ภูติน้ำและภูติลม

 

 สายลมพัดรวมตัวก่อเป็นร่างของเด็กสาวสีเขียวนั่งอยู่บนไหล่ข้างขวาของนาง เฟลิซีพูดกระซิบบางอย่าง แล้วภูติที่หัวเราะอย่างซุกซนก็คลายตัวกลับเป็นสายลม พุ่งเข้าไปแทรกตามร่องของหน้าผา

 

 หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งถึงสองนาที…

 

“เอาละ แค่นั้นน่าจะใช้ได้แล้ว”

 

 เฟลิซีพึมพำขึ้น แล้วภูติลมก็กลับมานั่งบนบ่าของนางตามเดิม มันยังคงหัวเราะคิกคักอยู่ตลอด เฟลิซีหันไปมองยังภูติสีฟ้าที่นั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของนาง

 

“รอยแตกน่าจะกระจายไปทั่วทุกซอกแล้ว เจ้าพร้อมไหม?”

 

 ภูติน้ำพยักหน้าก่อนจะพุ่งเข้าไปยังรอยแยกเดียวกับที่ภูติลมออกมา ไม่นานนักกำแพงตรงหน้าก็ชุ่มน้ำจนเห็นได้ชัด

 

“ฟรีซ”

 

 เวทมนตร์ทำให้น้ำในช่องว่างขยายขนาดและแข็งตัว เสียงน้ำแข็งบดบี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 อินกองเดาความคิดของนางออกได้ในที่สุด

 

‘สมกับที่เป็นจอมเวท’

 

 เฟลิซีโบกมือของนาง น้ำแข็งตรงหน้าละลายในพริบตา น้ำจากรอยแยกพุ่งกลับมาเป็นเด็กสาวสีฟ้านั่งส่ายขาเล่นบนไหล่นาง จากนั้นเฟลิซีก็หยิบบางสิ่งออกมา

 

“นี่อาจจะรุนแรงนิดหน่อย แต่ก็เป็นปกติของการสำรวจ”

 

 นางสอดขวดแก้วเข้าไปในร่องหิน ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มอันร้ายกาจ

 

“บูม!”

 

 ราวกับเป็นคำสั่ง เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากผนังหิน ฝุ่นควันฟุ้งขึ้นมาจากการพังทลาย แต่สายลมและสายน้ำก็พัดมันออกไปในทันที

 

“อาจจะดูไม่ค่อยประณีตเท่าไร”

 

 ต้องใช้เวลามากกว่านี้สำหรับการเจาะที่สมบูรณ์แบบ เฟลิซีขยิบตาให้อินกอง ส่วนเคทลินก็ปรบมืออย่างชื่นชมพร้อมกับอุทานขึ้น

 

“สุดยอด! มีทางเข้าแล้ว! แถมใหญ่มากด้วย!”

 

 มีช่องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวสองเมตรโผล่ขึ้นที่ผนังหินผา คารัคร้องออกมาอย่างเหลือเชื่อก่อนจะร่วมปรบมือตามเหล่ากองเชียร์

 

“บ้าน่า เรื่องจริงหรือนี่?”

 

 เฟลิซีแอ่นอกรับเสียงปรบมืออย่างชอบใจ เดเลียกับกับคาทูอินยังคงมีสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

 

“อย่างที่ผมบอกครับ ว่ามันอยู่ที่นี่”

 

 อินกองส่งยิ้มให้เคทลินที่พยักหน้าอวดความสามารถนของน้องชาย

 

“ฉันต้องตรวจดูข้างในก่อน”

 

 เฟลิซีเรียกภูติแสงออกมาพร้อมเดินลอดช่องเข้าไป ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความทึ่ง

 

“องค์… เอเรบอส… ”

กันลืม เอเรบอสคือชื่อเทพแห่งความมืดที่พวกเอลฟ์รัตติกาลนับถือ

 

 สิ่งที่นางเห็นคือห้องวิหารขนาดใหญ่ มีอักขระดวอฟจารึกอยู่มากมายตามผนัง พร้อมกับบางอย่างสะท้อนแสงอยู่ตรงแท่นพิธีกลางห้อง

 

&

 

 อินกองเดินตามเฟลิซีเข้ามา ทุกอย่างดูไม่แตกต่างไปจากที่เขาจดจำได้ จนกระทั่งเขามองไปยังกลางห้อง

 

“องค์ชาย โดมนั่นมันคืออะไร?”

 

 คารัคมองไปยังโลหะครึ่งทรงกลมที่แผ่ปกคลุมบริเวณกลางห้อง ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่ต่างไปจากในความทรงจำของอินกอง

 

‘มีรูปปั้นดวอฟอยู่รอบๆ แสดงว่าทั่งต้องอยู่ในโดมนั่นไม่ผิดแน่’

 

 เมื่อเขาบุกเข้ามาในตอนที่เล่นล็อคค์ เข้าสามารถพุ่งปรี่เข้าไปทำลายทั่งได้ทันที ไม่มีโดมโลหะในลักษณะนี้แต่อย่างใด

 

 เฟลิซีใช้นิ้วสัมผัสผิวโลหะพลางใช้ความคิด

 

“นี่เหมือนจะเป็นปราการขั้นสุดท้าย แสดงว่าทั่งวัชรกรอยู่ข้างในแน่นอน”

 

 นางเริ่มเคาะเพื่อคาดเดาองค์ประกอบจากเสียง ดูแล้วไม่น่าจะทำลายได้ง่าย

 

“ทำไมถึงไม่เห็นมีผู้เฝ้าสมบัติเลย?”

 

 เคทลินกวาดสายตามองโดยรอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะได้คำตอบจากเฟลิซี

 

“ที่นี่คือส่วนในสุด เวลาสำรวจโบราณสถานต่างๆ พวกผู้พิทักษ์จะเฝ้าอยู่แค่ที่หน้าห้อง เพื่อกันไม่ให้สมบัติเสียหายจากการต่อสู้กับผู้บุกรุก ข้างในห้องส่วนใหญ่ก็เลยดูโล่งแบบนี้”

 

 เหมือนล็อคกุญแจของหีบทั้งหลาย ตัวล็อกมีเพื่อกันไม่ให้เปิดหีบ ภายในมีเพียงที่ว่างกับของมีค่า

 

“งั้นพวกเราก็แค่ต้องพังโดมนี่?”

 

 คารัคถามเหมือนเป็นเรื่องง่าย เดเลียกับคาทูอินหรี่ตาจ้องมองมันอย่างไม่ชอบใจก่อนเฟลิซีจะตอบมา

 

“ไม่ พวกเราห้ามยุ่งกับมัน ถ้าผิดพลาด ทั่งวัชรกรข้างในอาจจะเสียหายไปด้วย”

 

 พวกเขาต้องหาวิธีแก้ปริศนาเพื่อเปิดโดม แล้วคาทูอินที่พยายามไขความหมายของรูปปั้นดวอฟและอักขระก็เรียกเฟลิซี

 

“องค์รัชทายาทเพคะ”

 

 คาทูอินที่ยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นดวอฟที่มีขนาดเท่าตัวจริง ชี้ไปยังช่องว่างตามรูปปั้น

 

 เฟลิซีได้แต่ถอนหายใจ

 

“ใช่แล้ว ตัวการน่าจะเป็นรูปปั้นพวกนี้”

 

 ในบรรดารูปปั้นทั้งหมด มีเพียงครึ่งหนึ่งที่ถืออาวุธ ส่วนที่เหลืออีกหกกลับมือเปล่า ทั้งที่ท่าทางของพวกมันดูราวกับมีอาวุธในมือ

 

“อืม… หรือว่าจะต้องหาอาวุธให้พวกมันถือ?”

 

 เฟลิซีมองสลับไปมาระหว่างรูปปั้นทั้งหลายกับอักขระโดยรอบ ก่อนจะพยักหน้าอย่างมั่นใจ

 

“บางที อาจจะต้องเป็นดาบดวอฟเท่านั้นด้วย”

 

 ถึงแม้จะพบคำตอบในที่สุด แต่เสียงของนางกลับไม่ยินดีนัก  

 

 ซึ่งก็ไม่แปลก พวกเขาต้องใช้อาวุธดวอฟถึงหกชิ้นขึ้นมาอย่างกระทันหัน และเจาะจงว่าต้องเป็นดาบอีกด้วย!

 

“งั้นเรากลับกันก่อนมั้ย? เพราะไม่ต้องฝ่าอุปสรรคเท่าไร เลยยังพอมีเวลาอยู่”

 

 นางถอนหายใจออกมาอย่างถอดใจ

 

 อินกองขมวดคิ้วใช้ความคิดก่อนจะนึกบางอย่างได้

 

‘เราพอจะมีนี่หว่า’

 

 ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นโหล!

 

 อินกองเปิดหน้าต่างช่องเก็บของขึ้นมา ยุทโธปกรณ์ทั้งหลายที่เขาเก็บไว้ยังอยู่ครบในสภาพสมบูรณ์ไม่บุบสลาย

 

“รอก่อนครับ”

 

 ทุกสายตาย้ายมามองที่เขา แต่จะให้หยิบออกมาจากช่องเก็บของเลยก็ไม่ได้ อินกองจึงเดินไปหาคารัค

 

“คารัค ผมขอกระเป๋าหน่อย”

 

“ฮะ? กระเป๋าที่ข้าแบกนะรึ?”

 

“ใช่แล้ว ใบนั้นแหละ”

 

 มันพยักหน้าก่อนจะวางกระเป๋าลงกับพื้น มันเป็นผู้จัดเตรียม จึงรู้ว่าข้างในมีเพียงเสบียงอาหารและน้ำดื่ม

 

 อินกองล้วงมือลึกเข้าไปข้างในก่อนจะดึงเอาดาบดวอฟออกมา

 

“ฉัตร?”

 

 เคทลินมองมาอย่างอัศจรรย์ใจ แต่ไม่มีผู้ใดแปลกใจไปมากกว่าคารัค

 

“เดี๋ยวสิ แกเอาออกมาจากไหน? แกใส่เข้าไปตอนไหนเนี่ย?”

 

 อินกองไม่ตอบ เขาทยอยหยิบดาบออกมาจากกระเป๋า

 

 รวมหมดทั้งสิ้นหกชิ้น

 

 คารัคที่น่าจะรู้ดีเพราะมันเป็นผู้แบกกระเป๋ากลับทำหน้าออกมาราวกับเห็นผี

 ก็พึ่งเห็นจริงๆนี่นา อัศวไร้เงา ม้าวิญญาณ ก็ม้าผีนะแหละ

 

 อินกองกล่าวออกมาอย่างกับเป็นเรื่องธรรมดา

 

“เพราะเราจะมาสำรวจซากที่ดวอฟเคยอาศัย ผมเลยเตรียมอาวุธเผื่อไว้หลังจากที่นายจัดของเสร็จแล้ว”

 

“ข้าแบกอาวุธถึงหกชิ้นไม่ไหวหรอกนะ”

 

 คารัคยังคงรู้สึกผิดปกติแม้จะฟังคำอธิบายจากอินกอง แต่ด้วยที่เป็นออร์ค มันจึงไม่ใส่ใจมาก

 

 ซึ่งการเตรียมดาบสำรองไว้ถึงหกชิ้น มันก็เป็นเรื่องแปลกจริงๆ

 สวัสดี นายหัวเม่นผมทอง โชว์ Omnislash version 5&6 หน่อยสิ

 

 แต่ก็มีเอลฟ์นางหนึ่งดีใจที่แก้ปริศนาได้ จนลืมคิดสงสัย

 

“ยอดเยี่ยม รีบเอาดาบไปให้รูปปั้นกันเถอะ”

 

 เฟลิซีหยิบดาบขึ้นมาด้วยสีหน้าฉบับนักโบราณคดี แล้วเดินตรงปรี่ไปยังรูปปั้น เดเลีย คาทูอิน อินกอง เคทลิน และเซร่ามองจ้องหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบดาบขึ้นมาทำตาม

 

 มีเสียงดังขึ้นทุกครั้งที่ดาบสัมผัสมือของรูปปั้น

 

 และเมื่อรูปปั้นทั้งหมดมีอาวุธครบแล้ว เสียงเหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่เริ่มทำงานก็ดังไปทั่ว พื้นวิหารก็เริ่มสั่นสะเทือน

 

 อินกองกระโดดอย่างตกใจ เฟลิซีที่ไม่มีอาการตื่นตระหนกอย่างใดรีบบอกกับคณะ

 

“ใจเย็นๆแล้วค่อยๆถอยออกมา รอให้กลไกทำงาน”

 

 สิ้นเสียงเฟลิซีไม่นาน รูปปั้นดวอฟทั้งหมดก็เริ่มหันตัวไปทางโดมเพียงครึ่งเดียว ก่อนจะมีเสียงดังขึ้นจากม่านโลหะ

 

“เหมือนโดมจะเปิดออกแล้ว”

 

 เคทลินพึมพำออกมา ตรงกลางของโดมเริ่มจะแตกออก ก่อนจะกระจายเป็นซี่ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังอ้าปาก

 

“ทั่งวัชรกร”

 

 อาวุธวิเศษที่มังกรเอนคิดูสร้างขึ้นเพื่อใช้คุ้มครองสมบัติ

 

 รอยยิ้มโผล่บนหน้าของเฟลิซี และเมื่อโลหะทั้งหมดจมลงไปที่ร่องบนพื้น ก็เผยให้เห็นทั่งขนาดใหญ่ที่มีประกายแสงเวทมนตร์สีน้ำเงินเจิดจรัสโดยรอบ

 

&

 

 มันมีความสูงถึงหนึ่งเมตร และแผ่นจานของมันก็ใหญ่พอที่จะให้คารัคล้มตัวลงนอนได้สบาย

 

 นี่คือทั่งวัชรกรอย่างแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน

 

 ทว่า พวกเขาควรจะทำอย่างไรกันต่อดี?

 

 สมาชิกทั้งหมดจ้องไปยังของวิเศษตรงหน้าอย่างชื่นชมก่อนเฟลิซีจะพูดอธิบาย

 

“รอก่อน มันยังมีขั้นตอนบางอย่างต้องทำเพื่อเตรียมใช้งาน”

 

 อ้างอิงจากเอกสารโบราณ ตัวทั่งได้รับการปกป้องจากเวทมนตร์ทรงพลังถึงสามชนิด ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้

 

 เฟลิซีก้าวเข้าใกล้อย่างระมัดระวังเพื่อตีความอักขระอันซับซ้อนที่สลักอยู่รอบตัวทั่ง อักขระทั้งหมดเรืองแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า แสดงให้เห็นถึงพลังเวทอันมหาศาลที่แฝงอยู่ภายใน

 

‘สมกับมืออาชีพ ความเร็วต่างกันลิบลับ’

 

 การฝึกฝนทำให้ทักษะอักขระดวอฟของเขาเพิ่มเป็นขั้นสอง แต่เมื่อเทียบกับมืออาชีพอย่างเฟลิซีแล้ว เขายังอยู่อีกห่างไกลนัก

 

‘ช่างมันเถอะ’

 

 เขาไม่จำเป็นจะต้องแข่งขันไปเสียทุกเรื่อง

 

 อินกองตั้งใจดูการทำงานของเฟลิซี แม้นางจะเข้าใกล้ไม่มาก แค่เพียงในระยะที่พออ่านอักษรได้เท่านั้น แต่อิทธิพลจากพลังเวทก็ทำให้นางเหงื่อท่วมไปทั้งตัว

 

“เอาละ เข้าใจแล้ว แบบนี้นี่เอง!”

 

 เฟลิซีถอยออกมากล่าวกับสมาชิกสำรวจหลังจากที่นางตีความเสร็จสิ้น

 

“พวกเราแค่ต้องเลือกวงแหวนที่อยู่ตรงรูปปั้นให้ถูก เดเลีย คาทูอิน แล้วก็… เคทลิน?”

 

 นางกล่าวเรียกออกมา แต่มีอาการลังเลเล็กน้อยที่ชื่อสุดท้าย เคทลินหัวเราะก่อนจะตอบนาง

 

“ค่ะ ออนนี่”

 

 เฟลิซียิ้มให้เคทลิน นางมองไปยังทั้งสามอย่างเป็นมิตร

 

“เห็นวงแหวนที่ติดกับรูปปั้นพวกนั้นไหม? เดเลียกับคาทูอินไปยืนที่ 3 นาฬิกากับ 6 นาฬิกา ฉันจะยืนที่ 12 นาฬิกา แล้วให้เคทลินยืนที่ 9 นาฬิกา”

 

“แล้วพวกผมละครับ?”

 

 เฟลิซีไม่ได้พูดถึงอินกอง คารัค และเซร่า นางจึงต้องคิดว่าจะให้พวกเขาทำอะไรดี

 

“ตรงไหนก็ได้ แต่ห้ามเหยียบวงแหวนที่เหลือเด็ดขาด”

 

 พวกเขามีจำนวนเกินจำเป็น อินกองไปยืนระหว่างเฟลิซีกับเคทลิน โดยมีคารัคกับเซร่าอยู่ห่างออกไปไม่มาก

 

 เฟลิซีหันมาสั่งอีกครั้ง

 

“ทีนี่ ส่งพลังเวทผ่านเข้าวงแหวนตามเข็มนาฬิกา เข้าใจนะ?”

 

“รับทราบเพคะ”

 

“เพคะ องค์รัชทายาท”

 

“ค่ะ”

 

 เดเลีย คาทูอิน และเคทลินขานรับนาง

 

 เฟลิซีสูดหายใจเต็มปอดก่อนจะส่งผ่านพลังเวทเข้าวงแหวน และทันใดนั้น วงแหวนและบริเวณพิธีก็เรืองแสงสีนวลขึ้นมา

 

 ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น เดเลีย คาทูอิน เคทลิน ส่งพลังเวทเข้าวงแหวนตามลำดับ ก่อนแสงจะสว่างจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงทำงานของเครื่องจักร

 

“แท่นพิธีกำลังยกตัวขึ้น!”

 

 ณ ช่วงเวลาที่คารัคร้องออกมา แสงอันเจิดจรัสก็แผ่เข้าบดบังสมาชิกทั้งหมด