ตอนที่ 22 ของขวัญขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร
หนึ่งวันให้หลัง หลินเยวียนกลับมาที่บริษัทอีกครั้ง เสียงของคนในแผนกที่ทักทายหลินเยวียนนั้นมีมากขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
หลินเยวียนตอบกลับ จากนั้นก็เข้าไปถามคำถามอู๋หย่ง “ชั้นสิบมีนักแต่งเพลงมือทองทั้งหมดสิบสี่คนเหรอครับ”
“ใช่แล้ว”
อู๋หย่งตอบอย่างยิ้มแย้ม “นักแต่งเพลงมือทองล้วนเป็นยอดฝีมือตัวจริงด้านการแต่งเพลง เหล่าเจิ้งรุ่นพี่วิทยาลัยนายก็เป็นหนึ่งในนั้น คนที่ครั้งก่อนนั่งข้างนายตอนประชุมน่ะ”
“นักแต่งเพลงมือทองจะเงินเดือนสูงเหรอครับ”
นี่คือประเด็นสำคัญที่หลินเยวียนอยากถาม
อู๋หย่งพยักหน้า “เงินเดือนของนักแต่งเพลงมือทองก็ต้องมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว พวกเขาได้เงินเดือนพื้นฐานเดือนละสามหมื่นหยวน แต่ว่านักแต่งเพลงมือทองเองก็ไม่ค่อยชอบใจกับเงินเดือนเท่านี้ก็แค่นั้น”
หลินเยวียนพูด “ต้องชอบใจสิครับ”
อู๋หย่งหลุดหัวเราะ “งั้นนายก็พยายามเป็นนักแต่งเพลงมือทองให้ได้ แต่ข้อได้เปรียบที่สุดของนักแต่งเพลงมือทองไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ความโหดที่แท้จริงของนักแต่งเพลงมือทองอยู่ที่พวกเขามีคุณสมบัติที่จะต่อรองกับบริษัท สามารถแบ่งรายได้จากผลงานเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่า”
ส่วนแบ่งรายได้ที่สูงกว่า?
หลินเยวียนถาม “แล้วเกณฑ์ของนักแต่งเพลงมือทองอยู่ตรงไหนเหรอครับ”
“เฮ้อ มือทองเป็นคำที่พวกเราเรียกกันเอง ถึงจะเบียวไปหน่อย แต่เรียกแบบนี้ก็เท่ดีออก ก็เหมือนกับพ่อเพลงนั่นแหละ อันที่จริงนักแต่งเพลงมือทองของบริษัทก็มีชื่อตำแหน่งเฉพาะอยู่นะ เรียกว่านักประพันธ์เพลงระดับสูง ระดับสูงกว่าพวกเรา ส่วนของพวกเราเรียกรวมๆ ว่านักประพันธ์เพลง และเกณฑ์ทั่วไปของบริษัทสำหรับนักประพันธ์เพลงระดับสูงคือมีผลงานชิ้นโบว์แดงซึ่งได้ยอดดาวน์โหลดทะลุหนึ่งล้านมากกว่าห้าเพลง”
หลินเยวียนพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
อู๋หย่งตบไหล่หลินเยวียน “ฉันเพิ่งดูยอดดาวน์โหลด ‘ชีวิตดั่งมวลผากยามคิมหันต์’ วันนี้ใกล้จะถึงหกแสนแล้ว ในอนาคตจะแตะหนึ่งล้านย่อมไม่ใช่ปัญหา ไม่รู้ว่าเพลงที่ฉีโจวออเดอร์มาจะมีโอกาสทะลุล้านมั้ย…เรื่องพวกนี้พูดยาก เพราะสไตล์ของเพลงที่สั่งทำมาประกอบหนัง โดยทั่วไปแล้วจะถูกภาพยนตร์ต้นฉบับจำกัดไว้ ง่ายต่อการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่ยอดดาวน์โหลดของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะยังไงก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะงั้นนายก็ไม่ต้องตั้งความหวังมากเกินไป แต่ส่วนแบ่งของออเดอร์นี้ไม่เลวเลยนะ ครั้งนี้นายรับทรัพย์เต็มๆ!”
“อื้ม”
หลินเยวียนคล้ายกับกำลังใช้ความคิด
อู๋หย่งทอดถอนใจ “นายเองก็ไม่ต้องคิดเผื่อไปไกล ยังไงซะนายเพิ่งเข้ามาในบริษัทก็มีผลงานชิ้นโบว์แดงไปตั้งสองรอบติดๆ หลังจากนี้ยังมีโอกาสได้เป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูงอีกมาก เมื่อถึงตอนนั้นนายก็จะได้เป็นนักแต่งเพลงมือทองคนที่สิบห้าของชั้นสิบ”
“อื้ม”
หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเองจะต้องเร่งความเร็วในการปล่อยเพลง มีเพียงการเป็นนักประพันธ์เพลงระดับสูง ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่ามือทองนั้น จึงจะสามารถหาเงินได้มากกว่านี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้
หลินเยวียนก็ซักถามอู๋หย่ง “แล้วออเดอร์ของชั้นสิบ ทุกคนสามารถรับงานได้ เหมือนกับครั้งนี้มั้ยครับ”
“ไม่”
อู๋หย่งกล่าว “หัวหน้าเป็นคนแบ่งออเดอร์ แต่ปกติแล้วนักแต่งเพลงมือทองจะได้ก่อน แล้วก็เรียงตามลำดับ
ไม่ได้ให้นักแต่งเพลงมือทองคนเดิมรับงาน ทำแบบนี้ทุกคนจะได้มีโอกาส มีแค่กรณีที่นักแต่งเพลงมือทองคนนั้นทำไม่ได้ ออเดอร์นั้นก็จะส่งต่อให้มือทองคนลำดับถัดไป ออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นี่งานหินพอตัว ทำให้มือทองสิบสี่คนของเราโดนปัดตกกันหมด เพราะงั้นเหล่าโจวเลยให้ทั้งแผนกลองดู สถานการณ์แบบนี้มีน้อยมาก ปกติแล้วส่งผ่านมือทองไม่เกินห้าคนโดยเฉลี่ยก็ทำออเดอร์ได้แล้ว ยังไงซะความสามารถในการทำงานของพวกมือทองในบริษัทก็สูงอยู่แล้ว”
“พ่อเพลงล่ะครับ?”
“ยังไม่ต้องพูดถึงพ่อเพลงชั้นอื่น พ่อเพลงของชั้นสิบเรามีคนเดียว นายไม่เคยเจอ เพราะพ่อเพลงปีหนึ่งจะเห็นเข้าบริษัทไม่กี่ครั้ง แต่พวกเขาก็มีงานไม่ขาดมือ ถ้าทางผู้ที่ต้องการเพลงเสนอราคาไม่ถึงสิบล้าน พวกเขาก็ไม่สนใจ”
“อ้อ”
หลินเยวียนเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทมากขึ้นอีกสักหน่อย
เขาเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตำแหน่ง มีอีกหลายเรื่องที่ต้องให้คนอื่นชี้แนะ และนั่นคือเหตุผลที่หัวหน้าให้อู๋หย่งมาดูแลหลินเยวียน
……
ช่วงเที่ยงวัน
คนแผนกประพันธ์เพลงล้วนทยอยกันไปกินข้าวที่โรงอาหาร
หลินเยวียนซึ่งถูกกาแฟถลุงเงินไปกำลังครุ่นคิด ตัดสินใจว่าจะหาคนไปเกาะกินข้าวฟรีด้วย และเขาก็
ล็อกเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว
ซุนเย่าหั่ว!
ซุนเย่าหั่วชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากชาร์ตดาวรุ่ง จึงรู้สึกขอบคุณหลินเยวียนมาก บอกหลินเยวียนว่าจะเลี้ยงข้าวอยู่หลายครั้ง แต่หลินเยวียนไม่มีเวลาเลย
วันนี้ถือโอกาสได้ทวงมื้ออาหารนี้สักที
ทว่าเมื่อหลินเยวียนมาถึงแผนกศิลปินชั้นแปดถึงได้รู้ว่าวันนี้ซุนเย่าหั่วแจ้งว่าไม่เข้าบริษัท
ขณะที่กำลังจะกลับออกมา เสียงอันคุ้นเคยก็เรียกให้เขาหยุดลง “หลินเยวียน”
“พี่จ้าว?”
หลินเยวียนหันไปมอง เป็นจ้าวเจวี๋ยจริงๆ
จ้าวเจวี๋ยสีหน้ายิ้มแย้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอ มาหาคนที่นี่เหรอ”
หลินเยวียนพยักหน้า “ครับ ซุนเย่าหั่วไม่อยู่”
จ้าวเจวี๋ยพูด “เขามีงาน ไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย ถ้าไม่ติดธุระก็ไปกินข้าวกับฉันสิ จะพาเธอลงไปชิมอาหารของโรงอาหารบุคลากรระดับสูง”
หลินเยวียนกังวลขึ้นมา “โรงอาหารของบุคลากระดับสูงแพงมากใช่มั้ยครับ”
จ้าวเจวี๋ยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ไปกินข้าวกับจ้าวเจวี๋ย จะให้เธอออกเงินได้ยังไงล่ะ ไปกัน ฉันเลี้ยงเอง”
“ขอบคุณครับพี่จ้าว!”
หลินเยวียนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
โรงอาหารของบุคลากรระดับสูงต่างจากของพนักงาน ที่นี่กินอาหารกันเงียบกว่ามาก อีกทั้งคนก็น้อยกว่า หลายโต๊ะรอบตัวหลินเยวียนล้วนว่างเปล่า นอกจากนั้นแล้วอาหารส่วนมากจะทำแยกกัน โดยทั่วไปจะเป็นอาหารที่บุคลากรระดับสูงสั่งไว้ล่วงหน้า ตอนเที่ยงพ่อครัวแม่ครัวทำเสร็จแล้วจึงมากิน
“ฉันมากินคนเดียวมักจะกินไม่หมดน่ะ”
จ้าวเจวี๋ยชี้ไปยังอาหารสี่อย่างบนโต๊ะ “เธอมาช่วยฉันกินพอดี ถ้าไม่พอฉันจะให้พวกเขาทำให้”
“พอครับ”
หลินเยวียนไม่ใช่คนโลภมาก
กินอาหารอย่างแรกเข้าไป เขาก็รู้แล้วว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นโรงอาหารของบุคลากรระดับสูง
นั่นเพราะรสชาติของอาหารที่นี่ดีกว่าในโรงอาหารของพนักงานมาก แทบจะไม่ต่างกับภัตตาคารที่มีไอศกรีมกินได้ไม่อั้นซึ่งไปกินวันนั้น โรงอาหารพนักงานที่เดิมทีนับว่าอร่อยมากสำหรับหลินเยวียนก็เกิดข้อเปรียบเทียบขึ้นมาทันที
จ้าวเจวี๋ยกินช้ามาก
บางครั้งเธอก็รับโทรศัพท์ ท่าทางดูงานยุ่งมาก แถมน้ำเสียงที่ใช้พูดโทรศัพท์ส่วนมากหนักแน่นเด็ดขาด แฝงความแข็งกร้าว
“แบรนด์เครื่องประดับนั้นเปลี่ยนศิลปินของเราเหรอ ไม่ใช่ปัญหาจากศิลปินเราใช่มั้ย ได้ ไม่ต้องไปต่อรองแล้ว ประกาศออกไปเลยว่าหลังจากนี้ไม่ให้ศิลปินของสตาร์ไลท์รับงานพรีเซนเตอร์ของแบรนด์นี้อีก”
“ทางผู้จัดกิจกรรมของมิวซ์แอปพาเรลฟ้องร้องศิลปินของสตาร์ไลท์ที่มาสาย? ก่อนหน้านี้ฉันสอนว่ายังไง คิดว่าตัวเองดังแล้ว? ไม่ต้องอ้างเหตุผลว่ารถติด ควรปรับเท่าไหร่ก็ปรับไปเลย คิดจะมาอวดเก่งกับฉันหรือไง”
“หลี่หลี่ถูกแอบถ่ายภาพหลุด? ติดต่อฝ่ายประสานงาน แล้วก็ไปตามหานักข่าวที่ถ่ายภาพมาด้วย ฉันจะให้หัวหน้าเขาจัดการ”
“…”
หลังจากรับโทรศัพท์หลายสาย เธอจึงยิ้มเชิงขอโทษกับหลินเยวียน “เสียงดังรบกวนเธอเลยสินะ”
“เปล่าครับ”
หลินเยวียนไม่ได้กินข้าวเช้า จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย ขณะที่จ้าวเจวี๋ยคุยโทรศัพท์ เขาก็กินข้าวหมดเกลี้ยงแล้ว
“เธอนี่นะ”
จ้าวเจวี๋ยมองหลินเยวียนด้วยความขบขัน ยื่นมือออกมาเช็ดเม็ดข้าวที่มุมปากของเขา “ครั้งก่อนแม่เธอโทรศัพท์มาหาฉัน ถามเรื่องเธอ นึกไม่ถึงว่าเธอจะโกหกกับเขาเป็นด้วย เงินที่เธอได้ไม่ถึงหนึ่งแสนล่ะมั้ง เงินเดือนก็ไม่ถึงสองหมื่น”
หลินเยวียนพูด “รบกวนพี่จ้าวแล้ว”
จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า พอจะเดาเหตุผลได้ ฉะนั้นจึงไม่ได้ตำหนิเจตนาของหลินเยวียน
ในตอนนั้นเอง
โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่โทรศัพท์สายนี้คล้ายว่าจะเป็นสายสำคัญ เพราะหลินเยวียนเห็นว่าสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเปลี่ยนไป ถึงขั้นลุกขึ้นยืน
ไม่เพียงเท่านี้
น้ำเสียงที่เธอพูดโทรศัพท์ในครั้งนี้ปราศจากความแข็งกร้าวเฉกเช่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย กลับยังออกจะประดักประเดิดอยู่สักหน่อย “ค่ะๆๆ…ฉันได้คุยแล้ว…เด็กคนนี้ถือตัวอยู่สักหน่อย…รับมือยาก…ทราบแล้วค่ะ…บอส…คุณอย่าปล่อยให้คนพวกนั้นบังคับให้ฉันต้องประกาศกร้าวแบบนั้นอีกนะคะ…จิตใจฉันรับไม่ไหวแล้ว…”
หลินเยวียนนิ่งอึ้งไป
ที่แท้ก็เป็นบอสของบริษัท เรื่องนี้ก็เข้าใจง่ายแล้ว ใครจะกล้าไม่เห็นหัวหน้าอยู่ในสายตากันล่ะ
หลังวางสายไป
จ้าวเจวี๋ยก็คล้ายว่าไม่มีกะจิตกะใจจะกินอาหารต่อแล้ว ผ่านไปนานโขกลับคีบอาหารเพียงสองคำด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอครับ” หลินเยวียนถามด้วยความเป็นห่วง
จ้าวเจวี๋ยยิ้มขื่น “บอกเธอไปจะมีประโยชน์อะไร เธอกินข้าวไปเถอะ”
หลินเยวียนกินน้ำซุปหนึ่งคำ ก่อนจะเช็ดปาก “ผมกินเสร็จแล้ว พี่เล่ามาได้ครับ”
“…”
จ้าวเจวี๋ยวางโทรศัพท์ลง “‘สะพรั่ง’ เธอรู้จักใช่มั้ย”
หลินเยวียนพยักหน้า
นี่คือรายการประกวดซึ่งจัดปีละครั้ง ความฝันของซย่าฝานคือการได้เป็นนักร้องหญิงที่โด่ดเด่นคนหนึ่ง แต่เธอเข้าร่วมรายการและตกรอบมาสองปีติดต่อกัน นับว่าเป็นรายการที่ธรณีประตูสูงยากที่จะก้าวข้ามพอสมควร
“งั้นเธอก็คงจะติดตามรายการมาบ้าง”
จ้าวเจวี๋ยพูดด้วยความปวดหัว “‘สะพรั่ง’ ปีนี้มีผู้ชนะขั้นเทพชื่อจ้าวอิ๋งเก้อ หน้าตาสะสวย พรสวรรค์ด้านการร้องเพลงเทียบกับเธอเมื่อก่อนได้เลย ที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้สังกัดบริษัท เพราะงั้นตอนนี้บริษัททั้งเล็กทั้งใหญ่ในฉินโจวต่างก็อยากเซ็นสัญญาด้วย แต่น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นหยิ่งมาก เรียกได้ว่าถ้าใครอยากเซ็นสัญญากับเธอ จะต้องเสนอเพลงที่จะใช้เป็นผลงานเด่นได้ ฉันเลยไปไหว้วานเหล่าโจว ให้มือทองสักเจ็ดแปดคนแต่งเพลงให้ แต่เธอก็ไม่ถูกใจเลย”
หลินเยวียนวิจารณ์ว่า “มาตรฐานสูงมาก”
เวลางานช่วงสายนั้น เดิมทีหลินเยวียนนึกสงสัยในผลงานของมือทอง จึงฟังผลงานโดดเด่นของพวกเขาอยู่หลายเพลง
ต้องบอกว่า
มาตรฐานของนักแต่งเพลงมือทองสูงจริงๆ ผลงานโดดเด่นแต่ละเพลง เรียกได้เลยว่าคลาสสิก
ขณะเดียวกันหลินเยวียนก็เชื่อมั่นว่าผลงานเด่นของนักแต่งเพลงมือทองเหล่านี้ ต่อให้อยู่ในโลกเดิม ก็จะดังซะยิ่งกว่าดัง
นั่นทำให้หลินเยวียนรับรู้ในความสามารถของเหล่านักแต่งเพลงของบลูสตาร์ได้อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม
“แต่เธอก็ไม่ได้ต่อต้านสตาร์ไลท์”
น้ำเสียงของจ้าวเจวี๋ยผ่อนลงบ้างแล้ว ราวกับว่าหลินเยวียนกลายเป็นคู่สนทนาที่ไม่เลวเลย
“ยังดี เพลงที่เซวี่ยนล่านอิ๋นกวงกับซาไห่เสนอมาในตอนนี้เธอยังไม่ประทับใจ เพราะฉะนั้นจนถึงตอนนี้ ทั้งสามบริษัทกำลังแข่งกันอยู่ เพราะเธอไม่สนใจบริษัทอื่นนอกจากสามบริษัทใหญ่”
เล่าถึงตรงนี้
จ้าวเจวี๋ยก็ส่ายหน้า “ที่จริงก็ไม่ใช่เพราะเธอดูถูกเพลงของนักแต่งเพลงมือทอง ประเด็นคือกำลังของนักแต่งเพลงมือทองก็มีจำกัด ส่วนมากร่วมงานกับนักร้องในระยะยาว บางครั้งก็รับงานจากข้างนอก เพราะงั้นเพลงที่แต่งออกมาชั่วคราวนั้น คุณภาพก็จะด้อยกว่า…”
มีโทรศัพท์ดังขึ้นอีกสาย
จ้าวเจวี๋ยไม่อยากรับ จึงตัดสายทิ้ง และระบายกับหลินเยวียนต่อ “เธอเป็นนักแต่งเพลงก็น่าจะรู้ ต่อให้ทุ่มสุดตัว ก็ไม่มีนักแต่งเพลงมือทองคนไหนรับรองได้ว่าผลงานทุกชิ้นของตนจะโดดเด่น ผลงานชิ้นโบว์แดงน่ะนะ มักจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่สูงของคนคนนั้น ใครจะกล้าบอกว่าผลงานทุกชิ้นของตัวเองจะแตะถึงระดับสูงสุดกันล่ะ
ใช่แล้ว ทุกคนบอกว่านักแต่งเพลงมือทองเก่งกันมากๆ ถ้าลงมือเองแล้ว งานก็ต้องไม่ธรรมดา
แต่คำพูดนี้ก็ต้องแยกกัน…เก่งก็คือเก่ง ถึงยังไงนักแต่งเพลงมือทองของสตาร์ไลท์เราอย่างน้อยต้องมีผลงานคลาสสิกห้าเพลงขึ้นไป แต่ถ้าลองเฉลี่ยดูแล้วจะพบว่า…อายุของนักแต่งเพลงมือทองส่วนมากจะประมาณสามสิบ อายุสามสิบเรียกว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ที่ยังอายุน้อยอยู่เลยนะ!
หรือจะพูดได้ว่า นอกจากอัจฉริยะที่มีจำนวนน้อยมากแล้ว พวกเขาส่วนมากต้องใช้เวลามากกว่าสิบปี ถึงจะเขียนผลงานที่เรียกว่าผลงานชิ้นโบว์แดงพวกนี้ออกมาได้”
“สิบปีเลย! แค่งานชิ้นโบว์แดงไม่กี่ชิ้นน่ะเหรอครับ!”
“จำนวนชิ้นงานที่ออกมาเทียบได้กับคลอดเด็กคนหนึ่งเลยใช่มั้ยล่ะ อุ้มท้องเก้าเดือน นักแต่งเพลงมือทองเก้าเดือนยังคลอดชิ้นงานไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะงั้นจ้าวอิ๋งเก้ออยากได้งานชิ้นโบว์แดง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกนักแต่งเพลงมือทองคนหนึ่งมาให้เธอ แล้วงานก็เสร็จเรียบร้อย ข้อเรียกร้องนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่ที่จริงแล้วลำบากมาก”
หลินเยวียนตะลึกงันไป
จ้าวเจวี๋ยให้มุมมองใหม่กับเขา
เขามองเพียงแค่ความแข็งแกร่งของนักแต่งเพลงมือทอง แต่กลับไม่เห็นว่าทุกคนล้วนทุ่มเททั้งเวลาและกำลังเขียนเพลงระดับผลงานชิ้นโบว์แดงออกมา ก็เหมือนกับตนที่บากบั่นทำภารกิจของระบบเพื่อให้ได้มาซึ่งกล่องสมบัติ
“เฮ้อ”
จ้าวเจวี๋ยผุดรอยยิ้มขึ้นมา “มาระบายกับเธอซะนานเลย เธอคงฟังจนรำคาญแล้ว ขอบคุณนะที่ฟังฉันพูดไร้สาระตั้งเยอะแยะ กินอิ่มแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ ฉันจะไปลองขอเพลงจากเหล่าโจวมาอีกสักหน่อย ถึงยังไงอีกสองบริษัทก็มาแย่งจ้าวอิ๋งเก้อไม่ได้สักพัก ค่อยๆ คิดหาวิธีดีกว่า”
หลินเยวียนพูดว่า “ถ้ามีเพลงแล้วเธอจะเซ็นสัญญาใช่มั้ยครับ”
จ้าวเจวี๋ยแทบหยุดหายใจเพราะน้ำเสียงสบายๆ ของหลินเยวียน “ใช่ มีเพลงก็ได้แล้ว แต่ต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง คำว่าผลงานชิ้นโบว์แดงเธอคงเข้าใจใช่ไหม ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเธอ ทำไม เธอจะให้มวลผกายามคิมหันต์ผลิดอกออกมาอีกเหรอ”
หลินเยวียนพูดอย่างเสียดาย “‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เธอต้องเคยฟังแล้วแน่ๆ เลย”
จ้าวเจวี๋ย “…”
เด็กน้อยเอ๊ย จะจริงจังเหรอเนี่ย
หลินเยวียนเองก็รู้สึกหงุดหงิดใจ “‘ติดไฟง่ายระเบิดง่าย’ ได้มั้ยครับ”
จ้าวเจวี๋ยชะงักงัน “อะไรระเบิดนะ”
หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดอีเมล ก่อนจะบอกว่า “ผมส่งให้พี่แล้ว”
จ้าวเจวี๋ยงุนงง “เธอส่งอะไรให้ฉัน”
หลินเยวียนลุกขึ้นพูดว่า “คิดซะว่าเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ก็แล้วกันครับ”
……………………………………