ตอนที่ 28 คำสาปที่ร้ายกาจที่สุด

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 28 คำสาปที่ร้ายกาจที่สุด

ในตอนเที่ยง มู่เถาเยาอยู่รับประทานอาหารกลางวันที่เขตเซิ่งซื่อฉางอันอย่างปฏิเสธไม่ได้เนื่องจากคนตระกูลตี้ในเวลานี้มีทั้งคนแก่ เด็กเล็ก และผู้ป่วย อาหารจึงเป็นแบบเบาๆ ที่ดีต่อการย่อย

โชคดีที่ระดับฝีมือของเชฟนั้นสูงมากและสามารถรักษาความสดใหม่ของอาหารได้โดยใช้เครื่องปรุงน้อยที่สุด รสชาติอาหารนั้นจึงเหมาะกับรสปากของมู่เถาเยาพอดี

เธอไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร สามารถกินได้ทั้งแบบหนักและแบบเบา ตราบใดที่ใช้วัตถุดิบดี!

เป็นเพียงว่าหลังเธอลงมาจากเขาวัตถุดิบที่ดีนั้นก็หาได้น้อยมาก

แม้ว่าจะถูกขนส่งผ่านทางอากาศจากหมู่บ้านเถาหยวนซาน หลังจากเก็บรักษาและแช่แข็งแล้ว มันก็จะไม่มีรสชาติเหมือนเพิ่งเก็บมาใหม่แล้วปรุงสุกอีกต่อไป

หลังลงมาจากภูเขานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ เธอก็เริ่มคิดถึงหมู่บ้านเถาหยวนซานแล้ว

ย่าตี้เห็นว่ามู่เถาเยาเอาแต่มองเหม่อไปที่โต๊ะอาหาร จึงอดไม่ได้และถามว่า “เสี่ยวเถาเยา อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหนูเหรอจ๊ะ หนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวฉันสั่งให้พ่อครัวไปทำของชอบของหนูมาให้เดี๋ยวนี้”

“เปล่าค่ะ หนูแค่คิดว่าวัตถุดิบที่ใช้ดีมาก ไม่ต่างจากที่เคยกินในหมู่บ้านเถาหยวนซานเลย หนูเลยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย”

หมู่บ้านเถาหยวนซานมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร และผลผลิตที่เติบโตจากที่นั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่สถานที่ส่วนใหญ่จะสามารถเปรียบเทียบได้

ย่าตี้ยกยิ้มและอธิบายว่า “หนูเห็นภูเขาข้างหลังเราแล้วใช่ไหม ที่นั่นอาของอู๋เปียนสั่งให้คนปลูกผลไม้และพืชผักไว้ไม่น้อยเลยบนภูเขานั้น ทั้งหมดก็เพื่อให้อู๋เปียนกิน”

มู่เถาเยาพยักหน้า

เมืองเย่ว์ตู เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีการผสมผสานระหว่างทิวทัศน์ทางธรรมชาติและภูมิทัศน์ที่สรรค์สร้างขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ ภูเขาและแม่น้ำในเขตนี้สวยงามตระการตาที่สุด ทุกอย่างล้วนไปกระจุกตัวอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ดังนั้นครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจทั่วประเทศ จึงชอบที่จะมาตั้งถิ่นฐานหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ของที่นี่ไว้เพื่อการพักผ่อน

ทางด้านนี้หนึ่งหญิงชราและหนึ่งหญิงสาวกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบอาหาร ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร ต่างตกใจเมื่อเห็นว่าตี้อู๋เปียนเรียกขออาหารเพิ่ม

ปกติเขากินแค่ครึ่งชาม แต่วันนี้กลับขอเพิ่มอีกครึ่งชาม!

ปู่ตี้วางตะเกียบลง มองหลานชายคนเล็กที่งดงามไร้ที่ติของเขาและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “อู๋เปียน อย่าบังคับตัวเอง”

ตี้อู๋เปียนกะพริบตาปริบๆ “ไม่เลยสักนิด ผมแค่อยากกิน”

ไป๋เฮ่าอวี๋รีบหันไปปรึกษามู่เถาเยาทันที “หมอเทวดาน้อย นายน้อยกินมากกว่าปกติถึงครึ่งชามจะเป็นอะไรไหม”

“เป็นเรื่องดีที่เขากินได้มากขึ้น พวกคุณไม่จำเป็นต้องควบคุมมัน ตราบใดที่เขาไม่กินมากเกินไป จะดีกว่าหากให้เขากินเยอะๆ เขาในตอนนี้ผอมเกินไปหน่อย”

ตี้อู๋เปียนจ้องไปที่มู่เถาเยา

ยัยซาลาเปาน้อยคนนี้ชอบพูดสะกิดบาดแผลคนอื่นเสมอ!

ไม่ใช่ว่าเขาอยากผอมสักหน่อย!

เขาต้องปิดบังรูปร่างของตัวเองมาหลายปี และทุกครั้งที่เจอเธอ เธอก็มักจะทำลายจินตนาการของเขาที่ว่าตัวเองมีรูปร่างที่ดีเสมอ!

ทำไมเขาถึงต้องให้บอดี้การ์ดหุ่นล่ำบึ้กพวกนั้นแต่งตัวมิดชิดตลอดทั้งปี? ไม่ใช่ว่าเพราะอิจฉาหุ่นดีๆ ของพวกเขาหรอกเหรอ!

หึ ยัยหน้าซาลาเปาน้อยไม่น่ารักเลยสักนิด! ในอนาคตต้องขายไม่ออกแน่ๆ !

ตี้อู๋เปียนพ่นคำสาปแช่งที่ร้ายกาจที่สุดออกไปอย่างโหดเหี้ยม!

มู่เถาเยาทำเมินการจ้องมองที่ผิดปกติของใครบางคน

ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอไม่รู้ว่าในใจของตี้อู๋เปียนตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ต่อให้รู้ เธอก็คงจะส่งสายตาทำนองที่บอกว่า ‘นายมันงี่เง่า’ ไปให้เขา

ถ้าคำสาปแช่งใช้งานได้จริง ชาติที่แล้วเธอคงสาปให้คนที่ใส่ร้ายเสด็จแม่ของเธอจนต้องถูกเผาทั้งเป็นตกนรกไปตามกันนานแล้ว!

“อู๋เปียน ทำไมหลานถึงมองเสี่ยวเถาเหยาแบบนั้น” ย่าตี้รู้สึกว่าการจ้องมองของหลานชายคนเล็กของเธอมันแปลกๆ

“ไม่มีอะไรครับ” ตี้อู๋เปียนตั้งหน้าตั้งตายัดข้าวใส่ปาก

ตี้อันเหยี่ยในวัยสามขวบไม่เข้าใจบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างผู้ใหญ่เช่นกัน เขาใช้ช้อนเล็กๆ ตักอาหารขึ้นทีละคำๆ ป้อนคนโน้นทีคนนี้ที

มู่เถาเยาก้มลงกินไข่นึ่งหอยเม่นที่ตี้อันเหยี่ยตัวน้อยตักป้อนเธอด้วยช้อนของเขาเองโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

อันที่จริง เธอไม่ชอบกินอาหารจากช้อนหรือตะเกียบของคนอื่น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนกับเด็กชายตัวเล็กๆ คนนี้

เขาเหมือนกับมู่เหยียนหังน้องชายของเธอมากเกินไปแล้ว!

เหยียนหังมักจะตักอาหารที่เขากินแล้วให้เธอกินเพราะต้องการทดสอบพิษด้วยตัวเองก่อน แต่เด็กชายตัวเล็กๆ คนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ ทว่าเขากลับปฏิบัติต่อเธอราวกับเธอเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเขา

พอจะทำนายได้…

ในอนาคตเขาต้องเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ !

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันอย่างอิ่มหนำสำราญ ตี้อู๋เปียนก็เชิญมู่เถาเยาไปที่ห้องหนังสือของเขา

มู่เถาเยาชำเลืองมองไปยังห้องหนังสือซึ่งสะดวกสบายพอๆ กับคลับหรูชั้นนำ ดวงตาของเธอขยับเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าหนูขาวตัวเล็กนี้จะไม่ได้หยุดการเรียนรู้เพียงเพราะสุขภาพไม่ดี

คนตระกูลตี้ไม่เลวจริงๆ

“เธอชอบห้องหนังสือของฉันหรือเปล่า” ตี้อู๋เปียนจับแววตาที่เปลี่ยนไปของมู่เถาเยาได้

มู่เถาเยากวาดสายตามองไปทั่วชั้นหนังสือ ริมฝีปากที่เม้มแน่นของเธอก็เผยอขึ้นเล็กน้อยและตอบว่า “อื้ม”

ตี้อู๋เปียนชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือข้างหน้าต่างและพูดว่า “ฉันมีหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์จำนวนมากที่นี่ด้วย หากเธอสนใจ เธอสามารถนำมันกลับไปอ่านได้”

มู่เถาเยามองไปยังทิศทางที่เขาชี้ แต่แล้วสายตาของเธอก็ถูกตรึงไว้ทันที

ตี้อู๋เปียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ชอบหนังสือเล่มไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าชอบก็หยิบกลับไปสิ ฉันให้เธอ”

มู่เถาเยาเดินเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือ หยิบ ‘ศาสตร์การแพทย์’ ออกมา พลิกดูอย่างง่ายๆ สองสามที แต่ภายในดวงตาของเธอมีคลื่นพายุซัดโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า

สิ่งนี้ถูกเขียนขึ้นโดยอาจารย์ในชาติที่แล้วของเธอ! เธอคุ้นเคยกับทุกคำในนั้นมาก!

แม้แต่ระดับความเก่าใหม่ของหนังสือก็ยังเหมือนกันทุกประการ กระทั่งด้านในยังมีลายมือของเธอที่เขียนแสดงความคิดเห็นเอาไว้อยู่

พูดอย่างเคร่งครัดสักหน่อย นี่คือหนังสือที่ลู่จือฉินอาจารย์ของเธอจรดปลายพู่กันเขียนขึ้นเพื่อเธอโดยเฉพาะ

เธอจำได้ว่าก่อนตายเคยขอให้น้องชายหยิบมันมาจากห้องทรงพระอักษรเพื่อดูมันเป็นครั้งสุดท้าย! มีหนำซ้ำยังกำชับกับเขาไปด้วยว่าให้ฝังมันไปพร้อมกับเธอหลังจากที่เธอเสียชีวิตแล้ว!

‘ศาสตร์การแพทย์’ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ตี้อู๋เปียนคุณได้หนังสือเล่มนี้มาจากที่ไหน”

“ถ้าเธออยากรู้ เดี๋ยวฉันถามลุงจงให้” เขามีหน้าที่แค่อ่าน ไม่ใช่ซื้อ

“…ไม่เป็นไร” ไม่สำคัญว่าเขาจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากที่ไหน สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้มันกลับมาอยู่ในมือของเธอแล้ว!

“ลู่จือฉินคือใคร สำเนียงกวางฟาน ไล้ล้อต้นฉินเป็นชื่อที่ดี แต่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อของคนๆ นี้ในวงการแพทย์มาก่อน”

มู่เถาเยาไม่ได้ตอบเขาแต่ถามกลับไปว่า “คุณอ่านเนื้อหาข้างในแล้วหรือยัง”

“อ่านแล้ว”

“แล้วคุณเข้าใจเนื้อหาไหม”

“ในทางทฤษฎีละก็ ใช่”

“อืม ลู่จือฉินเป็นหมอเทวดาในสมัยโบราณ เธอมีชื่อเสียงสูงส่งอย่างมากในหมู่ประชาชน” นอกจากศัตรูของเธอแล้ว ก็ไม่มีใครรังเกียจอาจารย์ของเธออีก

“โอ้ ปรากฎว่ามีคนคนนี้อยู่จริงๆ”

“ตี้อู๋เปียน ขอบคุณมากนะคะ!” มู่เถาเยากอดหนังสือไว้แน่นและเอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

“เธอชอบก็พอแล้ว”

คล้ายกับจะติดเชื้อความสุขมาจากมู่เถาเยา ดวงตาคู่งามของตี้อู๋เปียนเปล่งประกายระยิบระยับ

เป็นแบบนี้ดีมาก!

ตราบใดที่เธอไม่ทำลายจินตนาการของเขา เธอก็เป็นซาลาเปาน้อยที่ดี!

“ยังมีห้องสมุดเล็กๆ อยู่อีกแห่งด้านหลังคฤหาสน์ ซึ่งมันใช้เก็บหนังสือทั้งหมดที่ฉันเคยอ่านไว้ รวมทั้งหนังสือทางการแพทย์หลายเล่มด้วย ถ้ามีเวลาก็ไปหาดูว่าชอบเล่มไหนบ้าง”

“ได้ คุณอ่านหนังสือการแพทย์เข้าใจด้วยเหรอ”

“เข้าใจเบื้องต้น และก็เป็นเพียงทฤษฎีด้วย”

เพราะอย่างนั้นไป๋เฮ่าอวี๋จึงถูกตี้อู๋เปียนทำให้หงุดหงิดใจทุกครั้ง มีไม่น้อยเลยที่อีกฝ่ายตะโกนบอกว่า ‘ฉันไม่ทำแล้ว ฉันจะลาออก!’ แล้วสะบัดก้นเดินจากไปเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆ !

มู่เถาเยาถามตี้อู๋เปียนหลายคำถามเกี่ยวกับปัญหาทางการแพทย์ที่พบบ่อยที่สุด และเขาก็ตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ยิ่งเมื่อหัวข้อสนทนาลงลึกเท่าไร ความตกใจในแววตาของมู่เถาเยาก็ยิ่งสะสมเหมือนหิมะที่กองสุมและพูนขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมา หัวข้อสนทนาของทั้งสองคนก็ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรื่องการแพทย์อีก แต่ยังรวมไปถึงสำนักนิกายต่างๆ แม้กระทั่งอาวุธวิเศษโบราณและเรื่องซุบซิบนินทาก็ยังถูกยกขึ้นมาพูด

มู่เถาเยาจำเป็นต้องใช้เวลาชั่วครู่เพื่อย่อยสลายความตกตะลึงนี้

เธออาศัยความทรงจำถึงสองชาติภพถึงไต่มาอยู่ในระดับปัจจุบันได้ แต่ตี้อู๋เปียนทั้งที่เขาร่างกายอ่อนแอมาก แต่กลับสามารถยัดความรู้พวกนี้เข้าไปในหัวได้ทั้งหมด เทียบในเรื่องของความหัวดี โลกนี้ใครก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้!

ถ้าเขามีสุขภาพที่ดีละก็…

มู่เถาเยารู้สึกว่าตัวเองต้องจริงจังมากกว่านี้แล้ว มิฉะนั้นด้วยอายุทั้งสองชาติภพรวมกันแต่ยังด้อยกว่าคนอื่น มันจะเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างมาก