บทที่ 30 ของขวัญที่คาดไม่ถึง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 30 ของขวัญที่คาดไม่ถึง

ท้องฟ้าสีดำสนิท มองไม่เห็นดวงดารา มีเพียงจันทร์กระจ่างลอยสูง เมฆทมึนลอยผ่านไปเป็นริ้วๆ

ลมแรงมาก แต่กลับไม่ส่งผลกระทบถึงการไหลหลั่งของแสงจันทร์

แสงจันทร์สุกสกาว ราวสายน้ำหลั่งรินลงสู่โลกมนุษย์

สิ่งเหล่านั้นส่วนหนึ่งสาดส่องลงมาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตกกระทบมายังเรือนที่สวี่ชิงพัก คลุมลงมาบนร่างสองร่างที่หน้าประตู

นายท่านเจ็ดในชุดคลุมม่วง ยืนเอามือไพล่หลังตรงนั้นอยู่สักพัก ใบหน้าชราภาพใต้แสงจันทร์ครุ่นคิดไตร่ตรอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ผู้ติดตามไม่คิดจะรบกวน จึงเฝ้ารออยู่เงียบๆ

ส่วนสุนัขป่ารอบด้านไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสองคนนี้ในสายตาพวกมันไม่ได้มีตัวตนอยู่ จึงนอนพังพาบอยู่ตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ

รอบด้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงหัวเราะและเสียงร้องจากพื้นที่รอบๆ ที่ดังก้องมาเป็นระยะ

และหลังจากสองประโยคนั้น ด้านในเรือนก็ตกเข้าสู่ความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจดังออกมาแผ่วเบา

เวลาไหลผ่าน หลังจากหนึ่งชั่วก้านธูป นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถอนหายใจเบาออกมาเสียงหนึ่ง ไม่ได้ผลักประตูเปิด แต่หันหลังกลับเดินออกไปด้านนอก

“เอาป้ายแนะนำให้เขาชิ้นหนึ่งแล้วกัน” นายท่านเจ็ดที่เดินมาถึงประตูเรือน เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“สีอะไรหรือขอรับ” ผู้ติดตามถามขึ้นมา

“ธรรมดาที่สุด แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรกับเขามากนัก” นายท่านเจ็ดเดินผ่านประตูเรือนค่อยๆ จากไป

ผู้ติดตามดวงตาแข็งค้าง ในใจเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมาวูบหนึ่ง

หลายวันนี้ที่เขาติดตามนายท่านเจ็ดอยู่ในฐานที่มั่น เห็นนายท่านเจ็ดใส่ใจเด็กคนนี้หลายต่อหลายครั้งด้วยตาตนเอง

นายท่านเจ็ดก็ยังเคยเข้าไปทักทายปรมาจารย์ไป่ในภายหลังที่นั่นอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้ว่า วาสนาของเด็กน้อยคนนี้มาถึงแล้ว ดังนั้นครั้งที่แล้วเขาจึงถามว่าจะมอบป้ายแนะนำให้เขาสักชิ้นหรือไม่

ป้ายแนะนำ เป็นคุณสมบัติในการเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิต คนที่มีป้ายแนะนำจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบ หากสำเร็จสามารถฝากตัวเข้าเป็นศิษย์สำนักได้

และป้ายแนะนำก็มีการแบ่งสีไว้ สีม่วงคือสูงที่สุด เป็นสัญลักษณ์แทนตัวว่าเมื่อเข้าสำนักก็จะกลายเป็นศิษย์หลักของสำนัก สีเหลืองเป็นระดับกลาง เป็นสัญลักษณ์แทนตัวว่าเมื่อเข้าสำนักจะกลายเป็นศิษย์สำนักสายใน ส่วนสีขาวคือธรรมดาที่สุด เมื่อเข้าสู่สำนักจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น

จากความรู้สึกของผู้ติดตาม นายท่านเจ็ดอย่างน้อยก็น่าจะมอบป้ายแนะนำสีเหลืองให้ แต่ตอนนี้กลับเป็นแค่สีขาวเท่านั้น และ…ยังเน้นมาอีกว่าไม่ให้เขาพูดมาก

สถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ ทำให้เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ ในใจก็เต้นถี่ขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ด้วย

“คำตอบมีเพียงข้อเดียว นายท่านเจ็ดให้ความสำคัญอย่างมากต่อเด็กคนนี้ ไม่เพียงแต่จะรับเข้าสำนักเท่านั้น แต่ยังเกิด…ความคิดที่จะรับเป็นศิษย์อีกด้วย ดังนั้นจึงคิดจะทดสอบเสียหน่อยหรือ ฝ่าพระบาทสามคนก่อนหน้าก็เข้ามาเช่นนี้ หรือยอดเขาลำดับเจ็ดจะปรากฏศิษย์สายตรงคนที่สี่แล้วกัน”

ผู้ติดตามเข้าใจถึงน้ำหนักของคำว่าศิษย์สายตรงคำนี้เป็นอย่างดี หรือก็คือเมื่อกลายเป็นศิษย์สายตรงของนายท่านเจ็ด เช่นนั้นคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นที่จับตามองของขั้วอำนาจต่างๆ ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทันที

แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มากนัก ถึงอย่างไรนายท่านเจ็ดก็ไม่ได้รับศิษย์มานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตนเองก็ยังต้องคอยใส่ใจเด็กน้อยคนนี้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผู้ติดตามก็สูดลมหายใจลึก เก็บงำอารมณ์ แล้วค่อยๆ เคาะประตูห้องของสวี่ชิง

ทันทีที่เสียงก๊อกๆ ดังเข้ามาในห้อง เสียงลมหายใจเข้าออกก็สลายไปในพริบตา

พริบตาต่อมา ผู้ติดตามก็เผยรอยยิ้มมุมปาก ร่างกายเลือนหายไป ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่หลังห้องแล้ว!

มุมกำแพงด้านหลังห้อง ที่นั่นมีรูอยู่ช่องหนึ่งถูกกองอิฐวางบังเอาไว้ซ่อนอยู่ลึกลับมาก เหมือนถูกขุดออกไปแล้วได้สักพักหนึ่ง

ตอนนี้ร่างเงาสวี่ชิงพุ่งจากด้านในสู่ด้านนอกอย่างรวดเร็ว คิดจะอ้อมตัวไปสังเกตคนที่เคาะประตู แต่ครู่ต่อมาร่างกายของเขาก็ชะงักนิ่งเพราะการปรากฏตัวของผู้ติดตาม

สวี่ชิงม่านตาหดลง จ้องมองร่างเงาที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นราวกับบีบเข้ามาในดวงตาของตน รู้สึกอึดอัดในใจ

เงาตรงหน้าคือชายกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเทา ใบหน้าธรรมดาสามัญอย่างมาก สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือกลางหน้าผากเขามีรูปห้าแฉกประดับไว้อยู่รูปหนึ่ง กำลังเปล่งแสงหม่น แสงจันทร์รอบด้านล้วนถูกผลกระทบจนบิดเบี้ยวไป

ความรู้สึกบีบคั้นที่รุนแรงยิ่งตามมา สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย ออกแรงกำเหล็กแหลมที่อยู่ในมือขวา มือซ้ายเองก็กำพิษไว้กำหนึ่งอย่างแนบเนียน

อีกฝ่ายปรากฏตัวแปลกประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกสูงส่งกว่าพี่ชายของเด็กสาวที่พบเมื่อหลายวันก่อนอีกด้วย

โดยเฉพาะสายตาของอีกฝ่าย ทำให้เลือดเนื้อทั้งตัวของเขาสั่นระริกขึ้นมาทันทีราวกับกำลังตะโกนบอกกับเขาว่าคนตรงหน้านี้อันตรายถึงขีดสุดเลยทีเดียว!

จุดนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เลือดเนื้อที่สั่นระริกก็ไม่ใช่แค่สัญญาณอันตรายเท่านั้น ขณะเดียวกันยังบอกแก่เขาว่า ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการกระทำทั้งหมดต่อจากนี้แล้วด้วย

หัวสมองสวี่ชิงมีการจำลองสถานการณ์สำหรับอันตรายที่ตนเองจะพบในที่พักไว้แล้วหลายครั้ง และการที่สุนัขป่าไม่ส่งเสียงร้อง ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ยังสัมผัสไม่ได้เลยจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดในการจำลองของเขา

เวลานี้ดวงตาหรี่ลง ร่างของสวี่ชิงค่อยๆ ถอยหนี

“ข้าไม่มีเจตนาร้าย” พอเห็นเด็กน้อยท่าทางเหมือนลูกหมาป่าแรกเกิด ที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ผู้ติดตามจึงหัวเราะขึ้น

มองรูบนกำแพงด้านหลังสวี่ชิง เขาจึงคิดขึ้นมาได้ ว่านี่น่าจะเป็นทางหนีทีไล่ของเด็กน้อยที่มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ในที่พัก

‘สามารถเตรียมการเช่นนี้ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังไม่ลุกลี้ลนลานตอนเกิดเรื่องไม่คาดคิด แล้วยังเฝ้ารอโอกาสตอบโต้อีก มิน่านายท่านเจ็ดจึงให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้นัก’

ในสมองผู้ติดตามปรากฏภาพฉากที่สวี่ชิงตัดคอของเจ้าม้าและสังหารเจ้าอ้วนขึ้นมา ดวงตาเกิดแววชื่นชม ยกมือหยิบเอาป้ายแนะนำสีขาวออกมาชิ้นหนึ่ง โยนไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงไม่ได้รับ กระโจนตัวขึ้น ตอนที่ร่างกายถอยหนีก็สาดพิษกำหนึ่งออกมาฉับพลัน ในกลุ่มพิษยังมีกริชที่เย็นเยียบสองเล่ม พุ่งหวีดหวิวออกไปจากในนั้นอีกด้วย

แต่พริบตาต่อมา สวี่ชิงเบิกตาโพลงฉับพลัน เขามองเห็นกริชของตนเองทะลุผ่านร่างชุดคลุมสีเทา ปักเข้าไปบนกำแพงด้านหลังอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่มีร่างจริงอยู่อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่น้อย

และการสาดพิษก็เช่นเดียวกัน ทะลุผ่านร่างของเขาไปกองอยู่บนพื้น

ฉากนี้ ทำให้ประสาทสัมผัสของสวี่ชิงเครียดขึงขึ้นในพริบตา สูดลมหายใจคิดจะถอย

ตอนนี้เอง คนชุดคลุมเทาจึงหัวเราะขึ้น ร่างกายค่อยๆ สลายไปจากสายตาของสวี่ชิง

เริ่มจากสองขา จากนั้นก็ลำตัว จนตอนที่ศีรษะสลายไป เสียงของเขาจึงดังก้อง

“เด็กน้อย มีคนให้ข้าส่งป้ายแนะนำชิ้นนี้กับเจ้า มันเป็นคุณสมบัติในการเข้าสู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้ ในแผนที่ด้านหลัง ทุกๆ เมืองย่อย เจ้าสามารถถือป้ายแนะนำเข้าไปก็จะสามารถส่งตัวเจ้าไปยังสำนักได้ครั้งหนึ่ง”

หลังจากคำพูดนี้เปล่งออกมา ร่างของคนติดตามก็หายไปราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน สวี่ชิงที่มองเห็นทั้งหมดนี้ก็นิ่งงันอยู่นาน

เขาสัมผัสได้ถึงความประหลาดของอีกฝ่าย และซาบซึ้งถึงความอ่อนแออย่างไม่มีทางเลือก

จนผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงจึงเดินไปดึงกริชของตนเองออกมาเงียบๆ ก้มหน้าลงมองป้ายแนะนำบนพื้น

ป้ายแนะนำสีขาวมีลายดอกไม้ซับซ้อนสลักไว้หงายขึ้น เต็มไปด้วยความโบราณและเรียบง่ายภายใต้การสะท้อนแสงของแสงจันทร์

สวี่ชิงครุ่นคิด สวมถุงมือแล้วหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง

ด้านหลังป้ายแนะนำเป็นแผนที่หนึ่ง ด้านบนมีจุดนูนมากมายนับร้อย ทำสัญลักษณ์ของเมืองแต่ละเมืองเอาไว้

“เจ็ดเนตรโลหิต…” สวี่ชิงงึมงำ

เคยได้ยินเจ็ดเนตรโลหิตจากหัวหน้าเหลย และรู้มาว่านี่คือหนึ่งในขั้วอำนาจที่โหดร้ายใหญ่โตไม่กี่แห่งในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ คนที่อยากจะฝากตัวเข้าสำนักในทุกปีก็มีจำนวนมหาศาล

แต่การเข้าไปในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั้นเคร่งครัดอย่างมาก ไม่ใช่คิดจะเข้าไปก็เข้าไปได้ จำเป็นต้องมีป้ายแนะนำเข้าสำนักด้วย แต่การแจกจ่ายป้ายแนะนำนี้ก็พบเห็นได้น้อยมาก

สวี่ชิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงได้รับ และไม่รู้จักคนชุดเทานั้นเลย และก็ยิ่งไม่รู้ว่าป้ายแนะนำเป็นของจริงหรือไม่

แต่หลังจากเขาครุ่นคิดก็รู้สึกว่า พลังที่น่ากลัวของอีกฝ่าย ไม่มีความจำเป็นต้องมาเล่นลิ้นกับตนเองเช่นนี้ ดังนั้นป้ายแนะนำนี้ก็น่าจะเป็นของจริง

“ทำไมจึงให้ข้ากัน” สวี่ชิงคิดไม่ออก แต่ก็ยังคิดไปถึงคำเรียกที่อีกฝ่ายเรียกตนเอง

เด็กน้อยสองคำนี้มีความหมายอยู่หลายระดับ มีทั้งความหมายแบบกว้างและแบบชี้เฉพาะเจาะจง

และในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้ คำเรียกเด็กน้อย เป็นชื่อเรียกเฉพาะของตัวสวี่ชิง

การเรียกชื่อในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดของเขา สามารถอธิบายได้ว่าอีกฝ่ายรู้จักตนเองเป็นอย่างมาก

และในคำพูดอีกฝ่ายยังเอ่ยถึงว่า มีคนให้เขามาส่งป้ายแนะนำนี้ นี่อธิบายได้ว่าคนชุดคลุมเทายังมีพรรคพวกอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของพรรคพวกเขาคนนี้ยังสูงส่งมาก

“หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์ไป่” สวี่ชิงก้มหน้าต่ำมองดูป้ายแนะนำ ครู่หนึ่งจึงเก็บมันไปอย่างลังเล

ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้จะสาง สวี่ชิงจัดการยัดก้อนอิฐกลับเข้าไปบนกำแพงใหม่ หลังจากทำให้มันเป็นเหมือนเดิมจึงออกไปให้อาหารสุนัขป่าในเรือน

ถึงแม้เจ้าพวกนี้จะไร้ประโยชน์ แต่พอเลี้ยงไประยะหนึ่ง การให้อาหารจึงกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว

มองสุนัขป่าสิบกว่าตัวแย่งอาหารกัน สวี่ชิงก็คิดจะเดินออกไปเรียน แต่ฝีเท้าก็หยุดลง นั่งลงเงียบๆ ในเรือนอีกครั้ง

“นี่ก็เคยชินเหมือนกัน…” สวี่ชิงงึมงำ นั่งอยู่ตรงนั้นจนฟ้าสาง เขาลุกขึ้นยืน เดินออกจากเรือน เดินเข้าไปในฐานที่มั่น

เห็นๆ อยู่ว่าคุ้นเคยกับฐานที่มั่นดีแล้ว ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคย กางเขนกับเขี้ยวหงส์เองก็ไม่กลับมานานแล้ว สวี่ชิงขณะเดินอยู่ จู่ๆ เขาก็คิดไปถึงห้องยาในหุบเขาของตนเองขึ้นมา

แม้ว่าที่นั่นจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ความคิดนี้ก็ยังคงหนักแน่นอย่างมาก

ในขณะที่สวี่ชิงเตรียมตัวที่จะไปทดลองปรุงลูกกลอนขาวดูเสียหน่อย ก็สูดลมหายใจลึก จากนั้นจึงออกฐานที่มั่นตรงไปยังพื้นที่ต้องห้าม แต่เขายังไม่ทันออกจากฐานที่มั่น ด้านหลังก็มีคนเรียกเขาขึ้นมา

“เด็กน้อย เด็กน้อย”

เสียงดูคุ้นหู สวี่ชิงหันหลังกลับไป มองเห็นชายชราผมขาวโพลนในชุดหนังคนหนึ่ง กำลังวิ่งตรงมาหาเขา

คนผู้นี้คือคนเก็บกวาดเก่าแก่ในฐานที่มั่น

ชื่อจริงๆ ไม่มีใครรู้ จึงล้วนเรียกเขาว่าตาแก่หัวแข็ง และเป็นหนึ่งในห้าหกคนที่สวี่ชิงช่วยกลับมาตอนที่แบกหัวหน้าเหลยไว้บนหลังเมื่อครั้งนั้น

ต่อมาเขาก็เข้ามาซื้อประกันกับสวี่ชิงบ่อยๆ เช่นเดียวกับดาบกระดูก

“เฮ้ เด็กน้อย ข้าได้รับงานใหญ่มา!” ตาแก่หัวแข็งเอ่ยขึ้นอย่างยินดี

จากการบรรยายอย่างรวดเร็วของเขา สวี่ชิงก็เข้าใจแล้ว

ตาแก่หัวแข็งก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าช่วงนี้ใช้วิธีอะไรจึงทำให้เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มาจากด้านนอกฐานที่มั่นจ้างวานเขาได้สำเร็จ โดยให้เขานำทางไปยังหมู่ศาลเจ้าในป่าของพื้นที่ต้องห้าม

ครั้งนี้ที่มาหาตนเอง ก็เพื่อซื้อประกัน

“เหมือนเดิม ลูกกลอนขาวห้าเม็ด หนึ่งอาทิตย์จากนี้หากข้ายังไม่กลับมา รบกวนเด็กน้อยไปช่วยเหลือข้าที่หมู่ศาลเจ้า” ตาแก่หัวแข็งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“หนึ่งอาทิตย์?” สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง เจ้าผู้ลากมากดีพวกนี้อยากจะอยู่ในนั้นให้ได้หนึ่งอาทิตย์ แต่ว่าก็ให้ค่าตอบแทนมหาศาล ตาแก่อย่างข้าก็ต้องเต็มที่เสียหน่อย กะว่าถ้าเสร็จงานนี้ ข้าก็จะเกษียณตัวเองเสียที”

ตาแก่หัวแข็งทอดถอนใจ ในฐานะที่เป็นคนเก็บกวาดเก่าแก่ เขาเข้าใจดีว่าการอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามหนึ่งอาทิตย์ ไม่เพียงแต่อันตรายจะเพิ่มมากขึ้น ไอพลังประหลาดก็เช่นกัน แต่ค่าตอบแทนมากมาย ระดับที่เพียงพอให้เขาซื้อคุณสมบัติเข้าพักในเมืองใกล้เคียงได้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองสักตั้ง และตระเตรียมลูกกลอนขาวไปให้มากพอ

สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คิดจะทำเรื่องนี้ต่อแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ที่ต้องการเวลาไปค้นคว้าเรื่องลูกกลอนขาว

ตอนที่กำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นผมสีขาวรวมถึงสีหน้าเฝ้ารอของตาแก่หัวแข็ง สวี่ชิงก็อดคิดถึงหัวหน้าเหลยไม่ได้ หลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง เขาจึงพยักหน้า

“ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”

พูดจบ เขาก็รับลูกกลอนขาวมาท่ามกลางความซาบซึ้งของตาแก่หัวแข็ง เดินออกจากฐานที่มั่นแล้วตรงไปยังพื้นที่ต้องห้าม

และในพื้นที่ต้องห้าม ก็มีหมอกลวงตาปรากฏมาพอดี ปกคลุมพื้นที่ไปส่วนหนึ่ง แผ่ซ่านออกไปทุกทิศทาง…

ด้านนอกขอบเขตหมอกลวงตา ใกล้ๆ กับบึงมังกรพิษในพื้นที่ต้องห้าม มีคนเก็บกวาดที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในร่องไม้ด้วยความหวาดกลัวคนหนึ่ง ร่างกายสั่นระริก

รอบตัวเขา มีเงาอยู่สี่เงากำลังสอดส่องด้วยสายตาเย็นเยียบ

“หมอกมาแล้ว! ขอแค่ยืนหยัดต่อไป เด็กน้อยจะต้องมาช่วยข้าแน่!” คนที่ซ่อนอยู่ตรงนี้ ก็คือดาบกระดูกที่ซื้อประกันจากสวี่ชิงมาแล้วหลายครั้งนั่นเอง!

“หมอกมาแล้ว”

พริบตาที่เดินเข้าไปในผืนป่าพื้นที่ต้องห้าม สวี่ชิงก็หยุดเท้าลง

เขาสัมผัสได้ว่าเงาของตนเองเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เรื่องนี้ก่อนหน้านี้เคยเกิดมาแล้ว เป็นสัญญาณเตือนก่อนที่หมอกลวงตาจะปรากฏขึ้น

กระทั่งเมื่อมองอย่างละเอียด ก็ยังมองเห็นว่าในป่ามีปราณหมอกเบาบางอยู่ด้วย

สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย หลังจากคิดๆ ดู เขาก็ยังเลือกเดินเข้าไปในป่า

หนี่งคือเขาจำเป็นต้องไปยังห้องยาในหุบเขา อีกเรื่องหนึ่งคือการช่วยเหลือของเงาแม้จะสามารถอยู่ต่อเนื่องได้ไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตรงเข้าไปยังหุบเขาได้

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่หมอกลวงตาปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะอันตราย แต่อันที่จริงสำหรับอสูรกลายพันธุ์เองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นก็ยังปลอดภัยกว่าแต่ก่อนอยู่ระดับหนึ่ง

แต่ว่าเงื่อนไขก็คือต้องไม่หลงทางอยู่ด้านใน และไอพลังประหลาดไม่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นความเร็วของสวี่ชิงจึงเพิ่มขึ้น พุ่งผ่านในป่าผืนนี้อย่างรวดเร็ว

กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ตอนที่ปราณหมอกเข้มข้นขึ้นช้าๆ สวี่ชิงก็หยุดเท้าลง และมาถึงบึงที่กิ้งก่าราตรีอยู่

เขายืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ข้างๆ หันข้างมองไปยังตำแหน่งทิศเหนือ

“นั่นคือพื้นที่ของบึงมังกรพิษ…” เนื่องจากในป่าพื้นที่ต้องห้ามมีลักษณะพื้นที่แตกต่างกัน จึงถูกคนเก็บกวาดแบ่งออกเป็นพื้นที่ และบึงมังกรพิษก็เป็นหนึ่งในนั้น

สวี่ชิงได้ยินมาแล้วหลายครั้งเกี่ยวกับบึงมังกรพิษนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากดาบกระดูก เพราะทุกครั้งที่มาซื้อประกันก็จะชี้จุดที่ต้องมาช่วยเหลือคือบึงมังกรพิษ

สวี่ชิงคิดๆ ดาบกระดูกซื้อประกันหลายต่อหลายครั้งเหลือเกิน เขาจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนก็มาซื้อไปครั้งหนึ่ง

ปัจจุบันถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลา แต่ในเมื่อหมอกปรากฏขึ้นมาแล้ว ตนเองเองก็อยู่ใกล้ๆ ดังนั้นจึงควรไปดูเสียหน่อย

พอคิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็ร่างไหววูบ กระโจนจากยอดไม้ ตรงไปยังตำแหน่งของบึงมังกรพิษ

สวี่ชิงก็ค่อยๆ หรี่ตาลงเมื่อเข้าไปใกล้ๆ สีหน้าเผยให้เห็นแววระแวดระวัง การเคลื่อนไหวก็ลึกลับอำพรางขึ้นเรื่อยๆ

เขามองเห็นคนหนึ่ง

อีกฝ่ายสวมเสื้อขนสัตว์สีดำทั้งตัว บนใบหน้าสวมหน้ากากบิดเบี้ยว ถือกระบี่ยาวที่มีแสงเย็นเยียบเปล่งออกมา กำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

คลื่นพลังวิญญาณไม่สามัญที่แผ่ออกมาจากตัว ทำให้สวี่ชิงรู้สึกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับอีกาเพลิงและหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตเมื่อครั้งนั้น

สวี่ชิงมองอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายก็เลี่ยงอ้อมอย่างช่ำชอง แต่เพียงไม่นานเขาก็มองเห็นคนที่สองที่แต่งตัวแบบเดียวกัน พลังบำเพ็ญก็ใกล้เคียงกัน สิ่งนี้ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดความสงสัยขึ้น

“ไม่ใช่คนเก็บกวาด” หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ยิ่งระแวดระวังยิ่งขึ้น หลังจากเดินรอบเขตบึงมังกรพิษแล้วรอบหนึ่ง เขาก็เห็นดาบกระดูก!