบทขึ้นมา “ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว หากครั้งหน้ามีคนรังแกข้าอีก ข้าจะหยิบก้อนหินขว้างปาไปก่อนเสียเลย ถึงเวลาหากเป็นเรื่องเป็นราว พวกท่านอย่าว่ากล่าวข้าก็เป็นพอ! เอาเป็นว่าข้าจะไม่ยอมให้ตนเองได้รับความไม่เป็นธรรมอีกเด็ดขาด ตกลงไหมเจ้าคะ”

ซ่งจินซานสองสามีภรรยายังคงไม่ค่อยเต็มใจนัก

ซ่งสวินครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม “น้องพี่ อยู่บ้านคนเดียวเบื่อแล้วสินะ?”

“อืมๆ” ซ่งอิงพยักหน้าทันที “ในบ้านมีเพียงข้าอยู่คนเดียว ทั้งยังไม่มีงานการอะไรให้ทำ จึงมักอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้”

พอเอ่ยเช่นนี้ หร่วนซื่อเป็นอันเข้าใจได้ทันที

“เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าอยู่บ้านอดทนไปอีกสองสามวัน วันมะรืนพ่อเจ้าก็จะไปทำงานรับเหมาแล้ว พี่ชายเจ้า…ก็ต้องไปหางานทำทางด้านอำเภอนั่นเช่นกัน ตอนนี้ในแปลงน่าเพิ่งเริ่มเพาะปลูก อีกระยะหนึ่งอาจต้องกำจัดหญ้า ถึงตอนนั้นเจ้ากับแม่ค่อยไปด้วยกัน ดีหรือไม่” หร่วนซื่อกล่าวขึ้นทันควัน

ที่ดินในครอบครัวก็มีเพียงหนึ่งหมู่สามเฟินเท่านั้น ไม่มีงานอะไรให้ทำมากมายนักจริงๆ

“น้องพี่ หากเบื่อหน่าย ไปเด็ดหญ้าป่าผักป่ามาเป็นอาหารไก่ก็ได้” ซ่งสวินเอ่ยเสริมหนึ่งประโยค

ในบ้านมีงานสัพเพเหระเล็กๆ น้อยๆ ของสำหรับให้อาหารไก่ยังมีพออยู่ ทว่าลูกเจี๊ยบต้องคอยให้กินอาหารสารพัดอย่าง ในเมื่อน้องสาวเบื่อหน่าย ทำงานเบาๆ ที่ไม่กินแรงเสียหน่อยก็น่าจะได้เช่นกัน

แม้ว่าตัวมารดาเองจะอยู่บ้าน แต่บางทีก็ต้องไปบ้านสามทางด้านนั้นเพื่อช่วยงาน

ซ่งอิงรีบพยักหน้าทันที

นางแค่เกรงว่าเพราะเรื่องราววันนี้จะทำให้พวกเขาไม่กล้าให้นางออกจากบ้านอีก

ซ่งสวินมองหน้าของนาง แววตาหม่นหมองลงเล็กน้อย “ท่านพ่อ หลายวันก่อนข้าได้ยินสหายกล่าวว่า โรงยาขนาดใหญ่ที่ทางด้านถางเฉิงนั่นมียาประเภทขจัดรอยแผลเป็น ใช้ได้ผลดีเยี่ยม พวกเราเก็บเงินสักหน่อย ถึงเวลาจะได้ซื้อมาให้น้องสาวนะขอรับ”

ซ่งอิงลูบคลำใบหน้า “ท่านพี่ ยามันแพงมาก ใบหน้าข้านี้ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างภายภาคหน้าข้าเองก็จัหาเงินได้เช่นกัน!”

นางมีความทรงจำของเจ้าของร่าง เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่ายาขจัดรอยแผลเป็นราคาแพงมากเพียงใด!

บนใบหน้านาง รอยแผลเป็นไม่ถือว่ามากมาย มีเพียงสามรอยเท่านั้น แต่ทุกรอยลึกเป็นพิเศษ ยามนั้นเจ้าของร่างทุ่มสุดใจเพื่ออ้อนวอนขอชีวิต จึงลงมืออย่างรุนแรงยิ่ง

หน้าผากหนึ่งรอย พวงแก้มทั้งสองข้างข้างละหนึ่งรอย แล้วยังระดับค่อนข้างตรงกันเสียด้วย

“ไม่ว่าเป็นเงินเท่าใด พ่อและพี่ชายเจ้าจะต้องหามาให้จงได้!” ซ่งจินซานแสดงท่าทีในทันใด

ซ่งอิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่

เพื่อไม่สร้างแรงกดดันให้พวกเขา เห็นทีว่าภายภาคหน้านางจำต้องคิดวิธีหาเงินให้มากๆ เข้าไว้เสียแล้ว

ใบหน้านี้ก็ต้องคิดหาวิธีรักษาด้วยถึงจะเป็นการดีที่สุด นางเองก็เป็นสตรี มีหรือจะไม่รู้จักรักสวยรักงาม อีกอย่าง หากคนในครอบครัวต้องคอยมองใบหน้านี้ของนางตลอดไป ก็จะเฝ้านึกถึงเรื่องราวที่ทำร้ายจิตใจในตอนแรกอยู่ร่ำไป ซึ่งนี่คงไม่ค่อยดีนัก

สมาชิกสี่คนทั้งครอบครัวนั่งรายล้อมโต๊ะรับประทานอาหารมื้อเย็นอย่างเรียบง่าย

กับข้าวธรรมดาๆ ไข่ผัดแตงกวาอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่นางเตรียมไว้ อีกอย่างก็คือผักป่าตุ๋นเต้าหู้ อาหารหลักคือมั๋วมั๋ว[1] และโจ๊กซีหมี่[2] มั๋วมั๋วให้ความรู้สึกฝืดคอเล็กน้อย มื้อแรกของการข้ามภพมา ซ่งอิงกินอย่างไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก แต่ก็พยายามเคยชินให้ได้เช่นกัน

หลังจากนั้น ซ่งอิงเก็บตัวอยู่ในห้องเป็นเวลาสองวัน

หร่วนซื่อเห็นสีหน้าค่าตานางดูดีขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา ในวันที่สามถึงให้นางออกจากบ้านมารับลมบ้าง

เพียงแต่ทันทีที่ซ่งอิงออกจากบ้านมา ก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งส่งเสียงตะโกนว่ากล่าวใส่นาง “นางอัปลักษณ์ เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ!”

ตอนที่ 10 เด็กเกเร

ทันทีที่ซ่งอิงหันหน้าไป ก็จดจำเด็กนิสัยเสียที่เอ่ยพูดขึ้นมาได้จากความทรงจำ

นี่เป็นบุตรชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้เพิ่งอายุสิบปี นามว่าซ่งต๋า วันนั้นที่เจ้าของร่างถูกบรรดาเด็กเกเรล้อมกลั่นแกล้ง ซ่งต๋าก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังเกิดเรื่อง เขาก็ทำเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ก็คือวิ่งหนีเผ่นแน่บ ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวคนอื่นๆ ของครอบครัวซ่งด้วยซ้ำ

ซ่งอิงแสยะยิ้มมุมปาก

สายตากวาดมองลงบนพื้น เห็นก้อนหินขนาดเล็กหนึ่งก้อน จากนั้นหยิบขึ้นมา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขว้างใส่ซ่งต๋าในทันใด

กระแทกเข้าหน้าผากอย่างจัง

“อ๊า!” ซ่งต๋าส่งเสียงร้อง หลังก้อนหินนั้นตกลงสู่พื้น บนหน้าผากซ่งต๋าพลันปรากฎโลหิตซึมขึ้นมาเล็กน้อย

“นางอัปลักษณ์ เจ้ารังแกข้า!” ซ่งต๋าเจ็บจนขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน จากนั้นทรุดตัวนั่งลงบนพื้น “ท่านแม่! ท่านแม่อา! ข้าจะตายแล้ว!”

ซ่งอิงเม้มริมฝีปากอย่างรังเกียจ

เด็กวัยสิบขวบ ปฏิกิริยาโต้ตอบระดับนี้ จัดว่าแก่แดดเกินวัยไม่น้อยเลยจริงๆ

บ้านใหญ่ครอบครัวซ่งมีลูกชายสองลูกสาวหนึ่ง คนโตอย่างซ่งเสี่ยนอาศัยอยู่ในอำเภอ ส่วนบุตรชายคนเล็กผู้นี้อยู่ข้างกายบิดามารดา ตอนนี้ส่งไปเล่าเรียนแล้วเช่นกัน แต่อุปนิสัยเกเร ไม่มีความเพียรในการศึกษาเล่าเรียน หยุดเรียนบ่อยครั้ง ทั้งครอบครัวบ้านใหญ่ก็ช่างเอาอกเอาใจให้ท้ายเด็กผู้นี้เสียยิ่งอะไรดี และทำใจเฆี่ยนตีว่ากล่าวไม่ลง

เช้าตรู่วันนี้ ซ่งต๋าส่งเสียงโหวกเหวก ไม่เพียงเรียกให้เหยาซื่อบ้านใหญ่ออกมา แม้กระทั่งบ้านสาม บ้านสี่ทางด้านนั้นได้ยินเสียงเอะอะเข้า ก็ออกมามองดูด้วยเช่นกัน

เหยาซื่อบ้านใหญ่เห็นบุตรชายของตนหน้าผากปรากฏรอยเลือด ตื่นตกใจจนปล่อยสิ่งของในมือกระจายสู่พื้น ก่อนรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไป

“ลูกแม่! ไยถึงเป็นเช่นนี้!” เหยาซื่อบ้านใหญ่เห็นปากแผลไม่ลึกจึงรู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อบุตรชายร้องไห้ นางก็ยังคงปวดใจไม่น้อยอยู่ดี

ซ่งต๋าชี้นิ้วไปยังซ่งอิง “นางอัปลักษณ์ขว้างใส่ข้า! ท่านแม่ นางใช้หินขว้างใส่หัวข้า ข้าเลือดออกเลย จะตายแล้วใช่หรือไม่อา!”

เหยาซื่อบ้านใหญ่ได้ยินดังกล่าว ตวัดสายตาคบกริบดุจใบมีดใส่ซ่งอิงในทันใด

“นางหนูรอง! ลูกชายบ้านข้าสร้างความไม่พอใจอะไรให้เจ้าแล้วหรือ! เจ้าเป็นพี่สาวคนหนึ่งแท้ๆ ต่อให้ตัวเองจิตใจอมทุกข์แค้นเคือง ก็มาระบายลงที่ตัวน้องชายเจ้าไม่ได้หรอกนะ!” เหยาซื่อบ้านใหญ่กล่าวประโยคอันสรุปเนื้อความไปในทิศทางอื่นเบ็ดเสร็จ

ต้องการโบ้ยไปว่าเป็นเพราะซ่งอิงจงใจระบายความหงุดหงิดใจ

“ป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าเองต่างหากควรเป็นฝ่ายถามน้องต๋า ข้าผู้นี้เป็นพี่สาวที่ไม่ดีตรงไหนหรือ จึงทำให้เขาจงเกลียดข้าถึงเพียงนี้ สองวันก่อนรับผลประโยชน์จากคนอื่นเขาแล้วร่วมมือกับกลุ่มเด็กๆ ลงไม้ลงมือต่อข้า ตอนนั้นข้าเกือบตายเพราะหัวกระแทกก้อนหินด้วยซ้ำ ตอนนั้นยามที่ข้าถูกหามกลับมา เลือดเต็มหัวไปหมด ท่านเห็นหรือไม่” ซ่งอิงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีอ่อนข้อแม้แต่น้อย

หลังเจ้าของร่างกลับมาจากจวน ก็คิดอยู่ตลอดว่าไม่มีหน้าออกไปพบเจอผู้ใด

เมื่อใดก็ตามที่เจอะเจอผู้อื่น โดยเฉพาะเป็นคนของบ้านอื่นๆ ในครอบครัวซ่ง ก็จะคอยก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอด

เพราะนางคิดว่าตนไม่ใช่คนของครอบครัวนี้ เพื่อไม่สร้างปัญหาให้บิดามารดา อะไรที่อดกลั้นได้ก็อดกลั้นเสมอมา

ทว่าซ่งอิงไม่ใช่เจ้าของร่าง นางไม่มีนิสัยยอมเสียเปรียบจนเคยชินแบบนั้น

เหยาซื่อบ้านใหญ่เลิกคิ้ว “พูดจาเหลวไหล ลูกต๋าบ้านข้าว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไร จะไปรังแกเจ้าได้อย่างไรกันหรือ! เด็กตั้งหลายคนขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเป็นเจ้าเองที่ตาฝ้าฟางไปแล้วกระมัง!”

“เช่นนั้นก็ได้ ท่านก็ให้น้องต๋าสาบานเสียสิ ตอนนั้นหากเขาลงไม้ลงมือต่อพี่สาวอย่างข้าผู้นี้ เช่นนั้นขอให้ภายภาคหน้ามือปากเปื่อย กินเนื้อหมูกินลูกกวาดไม่ได้อีกต่อไป” ซ่งอิงพูดออกไปเรื่อยเปื่อย

ซ่งต๋าเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลก ครอบครัวซ่งก็ยากจน ปีๆ หนึ่งจะได้กินเนื้อหมูอยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อซ่งต๋าได้ยินคำพูดนี้จึงไม่พึงพอใจขึ้นมาทันที “แล้วใครให้นางอัปลักษณ์คนหนึ่งอย่างเจ้าออกไปข้างนอกกันเล่า! เจ้าอัปลักษณ์แบบนี้ แล้วยังคิดเกาะพี่หลี่อีก เจ้ามัน! หน้าไม่อาย!”

“เหอะ!” ซ่งอิงแสยะยิ้มเย็นชา

เหยาซื่อบ้านใหญ่พลันหน้าเสียเล็กน้อย

เรื่องของครอบครัวซ่ง แน่นอนว่านางรู้ดีเสียยิ่งกว่าบุตรชายด้วยซ้ำ

“เจ้าเด็กคนนี้! ไปได้ยินคำพูดเหลวไหลมาจากไหนหรือ นางหนูรองกับพ่อหนุ่มครอบครัวหลี่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันเสียหน่อย!” เหยาซื่อบ้านใหญ่กล่าวทันควัน

[1] มั๋วมั๋ว (馍馍) คือขนมปังนึ่งแบบดั้งเดิม ทำจากแป้งผสมน้ำ หมักแล้วนำไปนึ่ง เป็นชื่อเรียกในแถบ กานซู่ ส่านซีและ หนิงเซี่ยอวี๋ ทางภาคเหนือเรียกว่า “หมั่นโถว”

[2] ซีหมี่ (稀米) คือข้าวชนิดหนึ่งเป็นเม็ดขนาดเล็กๆ สีขาวน้ำนม