บทที่ 33 ออโรร่าน้อยกับการปลดผนึกวิหคเพลิง

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“ออโรร่าเรียกชื่อผมมีอะไรอย่างงั้นเหรอ?”

“ค่ะกำลังพูดถึงอยู่เลยค่ะ แล้วก็อยากเจอท่านชาร์ล มาก เลย ค่ะ”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เอาแบบให้องค์ชายรู้ไปเลยว่าผมอยากเจอเขามากแค่ไหน มากขนาดที่ว่าให้ไปเจอหมาบ้าหน้าปากซอยยังรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอีก

ไม่พอ เผื่อมันจะไม่รู้ตัวเอง ผมได้หรี่ตาจ้องเขม็งพร้อมเสริมรังสีสังหารแบบสิงโตยังอายให้ชาร์ลรู้ซึ้งถึงความแค้นอันยิ่งใหญ่ของผมด้วยสายตานี่ซะ

“งั้นเหรอ? ดีใจจัง ผมเองก็อยากเจอออโรร่าเหมือนกันนะ”

ยัง! ยังไม่รู้อีก เจ้าบ้านี่มันไม่รู้ถึงสายตาที่ล้นไปด้วยความโกรธแค้นของผมสักนิด เจ้าชายจอมมโนเอ้ยยยย

ชาร์ลที่เจอสายตาแห่งความโกรธแค้นของผม ไม่เพียงที่จะไม่รู้สึกแต่กลับกัน มันจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มที่สดใสเจิดจ้าจนแสบตาบวกกับแววตาที่เป็นประกายสมวัยเด็ก

“ผมอยากเจอกับออโรร่ามาตลอดเลยนะ”

“ค่ะ รู้สึก ยิน ดี มาก เลยค่ะ”

“อื้อ”

เอามันทุกจังหวะ ผมเน้นเสียงพร้อมใส่อารมณ์อย่างเต็มที่ แต่มันก็ช่างน่าเศร้าที่เจ้าชายคนนี้ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย สุดท้ายผมเลยก็ได้แต่ยอมแพ้

“ว่าแต่ออโรร่ากำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอ?”

“กำลังทำภารกิจที่แสนยิ่งใหญ่อยู่ค่ะ”

ภารกิจเดินคุยกับชาวบ้านเพื่อลดน้ำหนักอันแสนยิ่งใหญ่ของผมที่เกือบจะพังเพราะคุณท่านดยุคมาคุยถึงเรื่องภารกิจซะจนเกือบลืมภารกิจหลัก

“ภารกิจ? ออโรร่าเนี่ยเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ ผมล่ะนับถือจริง ๆ”

ชาร์ลตอบกลับผมมาด้วยน้ำเสียงนับถือทั้งยังคงรอยยิ้มที่สดใสขนาดที่ทำให้เหล่ามนุษย์ป้าทั้งหลายหากเห็นคงได้แย่งตบตีกันเพื่อหามกลับบ้าน แต่นั่นต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะ มันใช้กับผมไม่ได้หรอกน่า!

“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่มาที่นี่มีอะไรอย่างงั้นเหรอคะ?”

“เอ่อ…อ๋อ พอดีผมเห็นว่าออโรร่าเอาแต่อยู่ในห้องไม่ออกไปไหนกลัวว่าจะไม่สบายเลยอยากจะมาเยี่ยมน่ะ”

โหยฟังแล้วรู้สึกซึ้งใจ นี่ถ้าไม่ติดปัญหาว่านายเคยพาผมซวยติดกันรัว ๆ จนเกือบเครียดเส้นเลือดแตกตายมาก่อนล่ะก็… จะตอบแทนด้วยรอยยิ้มงาม ๆ ของออโรร่าน้อยไปทีนึงเลย

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ ฉันสบายดีค่ะ แค่ติดภารกิจบางอย่างจนออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น”

“งั้นเหรอ? ภารกิจสินะ แต่เห็นว่าออโรร่าแข็งแรงดีแบบนี้ผมก็โล่งใจหน่อย นี่ออโรร่า สนใจเดินเล่นกับผมหน่อยไหม?”

“ขอป…”

“ขอ ปะ?”

จู่ ๆ ชาร์ลก็ชวนผมแบบกะทันหัน ซึ่งตอนแรกผมกำลังจิชอบแปลงคำพูดของชาวบ้านชาวช่องผิดไปจากเดิมอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อมองไปด้านหลังชาร์ลแล้วก็ทำเอาปากของผมที่คิดจะปฏิเสธหยุดไปชั่วครู่

ครืนนนนน

ณ ด้านหลังขององค์ชายน้อยที่สดใสเหมือนดวงตะวัน กลับมีปีศาจโหดเหี้ยมราวกับหลุดมาจากนรกขุมลึกสุดกำลังจ้องผมด้วยสายตาหิวกระหายเลือด รังสีสังหารที่แผ่มาแต่ไกลทำเอาผมขนลุกไปทั่วร่าง

แกอีกแล้วเหรอ!?

นี่ขนาดไม่ได้คุยกันมาเป็นอาทิตย์ ขนาดผมเก็บตัวอยู่ในห้องเป็นอาทิตย์ ๆ มันยังจะแผ่รังสีแบบนี้ใส่ผมอยู่อีก นี่สรุปผมไปทำอะไรให้เฮียเขาโกรธกันแน่เนี่ย?

ว่าแต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน เพราะตอนนี้เหมือนว่าผมจะปฏิเสธเจ้าชาร์ลยากเสียแล้วเพราะจากฉากที่เห็นเมื่ออาทิตย์ก่อน เจ้าสองพี่น้องนี่ดูจะรักกันดี ขืนผมปฏิเสธเจ้าชาร์ลไปล่ะก็….

“บังอาจมาปฏิเสธน้องชายสุดเลิฟของข้าเรอะ ตายซะเถอะไอ้นักบุญเศษเนื้อ”

มันจะต้องพุ่งเข้ามาจับผมหักคอจิ้มน้ำพริกกินอย่างแน่นอน

“ขอไปด้วยความยินดีค่ะ!”

“ดีจัง”

ครืนนนนนนน

หนักกว่าเดิมอีก! นี่คุณท่านไปเหยียบรังแตนมาจากที่ไหนไม่ทราบถึงได้หน้าบูดเป็นตูดลิงมองผมแต่เช้าเชียว นี่ไม่ใช่ว่าหิวตับหิวไตที่ไหนเลยกะมาเปิบตับสดของออโรร่าน้อยเป็นอาหารเช้าหรอกนะ!

ถ้าเป็นแบบนั้นก็โปรดใจเย็นก่อนนะพี่ชาย ลองเหล่ตามองดูซิว่าผมอยู่กับใคร กับชาร์ลน้องชายนายเลยนะ นายคงไม่อยากให้น้องชายนายต้องเห็นภาพน่ากลัวใช่ไหมพวก

ผมพยายามเหล่ตามองเจ้าพี่ชายผู้แสนน่ากลัวกับชาร์ลเป็นสัญญาณให้เจ้านั่นรู้ว่า ได้โปรดอย่าทำอะไรผมเลย อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าน้องชายตัวเองเถอะ พรีส

ครืนนนนนนนน

ไหงมันหนักกว่าเดิมล่ะเฮ้ย แสดงว่าแม้แต่น้องชายมันก็ไม่แคร์เรอะ ปอบ ไอ้บ้านี่มันต้องเป็นผีปอบแน่นอน แบบนี้ไม่ดีแน่ ต้องรีบออกห่างจากเจ้าหมอนี่โดยไว

“ค่ะดีมากเลยค่ะ ถ้างั้นฉันว่าเราไปทางนู้นน่าจะดีนะคะ”

ว่าแล้วผมก็รีบคว้ามือของชาร์ลพร้อมสตาร์ตเกียร์หมาวิ่งแบบไม่สนพระอินทร์พระพรหม ใครมันจะมาบอกว่านักบุญไร้มรรยาทก็ช่างหัวมันแล้ว เพราะขืนให้ยืนคุยกับเจ้าชาร์ลโดยมีพลังกดดันพุ่งอัดใส่ไม่หยุดแบบนี้ ผมได้อกแตกตายล้มน้ำลายฟูมปากคาพื้นแน่นอน และภาพนั้นมันคงดูไม่ดีแน่

“นี่ๆ ออโรร่าจะรีบวิ่งไปไหนเหรอ?”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่รู้สึกว่าต้องห่างออกจากหน้าห้องให้เร็วที่สุด!”

“แล้วทำไมต้องออกห่างให้เร็วที่สุดล่ะ?”

“พระเจ้าประสงค์เช่นนั้นค่ะ!”

ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ผมเลยตอบอะไรส่ง ๆ แบบที่นักบุญควรจะตอบกัน และมันช่างเป็นการดียิ่งนักที่เจ้าคนที่อยู่กับผมมันเป็นเด็กน้อย มันไม่น่าจะเข้าใจอะไรหรอก

เมื่อวิ่งมาได้พักหนึ่งจนผมรู้สึกว่ารังสีอันแสนน่ากลัวนั่นได้หายไปแล้ว ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนที่จะหันซ้ายหันขวาแล้วพบว่า……

ผมหลงมาอยู่ที่ไหนเนี่ย!

“พระเจ้าอยากให้ออโรร่าไปที่ไหนเหรอ?”

“ที่ไหนก็ได้ค่ะ!”

ใช่ ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอพี่ชายนายอ่ะ

“ทำไมพระเจ้าประสงค์ได้เข้าใจยากจังเลยนะ”

ในที่สุดเมื่อรู้สึกว่าตัวเองวิ่งมาไกลขนาดหนึ่ง ผมจึงหยุดพักเหนื่อยก่อนหันซ้ายทีขวาทีดูว่าตอนนี้ตัวผมกำลังอยู่ที่ไหน

ตึง ๆ ปัง ๆ โป้ก ๆ

เสียงตอกตะปูดังขึ้น เรียกความสนใจของผมให้หาที่มาของเสียง เมื่อพยายามหาไปได้สักพักก็รู้ว่าเสียงที่ได้ยินดังออกมาจากทางเข้าห้องโถงทำให้ผมเดินเข้าไปอย่างสนใจ

ภาพตรงหน้าที่ผมได้เห็นคือห้องโถงขนาดใหญ่ขนาดพอ ๆ กับห้องสวดภาวนาที่ใหญ่ที่สุดของมหาวิหาร และไม่ใช่แค่ความใหญ่ของมันที่สู้ได้ ความหรูเลิศอลังการเองก็ไม่แพ้กัน

พื้นที่ถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนขัดอย่างมันวาวและเรียงเป็นสีสันสวยงาม บริเวณตรงกลางของห้องนั้นยิ่งน่าสนใจ เพราะมันได้เรียงเป็นรูปวงกลมสีเหลืองทองสวยงามถูกทับด้วยตราที่ทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้รู้จักดี นั่นคือตราประจำราชวงศ์เรสเวน นกฟีนิกซ์ที่กางปีกโผบินทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ที่รอบข้างของมันถูกประดับด้วยกระเบื้องสีแดงวาวเป็นสัญลักษณ์แทนรัศมีเปลวเพลิงอันเกรียงไกร

หากดูรอบห้องดีๆ ก็จะพบว่ามีรูปปั้นของวิหคเพลิงตัวนี้กำลังถูกแกะสลักขึ้นมาประดับล้อมรอบห้องอยู่เต็มไปหมด

“โอ้ นั่นทุกคนกำลังเตรียมงานเฉลิมฉลองครบรอบวันแห่งพันธสัญญากันสินะ”

“วันแห่งพันธสัญญา?”

คล้ายๆ ว่าผมจะเคยได้ยินเจ้าวันสำคัญที่ว่ามาก่อนนะ ถ้าจำไม่ผิดช่วงกลางปีของทุกเดือนคุณพ่อกับทุกคนจะไปเข้าร่วมงานอะไรสักอย่างที่โบสถ์ประจำหมู่บ้าน แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจที่จะถามเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่ผมเพ่งความสนใจกับของกินที่คุณพ่อเอามาฝากหลังจบงานมากกว่า

“อืมมม จำได้ว่าออโรร่ามาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลนี่นะ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่ค่อยทราบเพราะส่วนใหญ่หมู่บ้านรอบนอกจะจริงจังกับพิธีทางศาสนาซะมากกว่า”

นั่นมันก็จริงอย่างที่ชาร์ลว่า เพราะส่วนใหญ่เท่าที่ผมอ่านมา งานพิธีหรือวันสำคัญของศาสนจักรราสเวนน่าแห่งนี้มีมากอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ทุกวันสำคัญที่จะได้รับการให้ความสำคัญมากมายอะไรในบางเขตอย่างเช่นพวกหมู่บ้านที่ห่างไกลก็มักสนแค่พิธีกรรมทางศาสนา ผิดกับเมืองใหญ่ ๆ บางเมืองอย่างพวกเมืองการค้าหรือเมืองท่าที่ให้ความสำคัญกับเทศการสำคัญของอาณาจักรเนื่องจากมันทำเงินได้มากกว่า….อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัว แต่มันก็น่าจะจริง

“แล้วมันคือพิธีอะไรอย่างงั้นเหรอ?”

“มันคือพิธีที่แสดงความขอบคุณให้กับท่านวิหคเพลิงที่ช่วยเหลือราชวงศ์เรสเวนของผมให้สามารถรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จน่ะ”

โห ตำนานก่อเกิดอาณาจักร ฟังดูแล้วน่าสนใจดีนี่นา ว่าง ๆ สงสัยต้องไปอ่านเพื่อเจาะลึกรายละเอียดซะหน่อยแล้วสิ

“ฟังดูสุดยอดมากเลยนะคะ วิหคเพลิงที่ช่วยรวบรวมอาณาจักรแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งได้ ถ้าได้เจอก็คงดีนะ”

เจอเมื่อไหร่แม่จะหาบอลมาปาจับแน่ ๆ ลองคิดภาพดูสินักรบหญิงสุดเท่ที่มีนกเพลิงอยู่ด้านหลัง เวลาปรากฏตัวก็มีระเบิดไฟตูมตามแบบหนังขบวนการห้าสี ฟังดูแล้วเท่ไม่หยอก แถมเวลาอยากใช้ท่าไม้ตายก็ให้มันพ่นไฟแล้วผมกระโดดถีบไป….หูย แค่คิดก็รู้สึกหล่อแล้ว

“อาจจะเจอก็ได้นะ ออโรร่ายิ่งเป็นนักบุญด้วยยิ่งน่าจะมีโอกาสได้เจอกับท่านวิหคมากกว่าใครเพื่อนอยู่แล้วนี่นา”

หา ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกใจมันเต้นแปลก ๆ แบบไม่ค่อยไว้วางใจ

ทำไมล่ะ? ก็เจ้านี่มันเป็นสัตว์ที่ทำสัญญากับราชวงศ์ไม่ใช่เหรอ? ไอ้คนที่จะเจอมันก็ต้องพวกทายาทหรือสายโลหิตอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง? แล้วผมที่เป็นนักบุญซึ่งอยู่ฝั่งศาสนจักรมันมาเกี่ยวอะไรกันเล่า?

“เอ๋ นักบุญอย่างฉันเกี่ยวอะไรด้วยอย่างงั้นเหรอคะ?”

“อ้าวก็คนที่ทำสัญญากับท่านวิหคเพลิงน่ะคือท่านนักบุญคนแรกของอาณาจักร ท่านแคโรลีนที่เป็นราชินีของปฐมกษัตริย์แห่งราสเวนน่ายังไงล่ะ”

โอ้ฟังดูสมเป็นตำนานดีนะ มีทั้งสัตว์ตำนาน ราชาผู้กล้าแล้วยังมีนักบุญสาวผู้คอยช่วยเหลืออีก ได้ยินแบบนี้แล้ว……ผมถึงกับหน้าซีดเลยล่ะ ทำไมน่ะเหรอ?

มีนักบุญเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้วครับท่าน! ผมช่างรู้สึกไม่ไว้วางใจกับสิ่งนี้เสียเลย ก็เพราะตอนอยู่มหาวิหาร เรื่องที่ตรรกะผิดเพี้ยนส่วนใหญ่ มันชอบมีนักบุญมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ไม่ว่าจะตำนานบ้างล่ะ กฎเกณฑ์ภายในศาสนจักรบ้างล่ะ ไหนจะยังพวกความเชื่อแปลก ๆ บ้างล่ะ นี่ยิ่งเป็นนักบุญคนแรกของอาณาจักรอีก มันช่างไม่น่าไว้วางใจเอาเสียจริงๆ

ไม่สิๆ ออโรร่าเอ๋ย อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายอย่างงั้นสิ ขึ้นชื่อว่าเป็นนักบุญที่รวมอาณาจักรมาได้มันก็ต้องมีความเป็นผู้เป็นคนอยู่แล้วน่า แถมอาณาจักรก็ยังไม่ทันตั้ง กาวน่าจะยังไม่คลุ้งไปทั่วดินแดน น่าจะปลอดภัยอยู่น่า

ใช่ไหม? ใครก็ได้ตอบผมทีว่ามันใช่!

“อย่างงั้นเหรอ? อยากให้เวลานั้นมาถึงเร็ว ๆ จังเลยนะ”

ผมตอบกลับไปตามมรรยาท แต่ในใจของผมมันช่างสวนทางเสียเหลือเกิน เพราะตอนนี้ผมเริ่มชักจะไม่ไว้ใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่านักบุญจริงๆ ก็ได้แต่หวังว่าเจ้านกที่คนในอาณาจักรกราบไหว้บูชานักหนามันจะไม่โดนเชื้อกาวจนสติเพี้ยนไปก่อนนะ

“อืม แต่กว่าออโรร่าจะได้เข้าร่วมพิธีนี้จริงๆ ก็อีกตั้งนาน อายุสิบห้าได้เลยมั้ง”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

“ก็วันที่ท่านแคโรลีนทำสัญญากับท่านวิหคเพลิงน่ะ เป็นวันที่อ่านอายุสิบห้าพอดีอย่างไรล่ะ”

ฟังแล้วช่างน่ายินดี งานนี้ก็หมายความว่าผมยังมีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมตัวเตรียมใจกับช่วงเวลานั้นที่จะมาถึง ว่าแต่พิธีมันเป็นยังไงกันนะ อยากรู้จังเลย หวังว่าจะมีของกินอร่อย ๆ ในงานเยอะ ๆ นะ ชอบ!

แต่จะว่าไปดูแล้วเจ้านกนี่มันก็ดูเท่จริง ๆ วุ้ย

ผมหันไปมองรูปปั้นของวิหคเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากหินแกะสลักอย่างดี ทุกส่วนบนร่างกายของมันถูกช่างแกะสลักในสมัยโบราณบรรจงแกะออกมาอย่างประณีตทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นที่เรียงซ้อนอย่างสวยงาม ปีกที่ดูราวกับมีชีวิต และยังนัยย์ตาสีแดงทับทิมที่เงางามเด่นออกมาจนน่าหลงใหล

“วิหคเพลิงสินะ”

ด้วยความสนใจในงานศิลปะ ผมเลยเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นยักษ์ที่ตั้งอยู่ปลายสุดของห้อง ผมก็อดชื่นชมไม่ได้กับคนที่ดูแลรักษาเจ้ารูปปั้นนี่เพราะเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานไม่ได้ทำให้รูปปั้นนี่หมองลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว

“อ๊ะ ท่านนักบุญ”

เหมือนเหล่าคนงานภายในห้องจะเห็นผมเดินเข้ามาใกล้ ทำให้พวกเขาทุกคนหยุดมือของตัวเองแล้วรีบลงมายกมือสวดภาวนาใส่ผมกันเต็มไปหมด บทสวดจำนวนมากได้ถูกร่ายออกมา ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจเพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น เพราะตอนนี้ผมมีสิ่งที่รู้สึกสนใจมากกว่า

นั่นคือตาของเจ้านกนี่

ทั้ง ๆ ที่ส่วนอื่นมันก็เป็นเห็นแกะสลักธรรมดา ๆ แต่ทำไมตามันถึงแดงสวยขนาดนั้น ใครเอาทับทิมหรือเพชรอะไรไปใส่หรือเปล่าหว่า? ยิ่งกว่านั้นพลังบางอย่างที่สัมผัสได้ว่าเอ่อล้นมาจากรูปปั้นนี่มันคืออะไรกันแน่?

ด้วยความสงสัยทำให้ผมยื่นมือของตัวเองไปสัมผัสเจ้ารูปปั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ เผื่อมันจะทำให้ผมสัมผัสถึงพลังอะไรบางอย่างได้มากขึ้น

ก็ต้องขอบคุณกึ่งด่าเจ้าพระเจ้าล่ะนะ เพราะหลังเสร็จภารกิจสุดหลอนที่บ้านของพวกหมีโลลิคอนแล้วเขาก็ถอนคำสาปที่ตาออกให้ แถมยังให้พลังมาเป็นรางวัลอีก

“อะ เห็นเจ้าร้องไห้กรีดร้องซะแบบนั้นแล้วข้าสงสาร ฮะ ๆ โอ้ย ฮะ ๆ จะถอนให้ก่อนก็ได้ พอดีข้าไม่อยากตายเพราะขาดอากาศ… แค่ก ๆ ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไป แล้วก็นี่ถือว่าของแถมแล้วกันนะ เอาพอให้เจ้าสัมผัสพลังเวทได้ง่ายขึ้น”

ไอ้ขอบคุณก็อยากจะขอบคุณอยู่หรอก แต่ที่มันน่าด่าก็เพราะเจ้าบ้านั่นดันทำให้ผมสัมผัสพลังแปลก ๆ อย่างอืนได้นอกจากเวทด้วยน่ะสิ เนี่ย ตอนนี้ยังเห็นหมอกอะไรไม่รู้บินไปบินมาอยู่เลยเนี่ย หลอนฉิบ
“อืม พลังนี่มันอะไรกันน้า?”

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสเนื้อหินอ่อนที่เป็นส่วนขาของเจ้านก คืออันที่จริงก็อยากดูส่วนหัวอยู่หรอก เพียงแต่มันออกจะสูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมถึงได้หากไม่ใช้บันได

เมื่อมือของผมสัมผัสไปที่เจ้าหินนั้นความรู้สึกถึงสัมผัสของพลังที่รู้สึกได้ก็เด่นชัดมากขึ้น มันรู้สึกราวกับผมกำลังเอามือไปอังอยู่เหนือเปลวเพลงอันแสนอบอุ่นจนทำให้จิตใจสงบจนน่าแปลกใจ สุดท้ายผมก็เลยลูบมันจนเพลินแล้วก็…
กร๊อบ

อ๊ะ!

คล้ายว่าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ เหมือนมีอะไรหัก…ไม่มั้งออโรร่า ไม่มั้ง คงไม่น่าใช่อย่างที่คิดหรอกน่า เจ้ารูปปั้นนี่มันอยู่มาตั้งหลายร้อยหลายพันปี คงสภาพสวยสดงดงามได้ตลอด แถมมีคนมีทำความสะอาดเช็ดถูตลอดก็ไม่เห็นมันจะพังอะไร นี่เธอแค่เอามือลูบเองนะมันคงไม่…..

กร็อบ

ผมเหล่าตามองตามเสียงอันแสนน่าหวาดหวั่นนั่นแล้วก็พบว่าเจ้าส่วนขาของรูปปั้นวิหคเพลิงอันแสนเคารพรักของทุกคนได้มีรอยร้าวที่เริ่มที่จะขยายมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนเดินออกห่างไปสักเมตรนึงก็ยังเห็นได้ชัด

ซวยแล้วววว ของจริงเลยนี่หว่า ทำไมล่ะ ทำไมมันถึงพัง? ไม่สิตอนนี้ก่อนอื่นต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ขืนมีใครรู้ว่าผมทำรูปปั้นคู่บ้านคู่เมืองของเขาพังแล้วได้ถูกส่งบิลไปเรียกเก็บเงินค่าเสียหายหลังอานแน่ ๆ

งานนี้ต้องใช้ของคู่ชีพ….เวท!

งานซวยมาเยือน ดังนั้นตอนนี้มีพลังเท่าไหร่ใส่ไปไม่ยั้ง อ้อนวอนเท่าไหร่จัดไปให้หมด ไม่ต้องไปสนอะไรแล้วออโรร่า ขืนชักช้า ห้องเธอได้มีใบบิลล้นจนใช้นอนแทนเตียงผ้าห่มแน่

“ในนามแห่งข้านักบุญผู้ศรัทธาในพระเจ้าผู้มากด้วยปัญญา ขอพลังแห่งท่านผู้เมตตาโปรดสำแดงปาฏิหาริย์ที่ไม่มีใครอาจเอื้อม โปรดนำสิ่งที่สูญสลายจากกาลเวลาหวนคืนสู่ผืนปฐพีโอ้ด้วยปัญญาของท่านผู้หลักแหลม ขอโปรดนำสิ่งที่สูญสลายไปสู่ความรุ่งโรจน์อันไม่มีรู้จบด้วย”

ไม่รู้ว่าผมร่ายอะไรออกจากปากไปบ้าง เพราะตอนนี้สติของผมทั้งหมดอยู่กับการซ่อมเจ้ารูปปั้นนกบ้านี่ เมื่อเห็นว่าเจ้าตรงบริเวณที่ผมสัมผัสอยู่เริ่มที่จะส่องแสงผมก็ร้องไห้ออกมาดีใจน้ำตาไหล

รอดแล้วเว้ย ผมรอดแล้ว

กร๊อบ

เฮ้ย ไหงมันแตกมากกว่าเดิม ไม่ได้การแล้ว ต้องจัดหนักจัดเต็ม ใส่มันไปเรื่อย ๆ เลย ไม่ต้องสนแล้วว่าบทพูดมันจะลิเกแค่ไหน!

“ความรักแห่งท่านคือความหวังของข้า ความเมตตาของท่านคือความยินดีของข้า ปัญญาแห่งท่านคือพลังของข้า ขอโปรดท่านนำพาข้าสู่ความหวัง ณ ปลายทางอันไม่มีที่สิ้นสุดและนำเศษซากแห่งอดีตกาลหวนคืนสู่ปัจจุบันด้วยเถิด”

เจ้ารูปปั้นเริ่มส่องสว่างทั่วทั้งรูปปั้นจนผมยินดีกับความสำเร็จจนไม่ได้สังเกตเห็นรอบตัวของตัวเองเลยว่าแสงได้ทะลวงออกจากร่างของผม มันพุ่งไปรอบทิศทางพร้อมกับพื้นของห้องโถงที่เริ่มเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา

“นี่มันอะไรกัน พื้น… พื้นของวิหารแห่งวิหคเพลิงกำลังส่องสว่าง..นี่คือพลังของท่านนักบุญอย่างงั้นเหรอ?”
“ออโรร่า นี่ออโรร่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”

วิ้ง

หลังแสงสว่างอันเจิดจ้าหายไป รอยแตกของรูปปั้นก็หายไปจนผมเริ่มยิ้มออกแต่ก็ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ใช่รูปปั้นหินแกะสลักเหมือนเดิม แต่….

แต่มันกลายเป็นทองคำไปแล้วโว้ย!!!

รูปปั้นหินแกะสลักสวยงาม มาบัดนี้กลายเป็นรูปปั้นนกวิหคเพลิงทองคำที่ส่องสะท้อนกับแสงตะวันที่สาดเข้ามาจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับทั่วร่างจนคล้ายกับว่ามันมีรัศมีแห่งเปลวเพลิงแผ่อยู่รอบตัว

ดวงตาทับทิมสีแดงหม่น มาตอนนี้ได้กลายเป็นอัญมณีสีแดงสดใสสะท้อนกับแสงจนเรืองรองออกมาทำเอาให้ใครก็ตามที่จ้องมองต่างต้องหลงใหลจนมิอาจละสายตาได้

ไหงมันพัฒนาการละเฮ้ย นี่จากร่ายเวทซ่อมของกลายเป็นแปรธาตุของไปแล้ว!!!!

“นี่มัน…นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กับผม แค่นั้นไม่พอแสงสว่างที่เจิดจ้าเมื่อครู่ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างรีบวิ่งกันมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ผู้คนได้มาเยอะกันจนทะลักออกไปนอกห้องราวกับว่าสถานที่แห่งนี้กำลังจัดงานอะไรบางอย่างที่ล้นหลามไปด้วยผู้คนและเสียงดังเอะอะวุ่นวาย

“รูปปั้นของท่านวิหคเพลิงสร้างมาจากหินไม่ใช่เหรอ แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นทองคำไปได้?”

“พื้นนี่ ข้าจำได้ว่าตราสัญลักษณ์มันไม่ใช่แบบนี้ แล้วก็วัสดุที่ใช้สร้างด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้คือ…..งานงอกซะแล้วเรา

“ปาฏิหาริย์…นี่มันปาฏิหาริย์สีทอง”

“หมายความว่าอย่างไรกัน?”

“ข้าเคยได้มา ตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่า “ยามใดที่นักบุญแห่งพันธสัญญามาถึง วิหคสีเพลิงที่หลับไหลจักตื่นขึ้น ผนึกหินที่นิ่งงันจะพังทลายและรัศมีสีทองแห่งความรุ่งโรจน์จะฉายสู่ราชวงศ์เรสเวนอีกครา” ….ตำนานเป็นจริง”

“ตำนานเป็นจริง….วิหคเพลิงตื่นขึ้นแล้ว ราสเวนน่าจะรุ่งโรจน์ ราชวงศ์เรสเวนจะรุ่งโรจน์”

ไม่น่าเลยเรา งานนี้ยาวแน่นอน..

“มาแล้ว…..ความรู้สึกอันน่าคิดถึง…..”

อ๊ะ เสียง?

“พลังที่ไม่ได้รู้สึกมาเนิ่นนาน….ในที่สุดก็หวนคืนมาเสียที”

เสียงนี่ เสียงของใครกัน?

 

———————————

เอาล่ะออโรร่าน้อยของเราไปก่อเรื่องอะไรล่ะเนี่ย แล้วจะทำยังไงต่อต้องติดตามชมต่อไปนะ