ตอนที่ 275 – ล้างบางอสูร

“นี่คือเรือ…..” เหลยตงชิงอ้าปากมาก็พูดเรื่องโง่เขลา

เฟิ่งเหนียงจื่อเหลือกตาใส่เขา เอ่ยว่า “นี่ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ”

เหลยตงชิงก็คงจะรู้สึกว่าตนเองโง่มาก เกาศีรษะล้านเลี่ยน แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ

ฉินซีมองอยู่ชั่วครู่ เอ่ยกะทันหันว่า “นี่คือ….อาวุธเวท?!”

โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง มองอย่างละเอียด เรือสำราญลำนี้วัสดุยอดเยี่ยม พลังวิญญาณล้นเหลือ ไม่ใช่อาวุธเวทหรืออย่างไร แต่อาวุธเวทที่ใหญ่โตขนาดนี้ วัสดุมองแวบเดียวก็ล้ำค่าเป็นที่สุด สิ้นเปลืองศิลาวิญญาณไปเท่าไหร่กันนะ

“สมแล้วที่เป็นอาวุธเวทของผู้ฝึกตนโบราณกาล…..” จิ่งสิงจื่อพึมพำออกเสียงหนึ่งประโยค

นี่พอดีเป็นความคิดในใจของคนอื่น พรตเต๋าคูมู่เอ่ยว่า “อาวุธเวทนี้…. พวกเราจะเอาไปอย่างไร”

ฉินซีส่ายศีรษะ “เอาไปไม่ได้”

สายตาของหลายคนล้วนตกลงบนร่างเขา อาวุธเวทที่มองแวบเดียวกับทรงพลังมากเช่นนี้จะต้องร้ายกาจเป็นที่สุด เมื่อใดที่มองเห็น อดเกิดความละโมบได้ยากมาก เขาถึงกับบอกว่าเอาไปไม่ได้หรือ

ฉินซีสายตาสงบนิ่ง กวาดผ่านหลายคนนี้ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “พวกท่านลองคิดดูเอาเอง อาวุธเวทชิ้นนี้จะต้องใช้ความพยายามเท่าใดจึงจะสามารถเอาไปได้ ระหว่างช่วงเวลานี้เพียงพอให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มาถึงที่นี่แล้ว”

“……” หลายคนเผยสีหน้าครุ่นคิด

เฟิ่งเหนียงจื่อเอ่ยว่า “ฉินโส่วจิ้ง ท่านจะให้พวกเราปล่อยทิ้งหรือ”

“ต้องปล่อย!” ฉินซีตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “อย่าเพิ่งพูดว่าสามารถเอาได้หรือไม่ได้ ถึงจะเอาได้และไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แล้วผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่อยู่ในละแวกนี้เล่า ท่านสามารถหลีกเลี่ยงไปเสียทั้งหมดหรือ อย่าลืมเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเรา เสียเวลาอยู่ตรงนี้มากเกินไปก็ไม่คุ้มค่าแล้ว”

เฟิ่งเหนียงจื่อมองดู ไม่ยอมแพ้ “เป้าหมายสูงสุดของพวกเราไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้รับผลประโยชน์ดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิญญาณหรือว่าสมบัติวิญญาณ หากสามารถได้รับอาวุธเวทนี้ แล้วจะต้องไปเสียงอันตรายอีกเพื่ออันใดกันเล่า”

ฉินซีส่ายหน้า “แล้วแต่พวกท่าน จะอย่างไรข้าก็ไม่เอา ถ้าพวกท่านคิดอยากได้ ข้าจะไม่ขัดขวาง”

“…….” บนใบหน้าของพรตเต๋าคูมู่และพวกล้วนปรากฏความลังเล พวกเขาล้วนทราบว่าอาวุธเวทนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ อีกทั้งในนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีสมบัติอื่นอีก แต่สิ่งที่ฉินซีพูดมาก็มีเหตุผล พวกเขากับฉินซีรู้จักกันมาก็นานแล้ว รู้ว่าเขาพูดคำไหนคำนั้น ตอนนี้บอกว่าไม่เอาก็คือไม่เอาจริง ๆ แต่จะให้ละทิ้งอาวุธเวทชิ้นนี้ที่อยู่ต่อหน้ามันก็ช่าง…..

เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา ฉินซีเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากับซือเม่ยจะไปก่อนก้าวหนึ่ง พวกข้าจะรออยู่ที่สันเขาอู้เสีย พวกท่านเสร็จธุระแล้วก็มาเถอะนะ”

พูดจบแล้วเขาก็ไม่รอคำตอบ มองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง แปลงเป็นแสงหลบหนีบินเรียดพื้นไป

โม่เทียนเกอไม่มีความลังเล ตามหลังไปติด ๆ

เขาไปอย่างนี้ คนอื่น ๆ ก็ลังเลขึ้นมาแล้ว ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหลยตงชิงถามลองเชิงขึ้นมาว่า “สหายเต๋าคูมู่ พวกท่านเห็นว่าอย่างไร”

พรตเต๋าคูมู่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจังตัดสินใจได้ “พวกเรามาไม่ได้ง่ายเลย ก็ลอง ๆ ดูเถิด หากไม่สำเร็จ ถึงเวลาค่อยล่าถอย”

ถงเทียนอวิ้นพยักหน้า “มิผิด อาวุธเวทนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว หากทิ้งไปเสียดื้อ ๆ พวกเราก็มาเสียเที่ยวแล้ว” สายตามองไปยังทิศทางที่ฉินซีและโม่เทียนเกอจากไป เอ่ยอีกว่า อีกอย่าง ฉินโส่วจิ้งเขารอบคอบมาตลอด แล้วยังไม่ขาดแคลนอาวุธเวท พวกเราไม่เป็นเช่นนั้น“

……………………..

บินไปได้หลายสิบลี้อย่างรวดเร็ว ฉินซีจึงได้ลดความเร็วลง

โม่เทียนเกอลังเล ตามไปเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา

“โส่วจิ้งซือเกอ อาวุธเวทนั้น ท่านไม่เอาจริงหรือ”

ฉินซีพยักหน้า “ของสิ่งนั้นใหญ่เกินไป ยังไม่พูดปัญหาว่าจะหยิบกลับมาอย่างไร สุดท้ายแล้วเป็นเพียงอาวุธเวทหนึ่งชิ้น ถึงจะหยิบมาได้แล้วจะแบ่งกันอย่างไร”

โม่เทียนเกอตะลึง เอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าจะแบ่งกันไม่ได้…. ข้าสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณหลายชิ้นส่วน มีความเป็นไปได้มากว่าในเรือมีอาวุธเวทหลายประเภท”

“ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย” ฉินซีเอ่ย “รอบอาวุธเวทนั้นมีกำแพงอาคม ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น เวลาเนิ่นนานไปจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแน่นอน สถานที่ที่พวกเราจะไปอันตรายมาก ยังคงเก็บรักษาพลังไว้เป็นสำคัญ”

โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วรู้สึกว่าที่เขาพูดมาก็คล้ายจะมีเหตุผล ก็เลยไม่พูดอะไรอีก “อืม….”

ระหว่างที่พูด ทั้งสองคนหลบหนีเป็นระยะทางร้อยลี้แล้ว ไม่มีพื้นราบแล้ว หลงเหลือเพียงทางขึ้นเขา

ฉินซีหยุดลง เก็บเมฆบิน พึมพำครู่หนึ่ง ยกมือซ้ายขึ้นมา แสงทองเจิดจ้าวูบผ่านแขน กระบี่อัคนีสามพลังหยางปรากฏขึ้นในมือเขา เขาไม่ได้ถือมันเอาไว้ทว่าโบกมือ ตัวกระบี่กลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งกระจายอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน

ถึงจะคาดเดาสถานะของเขาได้แต่แรก แต่กลับเห็นเขาร่ายเวทน้อยมาก มีแค่หนึ่งครั้ง คือตอนที่ต่อสู้กับจิ่งสิงจื่อ แถมเพิ่งจะเริ่มสู้ก็หยุดแล้ว วิชาเวทนี้ของฉินซีในขณะนี้ไม่ถือว่าแปลกประหลาด แต่สามารถดูออกว่าพลังวัตรของเขาบริสุทธิ์ถึงสิบส่วน วัตถุกลายเป็นปราณเทียบกับปราณกลายเป็นวัตถุแล้วยากเย็นยิ่งกว่า ไม่รู้ว่าเขาหลอมสร้างอาวุธเวทคู่ชีพไปจนถึงระดับไหนแล้วจึงสามารถทำเรื่องกินแรงเช่นนี้ได้ง่ายดายเสมือนแค่ขยับนิ้ว

โม่เทียนเกอแอบจดจำวิชาเวทที่เขาใช้ออกมา นี่เป็นส่วนที่นางอยากเรียนรู้ทั้งหมดเลย

มีพลังวิญญาณที่กลายร่างมาจากกระบี่อัคนีสามพลังหยางขวางกั้นรอบบริเวณทั้งสองคน เส้นทางข้างหน้าก็ปลอดภัยมากแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่เป็นอย่างเฟิ่งเหนียงจื่อเมื่อครู่นี้ที่ถูกกำแพงอาคมขนาดธุลีที่ล่องลอยสร้างบาดแผล

เงียบไปตลอดทาง โม่เทียนเกอจู่ ๆ ก็รู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ถามว่า “ซือเกอ เหตุใดตลอดทางไม่เห็นสัตว์อสูรเลยเล่า”

ฉินซีนิ่งไป เอ่ยว่า “ภูเขามารภูมิประเทศแปลกประหลาด สัตว์อสูรที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในนี้มีไม่มาก เจ้าควรจะภาวนาว่าไม่ได้เจอถึงจะดี หากเจอเข้าจะเป็นศึกยากเสียแปดส่วน”

“……..ที่แท้เป็นเช่นนี้”

เดินขึ้นเนินเตี้ย ๆ วายุทิพย์รุนแรงขึ้นมา ที่นี่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังทั่วไปขึ้นมาไม่ได้แล้ว ทั้งสองคนต่างคนต่างเสริมความแข็งแกร่งให้พลังวิญญาณคุ้มครองกายจึงเดินหน้าต่อไป

ทันใดนั้น ฉินซีดวงตาสว่างวูบ จ้องมองไปรอบบริเวณอย่างตื่นตัว

หลังจากผ่านการร่วมมือกันในช่วงเวลานี้ โม่เทียนเกอเชื่อมั่นให้สัญชาตญาณถึงอันตรายของเขาอย่างเต็มที่ พอเห็นเขามีสีหน้าอย่างนี้ก็ปล่อยผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาทันที สั่งให้มันลอยอยู่รอบตัวเอง ในมือกำอาวุธเวทหลายชิ้น

“ถูกเจ้าพูดเข้าเป้าเสียแล้ว” ฉินซีเม้มปาก “แถว ๆ นี้มีสัตว์อสูร”

โม่เทียนเกอไม่ได้ตกตะลึงจนเกินไป จิตหยั่งรู้จับจ้องรอบบริเวณอย่างมีสมาธิพบว่ามีการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณอ่อนจางเข้ามาใกล้ตามคาด สัตว์อสูรที่สามารถมีชีวิตในวายุทิพย์อย่างนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องเล็กเลย โม่เทียนเกอไม่กล้าประมาท จ้องมองรอบทิศอย่างตื่นตัว

การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณเหล่านั้นยิ่งกล้าแข็งขึ้น ฉินซียกแขน แสงสีแดงควบรวมจนกลายเป็นกระบี่อัคนีสามพลังหยางใหม่ ลอยอยู่รอบตัวเขา จากนั้นปราณกระบี่แทงออกไป

“ฮู่ ๆ” เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาจากในสายลม สัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้ของการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอหมุนตัว ตกตะลึงแล้ว

สัตว์อสูรนี้ยืนสี่ขาบนพื้น ทั้งร่างสีน้ำเงินเทา สายตาคล้ายสุนัขป่า แต่กลับมีรูปลักษณ์แบบเสือดาว ฟันขาวส่องประกาย กรงเล็บบนอุ้งเท้าแหลมคม สิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นพิเศษคือปีกเล็ก ๆ หนึ่งคู่บนหลังของมัน เล็กเสียจนทำให้นางรู้สึกว่าบินไม่ขึ้น

“นี่คืออสูรลมกำเนิด” ฉินซียืนอยู่เบื้องหน้านาง กระบี่อัคนีสามพลังหยางบินกลับมาแล้ว ไม่ไกลมีซากศพของอสูรลมกำเนิดหนึ่งตัวนอนอยู่

โม่เทียนเกอหมุนตัวไปป้องกันข้างหลังเขา หากเป็นอสูรลมกำเนิดตัวเดียวไม่น่ากลัวเลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกอสูรลมกำเนิดหนึ่งฝูงล้อมเอาไว้! อสูรลมกำเนิดเหล่านี้ที่การฝึกตนสูงมีหกขั้น ที่ต่ำมีเพียงสามสี่ขั้น มีรวม ๆ สิบกว่าตัว ล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

ในระหว่างต่อสู้เกรงว่าจะไม่มีเวลาป้องกัน โม่เทียนเกอคิดเช่นนี้ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวโบกออกมา กลายเป็นม่านหมอกหนึ่งกลุ่มปกป้องทั่วร่างของนางอย่างมั่นคง

“ใช้อาวุธเวททองไฟ!” ฉินซีบอกมาคำหนึ่ง กระบี่อัคนีสามพลังหยางโจมตีออกไปอีกครั้ง กระจายแสงสีแดงออกมาโจมตีใส่อสูรลมกำเนิดที่อยู่ตรงหน้า

โม่เทียนเกอยกมือขึ้น อาวุธเวทกระบี่บินหนึ่งเล่มปรากฏขึ้นในมือ อาวุธเวทในมือนางมีไม่มาก มีแค่กระบี่บินเล่มนี้เป็นเป็นอาวุธเวทโจมตีธาตุทอง ถึงจะไม่เชี่ยวชาญแต่เป็นอาวุธเวทที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้แล้ว

ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวหั่วกระโดดออกมาจากกระเป๋าสัตว์วิญญาณ

เลื่อนขั้นเป็นขั้นห้าแล้ว อีกทั้งยังมีไฟแท้ไท่หยางบนตัว เสี่ยวหั่วเป็นอสูรวิญญาณสายต่อสู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว แถมโม่เทียนเกอสื่อจิตด้วยได้ ไม่จำเป็นต้องบัญชาการ ทะยานเข้าใส่อสูรลมกำเนิดที่อยู่ด้านข้าง

สิ่งที่อสูรลมกำเนิดเหล่านี้ใช้เป็นวิชาเวทลมตามคาด พออ้าปากพ่น ลมที่รุนแรงยิ่งหนึ่งสายก็พัดมาแล้ว ลมนี้เทียบกับวายุทิพย์ยังกล้าแข็งกว่า แถมมีความเร็วอย่างแปลกประหลาด โม่เทียนเกอเพิ่งจะเห็นอสูรลมกำเนิดอ้าปากออกมา ลมก็มาถึงตรงหน้าแล้ว นางอาศัยว่ามีผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคุ้มครองกาย ไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยกระบี่บินฟันขึ้นไป ร่วมประสานงานกับเสี่ยวหั่วฆ่าอสูรตัวเดียวกัน

หลังจากนั้นก็รู้สึกตาลาย วิชาเวทลมของอสูรลมกำเนิดนี้ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน!

ฉินซีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร จะให้นางหลบมันปฏิบัติจริงไม่ได้ ข้อได้เปรียบของอสูรลมกำเนิดคือความเร็ว หากหลบก็จะไม่มีพื้นที่ให้สู้กลับ ถึงเวลาก็จะต้องวิ่งวนไปเรื่อย มิสู้โต้กลับอย่างแข็งขันไปเลยดีกว่า

หลังจากผ่านการปะทะมาหลายครั้ง โม่เทียนเกอค่อย ๆ ปรับจูนเข้ากับจังหวะวิชาเวทของอสูรลมกำเนิดได้แล้ว แล้วก็รู้ว่าจะลดพลังก่อนวิชาเวทลมของอสูรลมกำเนิดอย่างไร บวกกับไฟแท้ไท่หยางของเสี่ยวหั่วร้ายกาจจริง ๆ อย่างรวดเร็ว อสูรลมกำเนิดขั้นต่ำกว่าห้าถูกนางฆ่าทิ้งไปทีละตัว ๆ

อสูรลมกำเนิดเบื้องหน้าของฉินซีตายไปเกินครึ่งตัวนานแล้ว ดึงดูดความสนใจของอสูรลมกำเนิดขั้นหกสองตัวให้เข้าไปหา แรงกดดันของโม่เทียนเกอเบาสบาย สิ่งที่นางต้องจัดการในขณะนี้เป็นเพียงอสูรลมกำเนิดขั้นห้าสองตัวเท่านั้น

กลืนเม็ดโอสถ กระบี่บินลงมือทิ่มแทงอสูรลมกำเนิดหนึ่งตัวในนั้น เสี่ยวหั่วเห็นแล้วก็เข้าไปกัด อสูรลมกำเนิดอีกตัวกลับฉวยโอกาสกระโจนเข้ามา

โม่เทียนเกอร่างไม่ขยับเขยื้อน ประกบฝ่ามือเข้าหากัน พลังวิญญาณก่อตัวอยู่ในใจกลางฝ่ามือ พลังวิญญาณก้อนนี้กลายเป็นวัตถุจริงแล้ว หลังจากเลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตาน อาศัยอำนาจของพลังวิญญาณอย่างเดียวก็น่าทึ่งแล้ว แต่พลังวิญญาณก้อนนี้ได้แต่เพียงต้านรับการโจมตีของอสูรลมกำเนิดตัวนี้เท่านั้น

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ตอนที่นางอยู่ระดับสร้างฐานพลังก็เคยเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรขั้นห้า หลังจากก่อเกิดตาน สัตว์อสูรขั้นห้าธรรมดาไม่ใช่คู่มือเลย แต่การฆ่าอสูรลมกำเนิดพวกนี้กลับยากเย็นเช่นนี้ ในภูเขามารแห่งนี้ สัตว์อสูรธรรมดาก็ไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย

โชคดีที่นางมีเสี่ยวหัว เสี่ยวหั่วก็อยู่ขั้นห้า วิชาเวทสายอัคคีมีพลังทำลายล้างอย่างยิ่งยวด เช่นนี้ก็เปลืองแรงตั้งมากมายจึงสังหารอสูรลมกำเนิดขั้นห้าสองตัวนี้ได้

พอเห็นอสูรลมกำเนิดตัวสุดท้ายล้มลงภายใต้ไฟแท้ไท่หยางของเสี่ยวหั่ว โม่เทียนเกอก็เป่าปากออกมาคำหนึ่ง เก็บกระบี่ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก

นี่ยังเป็นเพียงแค่การต่อสู้อุ่นเครื่อง แต่ก็สิ้นเปลืองพลังมากขนาดนี้แล้ว ภูเขามารนี้อันตรายทุกแห่งหน มันไม่ใช่คำโกหกจริง ๆ

ฉินซีสังหารอสูรลมกำเนิดขั้นหกสองตัวนั้นตั้งนานแล้ว มองดูนางค่อย ๆ ฟื้นฟูกำลัง เอ่ยว่า “ไปต่อ”

มันดูเหมือนไม่มีหัวจิตหัวใจเอาเสียเลย แต่โม่เทียนเกอกลับไม่รู้สึกอะไร การต่อสู้สนามนี้ทำให้นางตระหนักแล้วว่า ที่นี่นางจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งด้วยตัวเอง หากไม่เป็นเช่นนั้นก็จะกลายเป็นตัวถ่วง และนี่เป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจเป็นที่สุด ดังนั้นนางก็เลยไม่ได้พูดอะไร เก็บเสี่ยวหั่วเข้ากระเป๋าสัตว์วิญญาณแล้วเดินตามไป

…………………………………….

ตอนที่ 276 – ป่ามด