ตอนที่ 32 เจตนาน่าสงสัย

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 32 เจตนาน่าสงสัย

ลมและหิมะอ่อนกำลังลง

องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินถูกคนส่งกลับจวน

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ยังอยู่ในตำหนักเว่ยยาง

“เสด็จแม่จะทรงรับปากคำขออันเหลวไหลของพี่รอง หมั้นหมายคุณหนูรองตระกูลเยียนแก่เขาจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ…”

เถาฮองเฮาตรัสด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าก็เห็นว่าพี่รองของเจ้าดื้อรั้นเพียงใด หาข้าไม่รับปากเขา เขาก็กล้าที่จะใช้ความตายบีบบังคับข้า ในฐานะแม่ลูก ข้าจะทนดูเขาตายได้อย่างไร”

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น คิดไม่ตกเสียจริง

“พี่รองเป็นอันใดกัน เขาไม่เคยพบคุณหนูรองตระกูลเยียนมาก่อน เหตุใดจึงเจาะจงอีกฝ่าย”

เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจที่เต็มไปด้วยความโกรธ

“ความคิดพี่รองของเจ้า พวกเราเคยเข้าใจที่ใดกัน ปล่อยเขาไปเถิด! ร่างกายของเขา มีชีวิตอยู่ก็ทุกข์ทรมานแล้ว ตามใจเขาอย่างน้อยให้เขาได้มีความสุขบ้าง”

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้เต็มไปด้วยความสงสัย

“แต่เรื่องนี้จะทูลต่อเสด็จพ่ออย่างไร ต่อจากนี้จะต้องปฏิบัติต่อตระกูลเยียนอย่างไร”

เถาฮองเฮาตรัส “ข้าจะอธิบายต่อเสด็จพ่อของเจ้าเอง ตระกูลเยียนแต่ก่อนเป็นอย่างไร ภายหน้าย่อมยังเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องมองตระกูลเยียนเป็นญาติเพียงเพราะพี่รองของเจ้าสมรสกับคุณหนูรองตระกูลเยียน ตระกูลเยียนคิดจะเป็นญาติกับข้า คงต้องดูว่ามีวาสนานั้นหรือไม่”

หัวใจของเซียวเฉิงอี้สงบลง

จวนท่านหญิงจู้หยาง

แม่ลูกตระกูลเยียนสามคนนั่งล้อมโต๊ะกินหม้อไฟ

วันที่มีทั้งลมและหิมะ อีกทั้งยังได้กินหม้อไฟ สมบูรณ์แบบ!

เยียนอวิ๋นเกอลวกเนื้อแพะกินอย่างดื่มด่ำ

หม้อไฟเป็นสิ่งที่นางโปรดปรานที่สุด

โปรดปรานมาสองชั่วชีวิต

นางเป็นคนพัดเครื่องเทศที่ใส่หม้อไฟด้วยตนเอง

นางใช้ความพยายามอย่างมากในการหาวัตถุดิบให้ครบ

จุดประสงค์แรกของนางและขบวนพ่อค้าของพี่รอง เยียนอวิ๋นถงคือการตามหาเครื่องเทศและเมล็ดพันธุ์

กว่าจะรวบรวมวัตถุดิบที่นางต้องกรให้ครบได้ สิ้นเปลืองเวลากว่าหลายปี

นางทุ่มสุดชีวิตเพื่อการกิน

สองชั่วชีวิตที่นางดิ้นรนเพื่อการกินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ยากเย็นอย่างมาก!

วันสิ้นโลกเมื่ออดีตชาติ สิ่งสำคัญของชีวิตคือการกิน

ชาตินี้นางกำเนิดในจวนโหวที่มั่งคั่งร่ำรวย ตามหลักแล้วอยากกินสิ่งใดย่อมได้กิน

เสียดายที่ยุคสมัยนี้ขาดแคลนทรัพยากร การค้าขายแลกเปลี่ยนถูกจำกัด แม้จะกำเนิดในตระกูลมั่งคั่ง แต่ก็ไม่อาจบรรลุอิสรภาพทางการกินได้

นางต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่ออาหารคำเดียว!

ฮือๆ…

เนื้อแพะรสเลิศ เนื้อวัวรสเลิศ เนื้อหมักรสเลิศ ต่อด้วยผักอีกหนึ่งกำ…

ในฤดูหนาวยังสามารถกินผักสดใหม่ได้ช่างเป็นเรื่องยาก

เมื่อกินพร้อมกับน้ำจิ้มที่นางปรุงเองกับมือ ทั้งเผ็ดทั้งร้อน เหงื่อผุดเต็มหัว นี่คือชีวิต!

“กินช้าลงหน่อย! เหงื่อนเต็มหัวแล้ว เช็ดเสีย!”

เซียวฮูหยินยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เยียนอวิ๋นเกอรับมาเช็ดอย่างไม่ใส่ใจ

เซียวฮูหยินส่ายหน้า “สิ่งที่เรียกว่าพริกนี้ เผ็ดร้อนยิ่งนัก เหตุใดจึงกินลงไปได้ มีแต่เจ้าที่ชอบกินของรสชาติประหลาด เผ็ดร้อนเพียงนี้ยังกินได้อย่างเอร็ดอร่อย”

เยียนอวิ๋นเกอยกยิ้มขึ้น

หากทุดคนเข้าใจความงดงามของพริก ย่อมรู้ว่าเหตุใดอาหารที่เผ็ดร้อนเพียงนี้จึงทำให้คนเลิกกินไม่ได้

ในน้ำจิ้มของเยียนอวิ๋นฉีใส่พริกลงไปเล็กน้อย

ตามมาตรฐานของเยียนอวิ๋นเกอ อย่างมากถือว่าเผ็ดน้อย ความเผ็ดระดับนั้นสามารถมองข้ามได้อย่างสิ้นเชิง กินแล้วไม่มีรสชาติใดทั้งสิ้น

แต่เยียนอวิ๋นฉีกลับกินจนเหงื่อเต็มหัว

“ท่านแม่ เริ่มแรกพริกนี้อาจทำให้คนรับไม่ได้ แต่เมื่อกินบ่อยครั้งย่อมรู้รสของมัน เวลานี้หากให้ข้ากินหม้อไฟโดยไม่มีพริก ข้ากลับรู้สึกขาดบางสิ่งไป”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าระรัว พี่สองมีวิสัยทัศน์

มันคือเสน่ห์ของพริก ยิ่งกินยิ่งติดใจ

เยียนอวิ๋นเกอวางตะเกียบลงเมื่อกินจนเกือบอิ่ม พักย่อยอาหารก่อนค่อยกินต่อ

นางจิบน้ำชาพลันครุ่นคิดภายในใจ หาหวัตถุดิบจนครบ นางสามารถลองทำชาสมุนไพรได้

ฤดูร้อนกินหม้อไฟ ดื่มชาสมุนไพร คงมีความสุขไม่น้อย

มีชีวิตอยู่สองชาติ สิ่งที่นางถนัดที่สุด อันที่จริงไม่ใช่การวาดแผนที่ หากแต่เป็นการกิน

การตามหาวัตถุดิบต่างๆ ทำเป็นอาหารรศเลิศนานาชนิด

ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด สร้างความเป็นไปได้ที่ไร้จุดสิ้นสุด

การกินเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องหลักก็สำคัญ

เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองเซียวฮูหยิน ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางของพระราชวัง ซักถามผลจากการเจรจากับองค์ชายใหญ่อย่างไร้เสียง

หัวใจของเยียนอวิ๋นฉีบีบเค้นขึ้นทันใด

นางอยากถาม เรื่องเกี่ยวข้องกับคู่ครองของนาง แต่ก็กลัวที่จะถาม

เซียวฮูหยินวางแก้วชาลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบัง

“เหมือนคาดเดาในตอนแรก องค์ชายใหญ่ไม่เต็มใจที่จะสมรส เขามองตระกูลเยียนเป็นน้ำหลากสัตว์ร้าย กลัวว่าจะเดือดร้อนเพราะตระกูลเยียนของพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรไม่ยอมสมรสกับอวิ๋นฉี แต่เขาไม่ยอมเป็นฝ่ายโน้มน้าวฝ่าบาทให้ล้มเลิกความคิดนี้ เขาอยากให้ตระกูลเยียนหาหนทางในการจัดการเอง”

ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง

องค์ชายใหญ่ไร้ความรับผิดชอบได้ถึงเพียงนี้

เขาเป็นถึงองค์ชาย แต่เรื่องเพียงเล็กน้อยยังไม่อาจจัดการได้ ขลาดเขลาเสียเหลือเกิน

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าเหยียดหยาม

เสียดายความรู้สึกประทับใจที่นางมีให้เมื่อพบหน้าครั้งแรก

ดูภายนอกคิ้วเข้มตาโต สง่าผ่าเผย นางคิดว่าเขาจะเป็นคนมีความรับผิดชอบเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกเสียอีก

ในฐานะคนเมืองหลวง โอรสของฮ่องเต้ องค์ชายใหญ่ไร้ซึ่งความกล้าหาญในการปฏิเสธ

ทำได้เพียงหวังพึ่งคนที่เดินทางมาเมืองหลวงไม่ถึงเดือนหาหนทางจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง

มีแต่เขาที่คิดได้

คนจากต่างถิ่นสามารถเทียบได้กับคนท้องถิ่นได้หรือ

ครอบครัวของแม่ทัพสามารถเทียบได้กับองค์ชายได้หรือ

แม้จะไม่ได้รับความสำคัญอย่างไร แต่เขาก็ยังเป็นองค์ชายใหญ่ อย่างน้อยสามารถทูลต่อหน้าฮ่องเต้โดยตรงได้

อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคู่ครองของตนเอง อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องฟังความคิดของเขาบ้าง

โถ่เอ้ย เจ้าคนขี้ขลาด รู้แต่เพียงผลักภาระให้ผู้อื่น

การเป็นองค์ชายแบบเขาช่างน่าอับอาย!

เยียนอวิ๋นเกอกัดฟันหลังด้วยความโกรธอย่างมาก!

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว

“องค์ชายใหญ่ไม่ทรงต้องการสมรส แต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธเรื่องนี้เอง เขาไม่กลัวตระกูลเยียนของพวกเราปล่อยไหลไปตามน้ำ ยอมรับพระราชทานของฝ่าบาท สุดท้ายเขายังคงต้องสมรสกับข้าหรือ”

เซียวฮูหยินยิ้มเย้ยหยัน “ข้าดูจากท่าทีขององค์ชายใหญ่ เขายินดีที่จะสมรสกับเจ้ามากกว่าขัดขืนการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท”

เยียนอวิ๋นฉีคิดไม่ตก “เขากลัวฮ่องเต้เพียงนั้นเชียวหรือ เขาคงไม่อาจไม่เข้าวังทั้งชีวิต การว่าราชการในท้องพระโรงตอนเช้า อีกทั้งงานเลี้ยงในพระราชวังตามเทศกาล อย่างไรเขาก็ต้องพบฮ่องเต้อยู่ดี”

เซียวฮูหยินยิ้ม “วันอื่นเข้าเฝ้าฮ่องเค้เพียงแค่ไปถวายบังคม ไม่ต้องขัดขืนการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท นับแต่คุณหนูตระกูลหลิวตายไป ข้าคิดว่าสถานการณ์ของเขายากเข็นมากขึ้น จนกระทั่งเขาไม่มีความมั่นใจที่จะโน้มน้าวให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัย

เขากลัวจนเหงื่อออกในฤดูหนาวเมื่อข้าให้เขาหาทางปฏิเสธงานสมรสพระราชทานนี้ มิน่าหลายปีผ่านไป มารดาของเขาจึงไม่เคยได้รับการแต่งตั้งเสียที เพียงแค่ท่าทางขี้ขลาดของเขา ฮ่องเต้ก็ทรงไม่อยากมอบฐานะโอรสองค์โตแก่เขาแล้ว”

เยียนอวิ๋นฉีกลุ้มใจอย่างมาก

“ท่านแม่ ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเรายังมีวิธีใดทำให้ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนความคิดได้อีก”

เซียวฮูหยินคิดหนักเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ช่างยากนัก

แต่นางยังคงปลอบเยียนอวิ๋นฉี “เจ้าอย่ากังวลเลย ข้าจะหาทางให้เจ้าเอง”

เยียนอวิ๋นฉีจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร

เยียนอวิ๋นเกออดไม่ได้ จรดดินสอถาม “องค์ชายใหญ่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เขาก็เป็นเพียงคนมาเอาไหน เหตุใดคนฉลาดอย่างองค์หญิงเฉิงหยางจึงยอมสนับสนุนเขา”

เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “เจ้าเห็นเพียงแค่องค์ชายใหญ่เป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาสามารถสั่งการได้ องค์หญิงเฉิงหยางให้เขาทำสิ่งใดเขาย่อมต้องทำ”

“วันหลัง หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ องค์หญิงเฉิงหยางย่อมเป็นผู้ว่าราชการแทน ผู้ปกครองในราชสำนักพูดคำใดย่อมเป็นคำนั้น ในทางกลับกัน หากองค์ชายสามขึ้นครองราชย์ ในราชสำนักย่อมไม่มีที่ยืนขององค์หญิงเฉิงหยาง นางจะไปไหนก็ไป อีกทั้งยังต้องป้องกันเถาฮองเฮาคร่าชีวิตของนาง”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ความเสี่ยงภายในองค์หญิงเฉิงหยางไม่เคยคำนึงถึงแม้แต่น้อยหรือ

นางเขียน “องค์ชายใหญ่ยากที่จะแบกรับหน้าที่ใหญ่ ทั้งภายในและภายนอกล้วนถูกปกครองด้วยตระกูลเถา อีกทั้งฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดปรานองค์ชายใหญ่ ซึ่งหมายความว่าโอกาสในการที่องค์ชายใหญ่จะขึ้นครองราชย์แทบจะไม่มี”

“คนฉลาดอย่างองค์หญิงเฉิงหยางไม่มีทางมองไม่ออก การลงทุนกับคนที่ถูกลิขิตไว้ว่าจะล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องที่องค์หญิงผู้เฉลียวฉลาดจะทรงทำ ท่านแม่ พวกเรามองข้ามเรื่องใดไปหรือไม่ หากองค์หญิงเฉิงหยางจริงใจต่อองค์ชายใหญ่จริง นางจะพูดว่าทุกสิ่งเป็นแค่การแสดงหรือ”

สีหน้าของเซียวฮูหยินกลัดกลุ้มขึ้นมา “เจ้าหมายความว่า แท้จริงแล้วองค์เฉิงหยางเป็นคนของเถาฮองเฮา จัดการเรื่องต่างๆ แทนเถาฮองเฮาอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! ถึงแม้ข้าจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาหลายสิบปี แต่ข้าก็รู้ว่าองค์หญิงเฉิงหยางมีความขัดแย้งเถาฮองเฮาไม่น้อย เถาฮองเฮาไม่ใช่คนใจกว้าง ไม่มีทางไม่คิดแค้น”

“หากเจ้าจะบอกว่าความขัดแย้งระหว่างพวกนางเป็นแค่การแสดงยิ่งไม่มีทาง องค์หญิงเฉิงหยางเคยอยากปรองดองกับตระกูลเถา แต่ถูกตระกูลเถาปฏิเสธซึ่งหน้า เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน องค์หญิงเฉิงหยางถูกตระกูลเถาเหยียดหยามจนเสียเกียรติ คนที่รักเกียรติอย่างนางจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอมีความคิดที่แตกต่าง “องค์หญิงเฉิงหยางรักเกียรติเพียงนั้น เหตุใดลูกพังทลายจวนองค์หญิง นางจึงไม่ลงโทษข้า วันนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์มากมาย นางย่อมเสียเกียรติอย่างมากเช่นเดียวกัน นางจะอดทนต่อความคับแค้นใจนี้เพื่อร่วมมืดกับท่านแม่ ช่วยเหลือท่านแม่ได้อย่างไร

ท่านแม่ไม่เคยสงสัยหรือ องค์หญิงเฉิงหยางอาจอยากกอบโกยผลประโยชน์โดยไม่ต้องทำสิ่งใดเลย นางใช้ให้ตระกูลเยียนปะทะกับตระกูลเถา ส่วนนางแค่กวนน้ำให้ขุ่นเพื่อจับปลา ข้าไม่เชื่อว่าองค์หญิงเฉิงหยางไม่รู้ท่าทีขององค์ชายใหญ่มาก่อน ในเมื่อรู้แต่ยังนัดพบหน้า อีกทั้งยังเชิญองค์ชายสามและองค์หญิงติ้งเถามา เจตนาของนางน่าสงสัย!”

เยียนอวิ๋นเกอเขียนร่ายยาวเป็นจำนวนมาก

อย่างไรนางก็ไม่เชื่อใจองค์หญิงเฉิงหยาง

หากหวังพึ่งองค์หญิงเฉิงหยาง สู้หัวงพึ่งตัวเองเสียดีกว่า